หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

รู้เรื่องเมืองมังกร 17 ประวัติศาสตร์จีน ตอนที่ 1 "กำเนิดจักรพรรดิ์เหลือง"

รูปภาพของ YupSinFa

สวัสดีครับ ท่านที่รัก รู้เรื่องเมืองมังกร ได้เดินทางมาถึงภาคที่ 2 แล้วนะครับ ในภาคนี้ จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัตศาสตร์จีนที่ยาวนานมากว่า 5 พันปี โดยไหงจะเขียนตั้งแต่การเริ่มต้นของอารยธรรมจีน เมื่อราว 5,000 ปีก่อนโน้น และร่ายยาวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงกระทั่งปัจจุบันนี้ โดยจะเป็นการเขียนแบบเล่าเรื่องราวให้ทุกท่านได้อ่านและชมภาพ ให้เหมือนกับตัวไหงเองได้มานั่งเล่านิทานให้ท่านฟังต่อหน้า อันเป็นการสร้างอรรถรสในการติดตามเรื่องราวที่ค่อนข้างจะยาวมาก

ซีรี่ส์ยาวเรื่องประวัติศาสตร์จีน นี้ ไหงคิดว่าคงต้องใช้เวลาในการเขียนเป็นตอน ๆ คงต้องใช้เวลา สัก 1 ปี จึงจะสามารถจบประวัติศาสตร์ จีน นี้ได้ หากเวลาอำนวย และว่างเว้นจากการทำธุรกิจการงาน

ท่านที่ติดตามเนื้อหา สามารถโพสต์ข้อความเข้ามาสอบถาม ในเรื่องราวที่สงสัยได้ ตลอดครับ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างสีสัน และเพิ่มเติมความรู้-เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย ให้กับทุกท่านที่ร่วมกันติดตาม ดีไหมครับ

เรามาเริ่มต้น ทำความรู้จักกับ "หวงตี้" หรือจักรพรรดิ์เหลือง กันเลยครับ

ประวัติศาสตร์จีน ตอนที่ 1 "หวงตี้-จักรพรรดิ์เหลือง บิดาของนชาติจีนฮั่นทั้งมวล"

黄帝 หวงตี้ หรือ จักรพรรดิ์เหลือง บิดาแห่งประชาชาติจีนทั้งมวล

ตามตำนานปรำปราที่เก่าแก่ของจีน ได้มีการยกย่องผู้นำแห่งประชาชาติจีน ที่เหมือนกับเป็นเทพเจ้า หรือกึ่งเทพเจ้า ที่มีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อวิถีชีวิตของประชาชนให้ได้รู้จักการทำมาหากิน การดำรงชีวิตอยู่ การก่อสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งวีรบุรุษในทางวัฒนธรรมของจีน ตามที่ชาวจีนได้ยกย่องบูชาเป็นเทพเจ้า หรือเป็นผู้ก่อกำเนิดแห่งอารยธรรมจีนที่ยิ่งใหญ่ ชาวจีนได้ยกย่องให้ 3 จักรพรรดิ์ หรือ "ซานหวง" ซึ่งเป็นผู้มีบุญญาภินิหาร ซึ่งก็คือ 1.ฝูซีตี้ 2.เสินหนงตี้ และ 3.หวงตี้

จักรพรรดิ์ หรือ กษัตริย์องแรก ใน สามกษัตริย์ ก็คือฝูซีตี้ นี้ ในตำนานจีนเล่าไว้ว่า ท่านเป็นผู้ที่สอนให้ชาวบ้านได้รู้จักการออกป่าล่าสัตว์และจับปลา ท่านจะให้เครื่องมือและแหอวน ให้รู้จักการหุงหาอาหาร เพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้

กษัตริย์องต่อมา เสินหนงตี้ ได้รับการยกย่องว่า เป็นบิดาแห่งชาวนาจีน หรือชาวนาผู้วิเศษ คนจีนเชื่อว่าท่านเป็นผู้คิดค้นการสร้างคันไถที่ทำด้วยไม้ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ในการไถนา หรือพรวนดินในการปลูกข้าวและพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ ประดิษฐ์อย่างเดียวไม่ได้ ท่านยังช่วยสอนให้ชาวจีน รู้จักการเพาะปลูก ที่สำคัญไปกว่านี้ เสินหนง ยังได้ออกเสาะหาพืชสมุนไพรต่าง ๆ ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อนำมาใช้รักษาโรคของผู้คนทั้งหลาย ให้มีสุขภาพดีปลอดโรคปลอดภัย เรียกได้ว่า เสินหนงนอกจากเป็นบิดาแห่งชาวนา หรือบิดาแห่งการเพาะปลูกแล้ว เสินหนงยังน่าจะได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการแพทย์แผนจีนด้วย นะ จริงไหมครับท่านทั้งหลาย

กษัตริย์คนสุดท้องน้องเล็ก มีนามว่า หวงตี้ ชาวจีนได้ยกย่องหวงดี้ในฐานะทีเป็นผู้นำ หรือเป็นบิดรของชาวจีน อย่างไร คืออย่างนี้ครับ หวงตี้ เป็นผู้นำที่ได้ผ่านการสู้รบกับชนเผ่าอื่น ๆ ที่เข้ามารุกรานคนจีน หรืออีกตำนานหนึ่งกล่าวว่า หวงตี้ ได้สู้รบกับ "ซีอิ๋ว" อันเป็นผู้นำกบฏ และอีกตำนานหนึ่งก็พูดว่า ซีอิ๋วคนนี้ได้บุกรุกเข้าไปในแดนของเอี๋ยนตี้อันเป็นผู้นำของกลุ่มชนที่อยู่ทางใต้ของมณฑลซานตงในปัจจุบัน และเอี๋ยนตี้สู้ซีอิ๋วไม่ได้ ถึงกับล่าถอยเข้ามาในถิ่นของหวงตี้ หวงตี้จึงได้ออกมาสู้รบกับซีอิ๋ว จนสามารถมีชัยเหนือซีอิ๋วได้ หวงตี้ได้ตัดหัวของซีอิ๋ว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเหอเป่ยในปัจจุบัน สถานที่อ้างอิงถึงเรื่องราวปรำปราจีน เรื่องนี้ ปัจจุบันคืออำเภอซะเสี้ยน มณฑลเหอเป่ย อันว่า ซะ นี้นะครับ แปลว่า "ตัด" เสี้ยน แปลว่า "อำเภอ" คนในอำเภอซะเสี้ยนจึงพูดกันว่า สถานที่ของเรานี้คือที่ที่หวงตี้ตัดหัวของซีอิ๋วนั่นเอง

หวงตี้จึงได้รับการยกย่องขึ้นเป็นจอมกษัตริย์ มีอำนาจแผ่ขยายไปจนถึงทั่วทิศดินแดนที่ราบสูงดินเหลือง ซึ่งเป็นพื้นที่ทางทิศเหนือของมณฑลส่านซี และหนิงเซี่ยในปัจจุบัน ทางทิศตะวันออกแผ่ขยายไปถึงมณฑลซานซี และ เหอเป่ย ทางตะวันตกแผ่ไปถึงมณฑลกานสู ในปัจจุบัน ทางตะวันออกเฉียงใต้แผ่ไปถึงดินแดนเจียงหนาน คือ มณฑลเจียงซู อันฮุย และเจ้อเจียง ในปัจจุบัน และมีกลุ่มชนอยู่ภายใต้การปกครองอยู่หลายกลุ่มชนด้วยกัน

หวงตี้ แปลตรง ๆ ว่า "กษัตริย์เหลือง" เนื่องจากการก่อกำเนิดของปฐมจักรพรรดิ์จีนในตำนาน หรือการก่อกำเนิดแห่งอารยธรรมจีน อยู่บริเวณทางทิศเหนือของมณฑลส่านซี ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ราบสูงดินเหลือง ดินของที่นี่มีสีเหลืองออกแดง แม่น้ำก็เป็นแม่น้ำเหลือง(ฮวงโห) ปฐมกษัตริย์ของคนจีนในตำนานจึงได้รับการขนานนามว่า "กษัตริย์เหลือง" หรือ หวงตี้ และสีเหลือง จึงได้เป็นสีที่ถือกันว่า เป็นสีของกษัตริย์สืบต่อกันมาตลอดระยะเวลา 5 พันปี ของระบบกษัตริย์ในประเทศจีนทุกราชวงศ์ จนถึงราชวงศ์ชิง ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน

ด้วยความสามารถในการทำสงครามพิชิตซีอิ๋วผู้เข้มแข็งจนหมอบราบคาบ หวงตี้ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำของกลุ่มชนทั้งหลายดังกล่าวมา นอกจากการสู้รบแล้ว หวงตี้ยังมีสติปัญญาเกินกว่าผู้คนธรรมดาสามัญในยุคนั้น ท่านยังได้คิดประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ อันมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของผู้คน เช่น เรือ เกวียน ล้อลาก เครื่องปั้นดินเผา เกราะป้องกันธนู การแพทย์และการคิดค้นสูตรทางคณิตศาสตร์ การคิดค้นเอารังไหมมาปั่นเป็นเส้นด้ายแล้วทอออกมาเป็นผ้าไหมใช้ทำเป็นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม

จากการคิดริเริ่มในการประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ และได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งสถาปัตยกรรมจีนด้วย สิ่งเหล่านี้ หวงตี้ จึงได้รับการยกย่องว่า "บิดาของประชาชาติจีน" ซึ่งตลอดระยะเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์จีน ชาวจีนนับแต่โบราณนานนมมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มักเรียกตัวเองว่า "ลูกหลานของหวงตี้" อันคำพูดประโยคนี้ ได้ติดปากชาวจีนมาช้านานนับแต่บรรพกาล ซึ่งพวกเราทุกคนก็คงจะพอได้ยิน หรืออาจจะพูดออกมาด้วยตัวเราเองบ่อย ๆ ว่าเราเป็นลูกของหวงตี้ ตามบรรพบุรุษของเรา ใช่ไหมครับ

ซานหวง(สามอ๋อง หวง ตัวนี้คำแปลคนละตัวกับ หวงที่แปลว่าเหลืองนะครับ) และหวงตี้(หวงตัวนี้แหละครับที่แปลว่าเหลื่อง) จึงเป็นกษัตริย์ในตำนานจีน ซึ่งอาจจะมีจริง หรือไม่มีจริงก็ได้ แต่ที่แน่นอนคือ สุสานของหวงตี้ ยังมีประดิษฐานอยู่บนเนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีต้นสนที่ปกคลุมอยู่ในอำเภอ "หวงหลิ่งเสี้ยน" หรืออำเภอสุสานหวงตี้ ที่มณฑลส่านซี ตามรายทางที่ขึ้นไปยังเนินเขาแห่งนี้ มีศาลเจ้าที่สร้างขึ้นมาในสมัยต่าง ๆ ภายหลัง มีแผ่นศิลาจารึกตัวอักษร เป็นลายมือของท่าน "กว๋อโม่โร่" เขียนไว้ว่า "บิดาของประชาชาติฮั่น" (เกว่ดมัดยก-ชาวฮากกาเหมยเสี้ยน) กวีและนักเขียนและนักประวัติศาสตร์คนสำคัญของประเทศจีนใหม่ (ค.ศ 1892-1978) ท่านได้ถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. 2521 อายุได้ 86 ปี ครับพี่น้อง

สุสานของหวงตี้ ที่อำเภอหวงหลิ่งเสี้ยน ในมณฑลส่านซี

หลังจากที่ตำนานของจีนบอกว่าหวงตี้เป็นกษัตริย์ที่เป็นบิดาของประชาชาติจีน ตำนานของจีนก็ยังบอกต่อไปว่า กษัตริย์จีนที่ปกครองประชาชาติจีนสืบต่อกันมานั้น ล้วนเป็นลูก หลาน ของหวงตี้แทบทั้งหมด กษัตริย์ที่ชาวจีนยกย่งว่าเป็นแบบฉบับของผู้ปกครองคนจีนที่ยิ่งใหญ่ ว่าเป็นนักปกครองที่มีปรีชาสามารถ มีคุณธรรมห่วงใยทุกข์และสุขของประชาชน หลังจากยุคของหวงตี้ มีอยู่ด้วยกัน 5 องค์ หรือ อู่ตี้ หรือห้ากษัตริย์ แน่นอนว่า องค์ที่ หนึ่ง คือ หวงตี้ องค์ที่ สอง ถึง ห้า คือ จวนซี่ตี้ ตี้คู่ตี้ ถางเหยาตี้ และ อี๋ซุ่นตี้

หนึ่งในบรรดาห้ากษัตริย์ที่ได้รับการยกย่องตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีนว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงไว้ซึ่งทศพิธราชธรรมอันประเสริฐ ได้แก่ "เหลี่ยงตี้" (หมายถึงสองกษัตริย์) อันได้แก่ ถางเหยาตี้ กับ อี๋ซุ่นตี้ ถางเหยา เป็นคนที่มีความใส่ใจในทุกข์สุขของประชาชนยิ่งกว่าตัวเอง ทรงริเริ่มให้พระองค์เองเป็นผู้อุปถัมภ์คนเฒ่าคนแก่ที่ไร้ลูกหลานเลี้ยงดู คนกำพร้า คนไร้ญาติ ตลอดจนคนพิการและคนป่วยอนาถา เท่านี้ยังไม่พอครับ ยังทรงตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นมาให้ประชาชนได้ใช้ศึกษาเล่าเรียน

ถัดจากเหยาตี้ ก็เป็น อี๋ซุ่นตี้ ซึ่งไดืสืบสานปณิธานของเหยาตี้ (ตำนานบอกว่า ถางเหยาตี้ เป็นบิดาบุญธรรมและยังเป็นพ่อตา ของอี๋ซุ่นตี้) เมื่ออี๋ซุ่น ได้เป็นกษัตริย์พระเจ้าแผ่นดินปกครองบ้านเมืองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์สืบแทนถางเหยาตี้ กลายเป็นอี๋ซุ่นตี้ แล้ว ก็ได้ปกครองบ้านเมืองดินแดนดินเหลืองด้วยความเที่ยงธรรมและจริงจัง คราวที่เกิดภัยพิบัติจากน้ำในแม่น้ำเหลืองท่วมเรือกสวนไร่นาบ้างช่องเสี่ยหาย อี๋ซุ่น ก็ใช้สติปัญญาแก้ไขป้องกันน้ำท่วมได้สำเร็จ อี๋ซุ่นตี้ได้ปกครองบ้านเมืองอย่างเอาจริงเอาจังมาเป็นเวลา ได้ 13 ปี เมื่อถึงคราวชราภาพ อี๋ซุ่นตี้ จึงได้ยกตำแหน่งตี้หรือกษัตริย์ให้กับอวี่ เป็นตี้ สืบต่อจากตัวเอง


ที่ราบสูงดินเหลือง แหล่งกำเนิดประวัติศาสตร์และอารยธรรมจีน

 

เราจะเห็นว่าในยุคของ อู่ตี้ มาถึงตี้คนที่ 5 ในอู่ตี้ นี้ การสืบทอดตำแหน่งตี้หรือกษัตริย์ ไม่ได้สืบจากพ่อไปสู่ลูก แต่เป็นการสืบจากตี้องค์หนึ่ง ไปยังตี้อีกองค์หนึ่ง ซึ่งตี้องค์ก่อน เห็นว่า บุคคลที่จะขึ้นมาเป็นตี้ สืบต่อจากตัวเอง เป็นคนดีมีคุณธรรม และความสามารถ จึงยกตำแหน่ง ตี้ หรือกษัตริย์ ให้สืบทอด

อวี่ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้เป็น อวี่ตี้ แล้ว จนถึงกับได้รับการยกย่องว่า เป็น "ต้าอวี๋" หรือ อวี๋ ผู้ยิ่งใหญ่ เนื่องจากเป็นผู้พิชิตอุทกภัยหรือวาตภัย ด้วยการขุดลอกคูคลองระบายน้ำ


อู่ตี้ หรือ กษัตริย์ทั้ง ห้า

ถางหยาวตี้

อวี่ตี้ หรือต้าอวี่ ช่วงที่ปกครองบ้านเมืองนั้น ได้วางระบบการปกครองเมือง ด้วยการแบ่งอาณาเขตการปกครองของตัวเองเป็น 9 หัวเมือง หรือ 9 เขต ตั้งชื่อเขตการปกครองอันเป็นที่ตั้งของศูนย์กลางการบริหารงาน ว่า "เซี่ย" หรือเมืองเซี่ย ตั้งแต่นั้นมา เขตการปกครอง ทั้ง 9 เขต ทีอยู่ภายใต้การปกครองของอวี่ตี้ ว่า อาณาจักรเซี่ย หลังจากนั้น ตี้ หรือกษัตริย์ ที่ปกครองดินแดนต่อจาก อวี่ตี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบสมบัติของอาณาจักรเซี่ย ของตระกูลเซี่ย ซึ่งก็คือราชวงศ์ ดังนั้น เซี่ย จึงได้กลายเป็นราชวงศ์ของจีน ในยุคตำนาน หรือยุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่ปกครองจีนสืบต่อ ๆ กันมาจนถึงราชวงศ์ชิงอันเป็นราชวงศ์สุดท้าย...

ราชวงศ์เซี่ย จึงเป็นราชวงศ์แรกของราชอาณาจักรจงกว๋ออันยิ่งใหญ่

ทีนี้เรามาดูกันครับ ว่า อู่ตี้ หวงตี้ ซึ่งเป็นบิดาของประชาชาติจีน และราชวงศ์เซี่ย ซึ่งเป็นตำนาน ก่อนที่จะถึงยุคที่เป็นยุคของประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการ นั้น ทำไมถึงมีสถานที่ที่อ้างอิงถึงเหตุการณ์หรือตัวบุคคลในตำนาน ของการเริ่มต้นของประวัติศาสตร์จีน อารยธรรมจีน ที่เก่าแก่กว่า 5 พันปี ว่า เป็นตำนานปรำปรา ที่เล่าต่อ ๆ กันมา ...

และในปัจจุบันนี้ครับ ท่านที่รักทั้งหลาย นักวิชาการทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีจีน ได้สรุปอย่างเป็นทางการแล้ว...ว่า ราชวงศ์เซี่ย คือราชวงศ์แรกของจีน อย่างเป็นทางการ (ในขณะที่ตำราที่ไหงใช้เรียน ยังระบุว่า ราชวงศ์เซี่ยเป็นตำนาน-แต่ก็ได้ตั้งหัวข้อเป็นคำถามว่า ราชวงศ์เซี่ย-ตำนานหรือประวัติศาสตร์?)


แผนที่ตั้งอาณาบริเวณของรัฐจีนในสมัยราชวงศ์เซี่ย

แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีและโบราณวัตถุทั้งเครื่องปั้นดินเผา เครื่องสัมฤทธิ์ และอักษรกระดองเต๋า ที่บ่งบอกถึงการมีอยู่จริง ของราชวงศ์เซี่ย ยุคเริ่มต้นของประวัติศาสตร์จีน 5 พันปี

สรุปนะครับว่า เวลานี้ ทางการจีนได้ประกาศว่า ราชวงศ์เซี่ย นั้น เป็นประวัติศาสตร์ ของจีน เท่ากับว่า ประวัติศาสตร์จีน ได้มีอายุยืนยาวย้อนหลังไปร่วม ๆ 5,000 ปี

ราชวงศ์เซี่ย เมื่อล่มสลายไป จะมีราชวงศ์ต่อมาคือ ราชวงศ์ซาง ถัดมาเป็นราชวงศ์โจว (มีโจวตะวันตก-โจวตะวันออก) หลังจากนั้น ถึงจะเป็น "ราชวงศ์ฉิน" อันเป็นราชวงศ์แรก ของจีน ที่ราชอาณาจักรจีนทั้งมวล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เซี่ย ซาง และโจว สามราชวงศ์ของจีน นี้ อยู่ในยุคประวัติศาสตร์จีนช่วงต้น และเป็นยุคที่ดินแดนแผ่นดินที่เป็นแหล่งกำเนิด และอาศัย ของประชาชาติจีนทั้งมวล นั้น ยังไม่ได้เป็นปึกแผ่นมั่นคงเป็นหนึ่งเดียว เหมือนในราชวงศ์หลัง ๆ ในยุคนี้ เป็นยุคที่ดินแดนต่าง ๆ ยังคงเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกันและกัน และการเป็นกษัตริย์ หรือราชวงศ์ นั้น ก็เป็นเพียงการปกครองที่อยู่แต่ภายในของรัฐหรือแคว้นที่ผู้ปกครอง หรือราชวงศ์นั้น ตั้งหลักปักฐานอยู่ ถึงแม้ว่า ทุก ๆ รัฐ ทุก ๆ แคว้น จะยอมรับถึงบทบาทหน้าที่ของความเป็นกษัตริย์ หรือ ราชวงศ์ แต่อำนาจรัฐ หรืออำนาจของกษัตริย์ นั้น ๆ หาได้มีผลต่อการปกครอง ของรัฐต่าง ๆ ไม่ รัฐแต่ละรัฐ แคว้น แต่ละ แคว้น ล้วนมีผู้ปกครอง เป็นเจ้าเมือง หรือเป็นหวาง(อ๋อง) เป็นผู้นำสูงสุด และเป็นอิสระจากกันและกัน

ในยุคนั้น แคว้นหรือรัฐต่าง ๆ ที่เป็นจีน มีมากมายเป็นสิบเป็นร้อย รัฐ หรือ แคว้น ความเป็นราชวงศ์หรือความเป็นกษัตริย์ นั้น เป็นเพียงแต่ในนาม เท่านั้ัน ถึงแม้ว่า รัฐต่าง ๆ จะยอมรับในความเป็นกษัตริย์ แต่ไม่ได้ยอมรับในอำนาจของกษัตริย์ หรือกษัตริย์ จะสามารถปกครอง สั่งการ รัฐต่าง ๆ หาได้ไม่

ในยุคของราชวงศ์ เซี่ย ราชวงศ์ ซาง และ ราชวงศ์ โจว ก่อนที่จะมาถึงราชวงศ์ฉิน อันเป็นราชวงศ์แรกของจีน ที่ได้รวมจีนเป็นหนึ่งเดียว ประวัติศาสตร์จีน ได้แบ่งยุคของ 3 ราชวงศ์นี้ เป็น 2 ช่วง หรือ 2 ยุค คือ

1. ยุคชุน-ชิว หรือ ใบไม้ผลิ-ใบไม้ร่วง 春 - 秋

2. ยุคจ้านกว๋อ หรือ รณรัฐ (สงครามระหว่างรัฐ) 战国

การแบ่งยุค เป็นชุนชิว มีความนัยว่า เป็นยุคที่อารยธรรมจีน ได้ก่อเกิดสำนักปรัชญาต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย หลายสำนัก หลายลัทธิ ซึ่งลัทธิปรัชญาที่เกิดขึ้นในยุคนี้ แล้วมีรากฐานหยั่งรากฝังลึกมาจนถึงปัจจุบันนี้ (ถึงแม้ว่าจะถูกเผาตำราในสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้) คือลัทธิ ขงจื่อ(ขงจื้อ) เมิ่งจื่อ(เม่งจื้อ) ต้าวจื่อ(ลัทธิเต๋า) ใบไม้ผลิ-ใบไม้ร่วง มีความนัยว่า การเกิดขึ้นของลัทธิปรัญชา เปรียบเสมือนใบไม้ที่ผลิบาน และการเสื่อมสลายของลัทธิปรัชญา เปรียบเสมือนใบไม้ที่ร่วงหล่น ครับพี่น้อง

ส่วนยุคจ้านกว๋อหรือยุคสงครามระหว่างรัฐ เป็นยุคที่รัฐต่าง ๆ มากมายหลายสิบหลายร้อยรัฐ ต่างรบราฆ่าฟันกันเอง เพื่อความเป็นใหญ่ รัฐใหญ่กินรัฐเล็ก จนกระทั่งเหลือรัฐใหญ่ ๆ เพียง 7 รัฐ และมาถูกกำราบปราบปรามรวมเป็นหนึ่งเพียงราชอาณาจักรเดียว ได้ ในสมัยของเจ้าชายอิ๋งเจิ้ง แห่งรัฐฉิน ผู้สถาปนาราชวงศ์ฉินอันยิ่งใหญ่เกรียงไกร นั่นเองครับ

ในยุคชุน-ชิว และ จ้านกว๋อ ไหงจะมาร่ายให้ท่านอ่านในตอนต่อไป ครับ.

ขอขอบพระคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจและติดตาม

Yubsibfa - Klit.Y

ผู้อำนวยการ สถาบันภาษาและวัฒนธรรมจีน เชียงใหม่


 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal