|
|
100 แซ่ พันธุ์มังกร
เขียนโดย มงคล เมื่อ พุธ, 03/02/2010 - 19:50.
ในรอบพันปีที่ผ่านมา "แซ่" ของคนจีนหายไปกว่า 20,000 แซ่ หนังสือพิมพ์สากล – สำนักงานพันธุกรรม สังกัดบัณฑิตยสภาด้านวิทยาศาสตร์ของจีน ได้ทำการสำรวจสถิติ “แซ่” (นามสกุล)ของคนจีน ด้วยการสำรวจจากประชาชน 296 ล้านคนใน 1,110 เขตทั่วประเทศ พบว่าปัจจุบันมี “แซ่” ของคนจีนที่เหลือใช้กันอยู่เพียง 4,100 แซ่ ในขณะที่แซ่ที่ปรากฏในประวัติศาสตร์จีนนั้นมีมากถึง 24,000 แซ่ เท่ากับว่าใน 1,000 ปีที่ผ่านมา มีแซ่หายสาบสูญไปแล้วกว่า 20,000 ตระกูล นายหยวนอี้ต๋า ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยต้นกำหนดตระกูลชาวจีนได้ระบุว่า “แซ่เล็ก (แซ่ที่มีคนใช้น้อย) ไดสูญหายไป ส่วนแซ่ใหญ่ (แซ่ที่มีคนใช้กันเยอะ) ก็มีคนใช้มากขึ้น เช่น หลังจากที่เผ่าเซียนเปยในยุคราชวงศ์เหนือ-ใต้ (ค.ศ.420-589) ได้เข้าสู่ภาคกลางแล้ว ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนมาใช้แซ่ของชาวฮั่น ทำให้แซ่เล็กหลายแซ่นั้นลดลงไปมาก หรือหมดไปเลยก็มี” หยวนอี้ต๋ายังได้ระบุว่า “การอนุรักษ์แซ่ที่มีน้อยเอาไว้นั้น ในขณะนี้ทางการไม่สามารถกำหนดนโยบายที่จะให้สิทธิพิเศษ หรือนโยบายที่จะอนุรักษ์ไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความต้องการของปัจเจกบุคคลมากกว่า”
ถึงแม้ว่า แซ่เก่าจะหายไปมาก แต่ก็มีแซ่ใหม่ๆที่ปรากฏขึ้น เช่นบางคนเอาแซ่ของพ่อกับแม่มารวมกันเกิดขึ้นเป็นแซ่ใหม่ ที่มักจะมี 2 พยางค์ เช่น แซ่หลี่หวัง ก็พบมากในมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) และกวางตุ้ง
อนึ่ง แซ่ของคนจีนที่ใช้กันในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงเป็นแซ่ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่กินระยะเวลามาหลายพันปี โดยแซ่ที่มีการสืบทอดในวงศ์ตระกูมายาวนานเช่นนี้
ปัจจุบันแซ่ที่คนจีนนิยมใช้มีอยู่กว่า 2,000 แซ่ และชื่อที่นิยมใช้ก็มีอยู่ราว 3,000 กว่าชื่อ ดังนั้นในประเทศจีนที่มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน จะมีคนที่ชื่อแซ่ซ้ำกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้น แซ่ที่ประชาชนกว่า 90% ใช้นั้น ก็กระจุกตัวอยู่ที่เพียง 100 กว่าแซ่ เท่ากับว่า แซ่ที่มีคนใช้จำนวนมากบางแซ่
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ชาวจีนจะให้ความสำคัญกับแซ่มาก เพราะแซ่จัดเป็นตัวแทนของวงศ์ตระกูล ชาวจีนจึงมักอยากจะมีลูกชาย เพื่อสืบทอดรักษาวงศ์ตระกูลเอาไว้
แซ่ของจีนตั้งแต่โบราณมา ทางไต้หวันสำรวจได้ 6,000 กว่าแซ่ จีนแผ่นดินใหญ่รวบรวมได้ 5,000 กว่าแซ่ ยังใช้อยู่ในปัจจุบันประมาณ 3,000แซ่ ที่แพร่หลายมีราว 500 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่ง มีคำนำแซ่ที่ใช้แพร่หลายมาเรียบเรียงเป็นร้อยกรอง เรียกว่า ไป่เจียซิ่ง แปลเอาความได้ว่า "ทำเนียบร้อยแซ่" รวมแซ่ไว้ 438 แซ่ ต่อมามีคนเพิ่มเติมเป็น 504 แซ่ จนถึงปัจจุบันแซ่ที่มีคนใช้มากจริง ๆ มี 100 แซ่ คิดเป็น 85 % ของประชากรชาวฮั่น หรือ 960 ล้านคน แซ่ที่มีคนใช้เกิน 1 % ของประชากรชาวฮั่นมี 19 แซ่ มีคนใช้รวมกัน 55.6 % ส่วนในไทย บุญศักดิ์ แสงรวี รวบรวมแซ่เท่าที่พบเห็นในเมืองไทย และเขียนประวัติย่อไว้ ๒๒๕ แซ่ แต่ที่แพร่หลายจริง ๆ คงมีไม่เกิน 100 แซ่ ที่จดทะเบียนเป็นสมาคมแซ่มี 59 แซ่
หวัง, หลี่, จาง, หลิว, เฉิน, หยาง, หวง, เจ้า, อู๋, โจว, สีว์, ซุน, วานนี้ (24 เม.ย.50) กระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ เผยลำดับใหม่ล่าสุดของ 100 แซ่ ที่มีคนใช้มากที่สุดในแดนมังกร โดย 3 อันดับแรก ได้แก่ แซ่ หวัง หลี่ และจาง ซึ่งมีผู้ใช้รวมกว่า 270 ล้านคน เกือบเท่ากับจำนวนประชากรของอเมริกา และอีก 7 ลำดับถัดมา คือ หลิว เฉิน หยาง หวง จ้าว อู๋ และโจว โดยแต่ละแซ่ล้วนมีคนใช้มากกว่า 20 ล้านคน ตามการวิเคราะห์จากสถิติสำมะโนประชากรทั้งประเทศของกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ระบุว่า ปัจจุบันนี้ แซ่หวังเป็นแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุด จำนวน 92,881,000 คน คิดเป็น 7.25 % ของประชากรทั้งประเทศ หรือทุกๆ 13 คนจะมี 1 คนที่แซ่หวัง หรือเทียบเท่ากับจำนวนประชากรทั้งมณฑลเสฉวน ซึ่งมากกว่าประชากรของเยอรมันอยู่ 10 ล้านคน อีกทั้งแซงหน้าแซ่หลี่แชมป์เก่ามาเพียง 800,000 คน
วานนี้ หวังต้าเหลียง ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยเกี่ยวกับสกุลแซ่ของสถาบันการปกครองเยาวชนจีน ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงเอกลักษณ์ของแซ่หวังในปักกิ่งว่า “ในประวัติศาสตร์ ปักกิ่งเป็นเมืองของคนอพยพ แซ่ของที่นี้จึงสามารถบ่งถึงลักษณะเด่นของท้องที่ต่างๆ ทางภาคเหนือ แซ่หวังเองก็จัดเป็นแซ่ที่คนใช้เยอะแซ่หนึ่งในปักกิ่ง” หวังต้าเหลียงเห็นว่า การจัดลำดับครั้งล่าสุดนี้เป็นการจัดที่แม่นยำที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ สิ่งนี้มีความหมายอย่างมากต่อการทำความเข้าใจในการกระจายตัวของแซ่ และกระบวนการอพยพของประชากร เขากล่าวว่า “วิธีการจัดลำดับครั้งก่อนๆ จะสุ่มสำรวจตัวอย่าง 5 แสนคนจากทั้งประเทศ แล้วจึงสรุปผลออกมา แต่การจัดลำดับครั้งนี้ ได้จัดตามระบบข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ จึงมีความแม่นยำมากกว่า และยังครอบคลุมแซ่ของชนเผ่ากว่า 56 เผ่า
ในสมัยโบราณนั้นแซ่ตระกูลมีที่มาแตกต่างกัน แซ่เป็นอย่างหนึ่ง ตระกูลก็เป็นอย่างหนึ่ง แซ่ ในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซิ่ง” ตามรากศัพท์หมายถึง เผ่าพันธุ์ที่มีสตรีเป็นหัวหน้าหรือผู้ให้กำเนิด ตระกูลในภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ซื่อ” ตามรากศัพท์หมายถึงฐานะของผู้ชายที่เป็นนักรบ ในความหมายเดิม ๆ แซ่จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นคนอยู่เผ่าใด ส่วนตระกูลเป็นเครื่องแสดงฐานะของบุคคล หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ซื่อหรือตระกูลเป็นสิ่งแยกวรรณะ ส่วนแซ่หรือซิ่งนั้น เป็นสิ่งแสดงสถานภาพการสมรสของฝ่ายหญิง แซ่ในยุคโบราณจึงมักมีรูปอักษรที่มีคำว่า “หนี่” หมายถึงผู้หญิง กำกับอยู่ด้วยเสมอ ส่วนซื่อหรือตระกูลนั้นมีใช้กันไม่แพร่หลายมากนัก จำกัดอยู่เฉพาะชนชั้น ผู้ดีมีฐานะทางสังคม อย่างเช่นหวงตี้ที่ถือกันว่าเป็นพระเข้าแผ่นดินองค์แรกของคนจีนทั้งมวล มาจากตระกูลกงซุน หมายความว่าเป็นหลานของกง
ดังนั้น ในยุคจั้งกว๋อหรือยุครณรัฐ อันเป็นสมัยที่วอร์ลอร์ดทั้งหลายต่างแสวงหาอำนาจอิทธพลกันอย่างกว้างขวาง จึงมีการประทานแซ่ตระกูลให้แก่คนทั่วไปนับแตันั้นมาการใช้แซ่ตระกูลของจีน ก็เป็นไปอย่างแพร่หลายเพิ่มเติมจากแซ่เดิมแต่โบราณที่มีอยู่ไม่กี่แซ่
ในพระราชประวัติของพระเจ้าฮั่นเกาจู่ (หลิวปัง) จักรพรรดิปฐาราชวงศ์ฮั่น ซึ่งเคยเป็นสามัญชนมาก่อน ครั้นพระองค์ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้แล้วได้โปรดเกล้าฯให้ประชาชนทุกคนมีแซ่ตระกูลประจำตัว ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ขุนนางหรือไพร่ และจากยุคนี้เองที่แซ่ตระกูลได้มารวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยรวม เรียกว่าแซ่ และให้ถือตามแซ่ของบิดาอย่างเป็นทางการ จากการที่มีการใช้แซ่กันอย่างกว้างขวางไม่เลือกคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรือ ประชาชนคนสามัญทั่วไป จึงทำให้เกิดความนิยมขึ้นมาอย่างหนึ่งคือ การสืบเสาะหาความเป็นมาของแซ่ตระกูล ยุคราชวงศ์ฮั่นจึงได้มีนักศึกษาประวัติศาสตร์สาขามานุษยวิทยาแขนงตระกูล วิทยา Anthroponomy เกิดขึ้นนักศึกษาเหล่านี้มีความสนใจค้นคว้าถึงความเป็นมาของแซ่ตระกูลต่าง ทั้งการเริ่มต้นและการดับสูญ นับเป็นแขนงวิชาหนึ่งซึ่งเป็นกระจกสะท้อนถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษยได้ดีพอควร จากความมุ่งหมายเดิมที่ต้องการเพียงแต่สืบค้นถึงที่มาของบรรพบุรุษในแซ่ตระกูลตนเอง กลายเป็นการสืบสาวโยงใยไปถึงบุคคลที่อยู่ในยุคเดียวกัน ในปี ค.ศ.1990 เช่นกัน รัฐบาลจีนได้สำรวจแซ่ตระกูลจีนที่มีมาแต่โบราณถึงปัจจุบัน ปรากฏว่ามีแซ่ตระกูลทั้งหมดมากกว่า 8,000 แซ่แต่มีบางแซ่ได้เลิกใช้กัน ไปแล้ว ที่ยังมีอยู่ทุกวันนี้มีเพียง 5,007 แซ่ โดยสามารถแยกประเภทของการใช้แซ่ออกได้ตามลักษณะสำคัญดังนี้
สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ได้แก่ 1. จาง 2. หวาง 3. หลี่ 4. จ้าว 5. หลิว 6. เฉิน 7. หยาง 8. หลิน 9. สวี 10.โจว สิบแซ่นี้รวมกันแล้วมีประมาณ 250 ล้านคน เฉพาะแซ่จางแซ่เดียวก็กว่า 100 ล้านคนเข้าไปแล้วหรือมากเกือบเท่ากับคนอังกฤษและฝรั่งเศสสองประเทศรวมกัน ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในสาธาณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ 1. หลี่ 2. หวาง 3. จาง 4. หลิว 5. เฉิน 6. หยาง 7. จ้าว 8. หวง 9. โจว 10.หวู 11. สวี 12.ซุน 13.หู 14.จู 15.วัง 16.หลิน 17.เหอ 18.กวัว 19.ไช่ 20.หม่า ยี่สิบแซ่นี้รวมกันแล้วประมาณ 56% ของคนจีนทั้งประเทศ หรือมากกว่า 600 ล้านคน อันดับหนึ่งถึงสี่คือ หลี่ หวาง จาง หลิว แต่ละแซ่มีมากกว่า 70 ล้านคน หรืออีกนัยหนึ่ง แต่ละแซ่ดังกล่าวนี้มีมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ
ส่วนทางจีนไต้หวัน ซึ่งเป็นชุมนุมชาวจีนที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็ได้มีการสำรวจเรื่องราวเกี่ยวกับการใช้แซ่ตระกูลจีน เช่นกัน ปรากฏว่ามี
ยี่สิบอันดับแซ่ที่มีผู้ใช้ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในได้หวัน ได้แก่ 1. เฉิน 2. หลิน 3. หวง 4. จาง 5. หลี่ 6. หวู 7. หวาง 8. ไช่ 9. หลิว 10.หยาง 11.เคอ 12.เจี่ยน 13.ถาง 14.ตู้ 15.เหอ 16.หาน 17.เจิ้ง 18.ล่าย 19.ชิว 20.หง
ที่ไต้หวันนี้มีคำกล่าวว่าเฉินหลินหมั่นเทียนเซี่ย แปลว่า คนแซ่เฉิน แซ่หลิน มีเต็มแผ่นดิน คนแซ่เฉิน มีประมาณ 12.29 % ของประชากรไต้หวัน ส่วนคนแซ่หลินมีประมาณ 8.5 % ทางด้านเกาหลีใต้ซึ่งมีประชากร 40 ล้าน มีคนแซ่จิน (กิม) มากถึง 9 ล้านคน นอกจากคนจีนนิยมใช้แซ่เป็นเครื่องกำหนดสายพันธุ์ของตระกูลแล้ว ประเทศญี่ปุ่นที่รับเอาวัฒนธรรมจีนไปใช้ ก็ใช้แซ่ตระกูลอย่างชาวจีนด้วย และน่าสังเกตุว่า แม้คนญี่ปุ่นจะมีจำนวนน้อยกว่าจีนถึงสิบเท่า แต่กลับมีแซ่ตระกูลมากกว่าคนจีนเสียอีก ญี่ปุ่นมีแซ่ตระกูลมากกว่า 120,000 แซ่
ส่วนประเทศไทยนั้น เมื่อต้นปี 2535 รายการเมืองไทยก้าวไกล ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 9 ได้นำเสนอเรื่องราวของสิบอันดับแซ่ตระกูลจีนที่มีผู้ใช้มากที่สุดในเมืองไทย
ถ้าเราค่อย ๆ นับไล่ย้อนหลังไปจากปัจจุบันที่มีแซ่ใช้ประจำ 5,007 แซ่ ในสมัยราชวงศ์หมิงมีเพียง 1,000 แซ่ สมัยราชวงศ์ซ่งมี 600 แซ่ สมัยราชวงศ์ถังมี 293 แซ่ สมัยราชวงศ์โจวมีเพียง 22 แซ่ สมัยหวงตี้กลับมี 12 แซ่ แล้วถึงตัวหวงตี้เอง มีเพียงเดียว
อย่างนี้ย่อมนับได้ว่าคนจีนทุกคน ไม่ว่าปัจจุบันจะใช้แซ่อะไรก็ตาม ล้วนแต่เป็นสายเลือดเดียวกันทั้งนั้น ถ้าเรายอมรับตามความคิดนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสงบสันติสุข ไม่อยากฆ่าฟันทำลายล้างกันอีกต่อไป ปัจจุบันชาวโลกมีท่าทีเป็นมิตรต่อกันมากขึ้น เพราะต่างตระหนักดีว่า การทำตัวเป็นศัตรูกันอย่างงมงานด้วยการถือเขาถือเราเป็นคนละเผ่ากันนั้น ย่อม เป็นความคิดที่ล้าหลังน่าหัวเราะ โลกนี้แคบลงทุกวันตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มพูนขึ้น ซึ่งเดี๋ยวนี้มีมากมายกว่า 5,300 ล้านคน การที่คนจีนมีจำนวนถึง ประมาณ 1,200 ล้านคนในประเทศ และอีกเกือบ 100 ล้านคนในประเทศอื่นทั่วโลก เทียบได้ว่าพลโลกทุกสี่คนจะเป็นคนจีนหนึ่งคน ความเป็นมาของคนจีน จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจศึกษาเรียนรู้อยู่ไม่น้อย จนอาจกลาวได้ว่าการศึกษาความเป็นมาของคนจีน คือการศึกษาความเป็นมาของมวลมนุษย์ คำนี้คิดว่าคงไม่ใช่คำกล่าวที่เกิดเลยความจริง เพราะชาติจีนเป็นชาติหนึ่งซึ่งดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตตราบกระทั่งปัจจุบัน มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างไม่ขาดตอน เป็นชาติเดียวในโลก ที่มีคนใน สายลือดกระจายไปอยู่ทุกทวีป เป็นชาติเดียวในโลก ที่มีระบอบการปกครองที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมาครบทุกรูปแบบ ครบเครื่องทั้งระบอบราชาธิปไตย ประชาธิปไตยเผด็จการ สังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ระบอบกึ่งอาณานิคม เสรีนิยม และอำนาจนิยม .
»
|
|
hakka@hakkapeople.com คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม | Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal |
(No subject)