|
|
บทที่2. เทศกาลชิงหมิง(清明)
เขียนโดย 过客 เมื่อ พฤ, 24/04/2014 - 22:46.
บทที่2. เทศกาลชิงหมิง(清明) 清明 [唐] 杜牧 清明時節雨紛紛,路上行人欲斷魂; 借問酒家何處有,牧童遙指杏花村。 หยาดฝนโปรยปรายยามชิงหมิง คนเดินทางหัวใจแทบขาดรอน วอนถามร้านสุรามีอยู่ที่ใด หนุ่มโคบาลชี้ไปซิ่งฮวาชุน
บทกวีอันลือชื่อของตู้มู่(杜牧)นักกวีในสมัยราชวงศ์ถัง(唐)สำหรับบทกวีนี้ตู้มู่แต่งขึ้นในวันเทศกาลชิงหมิง(清明)ขณะที่ตนเองนั่งอยู่บนหลังควายเดินโขยกเขยกไปตามทางท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา มีชายผู้หนึ่งเดินทางมาอย่างรีบเร่ง แล้วถามขึ้นว่ามีร้านขายเหล้าอยู่ที่ไหน ตู้มู่มองเห็นป้ายร้านขายเหล้าที่หมู่บ้านซิ่งฮวาชุน(杏花村)ปรากฏเด่นขึ้นข้างหน้าท่ามกลางอากาศที่ขมุกขมัว จึงร่ายโศลกออกมาเป็นบทกวีนี้ กาลเวลาผ่านไปร่วม 1000 ปี บทกวีนี้นอกจากจะเป็นบทกวีประจำเทศกาลวัน(清明)แล้ว ยังถูกนำไปดัดแปลงใช้กับเทศกาลอื่นๆอีกมากมาย แม้ในยามที่เกิดเหตุการณ์ผิดปกติทางสังคม ก็ยังมีคนนำไปดัดแปลงให้เข้ากับแต่ละยุคสมัย 清明時節亂紛紛,城裏先生欲斷魂。 借問主人何處去,館童遙指在鄉村。 ไฟสงครามท่วมทั่วยามชิงหมิง ครูในโรงเรียนหัวใจแทบขาดรอน วอนถามผู้คนหายไปไหน ภารโรงชี้มือไปท้องทุ่ง เมื่อครั้งเกิดกรณีปราบปรามผู้ชุมนุมกรณีเทียนอานเหมิน(天安門)ในปีค.ศ. 1976 ก็มีคนนำบทกวีนี้มาดัดแปลงว่า 清明时节泪纷纷,八亿人民恸断魂。 借问怨从何处起?红墙里面出妖精。 เทศกาลชิงหมิงน้ำตานอง 800ล้านคนหัวใจสลาย วอนถามแค้นนี้มาจากไหน ปีศาจร้ายเกิดในกำแพงแดง
官车队队出纷纷,鸡鸭猪羊吓断魂。 红面关公在何处?百姓遥指杏花村。 ขบวนขุนนางไหลหลั่งไม่ขาดสาย เหล่าหมูเห็ดเป็ดไก่ล้วนขวัญผวา วอนถามเทพกวนอูอยู่ที่ไหน ผู้คนต่างชี้ไปซิ่งฮวาชุน[1](P40)
เทศกาลชิงหมิง วันท่องธรรมชาติ(清明踏青) 梨花风起正清明,游子寻春半出城。 日暮笙歌收拾去,万株杨柳属流莺。 ลมสะบัดพัดหลีฮวายามชิงหมิง คนเดินทางท่องเที่ยวกันมากหลาย เสียงขลุ่ยยามเย็นจางหายไป แว่วเสียงวิหคร้องก้องป่าหลิว
หานสือชำหลิวงดฟืนไฟกินอาหารเย็น เจี้ยจื่อทุยเผากายที่เหมียนซาน (寒食插柳禁火 賈子推焚身棉山) การงดฟืนไฟกินอาหารเย็นหมายถึงงดการติดไฟทำอาหาร จึงต้องกินอาหารที่ทำไว้ก่อนหรืออาหารที่ไม่ต้องหุงต้ม เรียกว่าเทศกาลหานสือ(寒食)เทศกาลหานสือจะอยู่ถัดจากเทศกาลตงจีเย๋(冬節)ไป 105วัน ก็จะตกอยู่ก่อนหน้าเทศกาลชิงหมิง 1 หรือ 2 วัน ตั้งแต่ยุคก่อนสมัยฉิน(秦)จนถึงยุคหนานเป่ย(南北朝)จะมีการฉลองเทศกาลนี้อย่างเอิกเกริก และค่อยๆลดความสำคัญลงในสมัยถัง(唐)ความเป็นมาของเทศกาลนี้มีหลายตำนาน เรื่องหนึ่งที่สืบขานในหมู่ชนชาวจีนมาจนถึงปัจจุบันคือ เพื่อเป็นการรำลึกถึงความจงรักษ์ภัคดีของขุนนางแห่งแคว้นจิ้นเจี้ยจื่อทุย(介子推) ในยุคสมัยชุนชิว(春秋)ปลายสมัยราชวงศ์โจว องค์รัชทายาทแห่งแคว้นจิ้นฉงเอ่อ(重耳) ต้องหลบหนีการตามล่าของฮองเฮาหลีจี(骊姬)ออกเร่ร่อนระหกระเหินเป็นเวลานานถึง 19 ปี เหล่าขุนนางและผู้ติดตามต่างก็ล้มตายหนีหายไปเหลือเพียง5ทหารเสือผู้ภัคดี มีอยู่ครั้งหนึ่งฉงเอ่อ ถูกไล่ล่าไปป่วยอยู่ในที่ๆกันดารแห่งหนึ่งไม่มีอาหาร ขุนนางผู้ซื่อสัตย์เจี้ยจื่อทุย จึงเฉือนเนื้อที่ขาตนเองต้มเป็นน้ำซุบให้ฉงเอ่อกิน เมื่อฉงเอ่อหายแล้วเห็นเจี้ยจื่อทุย เอาผ้าพันขาเอาไว้และมีเลือดไหลซึม จึงถามว่า ขาของท่านไปโดนอะไรมา เจี้ยจื่อทุย จึงบอกตามความจริง ฉงเอ่อ รู้สึกตื้นตันใจกล่าวทั้งน้ำตาว่า วันหลังถ้าเราได้แผ่นดินคืนมาจะต้องตอบแทนความดีของท่านอย่างหนัก ต่อมาฉงเอ่อ ได้รับความช่วยเหลือจากอ๋องฉินมู่กง ยึดเอาแผ่นดินจิ้นคืนมาได้สถาปนาตนเองเป็นอ๋องจิ้นเหวินกง(晋文公)และได้ทำนุบำรุงบ้านเมืองจนเข้มแข็งเป็น 1 ใน 5 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชุนชิว(春秋五霸)ในเวลาต่อมา จิ้นเหวินกง ได้ตอบแทนขุนนางที่มีความดีความชอบกันทั่วหน้า แม้แต่ผู้ที่เคยหลบหนีหายไปในยามลำบากยากเข็ญก็ได้รับบำเน็จเช่นกัน แต่กลับลืมเจี้ยจื่อทุยเสียสนิท จนมีขุนนางที่รักใคร่เจี้ยจื่อทุยเขียนบทกลอนติดไว้ที่หน้าพระราชวังว่า 有龙矫矫,顷失期所。五蛇从之,周遍天下。 龙饥无食,一蛇割腹。龙返其渊,安其壤土。 四蛇入穴,皆有处所。一蛇无穴,号于中野。 ลูกมังกรเยาว์วัยสูญเสียบัลลังก์ทอง ห้าเสือสู้ติดตามไปทั่วหล้า มังกรยามหิวโหยหนึ่งเสือสู้เฉือนเนื้อ มังกรคืนถ้ำยึดครองบัลลังก์ทอง สี่เสือล้วนมีวังสิงสถิตย์ทั่ว หนึ่งเสือไร้รังหวนคืนสู่ป่าเขา จิ้นเหวินกง เห็นเข้าจึงนึกได้ว่าในหลายปีมานี้ตนเองลืมเจี้ยจื่อทุยเสียสนิท จึงส่งคนไปตามเจี้ยจื่อทุย กลับมา แต่เจี้ยจื่อทุย ไม่ยอมให้พบกลับพามารดาหลบหนีไปอยู่ที่เขาเหมียนซาน มีคนแนะนำว่าถ้าจุดไฟเผาเหมียนซาน เจี้ยจื่อทุยคงต้องพามารดาหนีออกจากป่าเขา แต่หลังจากที่จุดไฟเผาเหมียนซานอยู่ 3 วัน 3 คืนก็ไม่เห็นเจี้ยจื่อทุย ออกมา พอไฟดับมอดแล้วจึงพบว่าเจี้ยจื่อทุย และมารดาถูกไฟครอกตายที่โคนต้นหลิวต้นหนึ่ง โดยที่เจี้ยจื่อทุยเอาหลังยันปิดรูโพลงโคนต้นหลิวไว้ ภายในโพลงมีเศษผ้าผืนหนึ่ง บนผ้าผืนนั้นมีข้อความที่เขียนด้วยเลือดว่า 割肉奉君盡丹心,但願主公常自明。 柳下做鬼終不見,強似伴君做諫臣。 倘若主公心有我,憶我之時常自省。 臣在九泉心無愧,勤政清明復清明。 เฉือนเนื้อมอบถวายสุดใจภัคดิ์ เพียงหวังเจ้าเหนือหัวใจเห็นธรรม เป็นผีเฝ้าโคนหลิวไม่พบหน้า ดีกว่าคอยขัดคออยู่ข้างกาย หากใจเหนือหัวยังมีข้าประชาชี ยามหวนคิดควรมีจิตสำนึก แม้นอยู่ในปรโลกไม่เสียใจ มุ่งสร้างสังคมใหม่ให้รุ่งเรือง จิ้นเหวินกง เศร้าโศกเสียใจยิ่งนักจึงประกาศให้งดติดไฟทำการใดๆในวันนี้ของทุกๆปีเป็นเวลา 3 วัน เรียกว่าวันเทศกาลหานสือ และเปลี่ยนชื่อเหมียนซานเป็นเจี้ยซาน วันที่เจี้ยจื่อทุยถูกไฟครอกตายคือวันก่อนหน้าเทศกาลชิงหมิงหนึ่งวัน จึงกลายเป็นวันเทศกาลหานสือ งดไฟกินอาหารเย็นสืบมา ปีต่อมาจิ้นเหวินกง เดินทางไปไว้อาลัยเจี้ยจื่อทุยอีก เห็นต้นหลิวที่เจี้ยจื่อทุย แม่ลูกถูกไฟครอกตาย กลับงอกงามแตก กิ่งก้านสาขา จึงหักกิ่งหลิวมาขดเป็นวงสวมที่หัว เหล่าขุนนางเห็นเข้าจึงทำตามบ้าง บางคนก็เอากิ่งหลิวเสียบที่อกเสื้อ กลายเป็นประเพณีใส่มงกุฏหลิว เสียบกิ่งหลิวในวันนี้[1](P59-60) ต่อมามีคนเอากิ่งหลิวเสียบที่ประตูบ้าน และปักชำบนพื้นดิน ต้นหลิวเป็นไม้ที่ขึ้นง่ายชำที่ไหนก็งอกงามที่นั่น ไม้หลิวถือเป็นหนึ่งในไม้มงคล เจ้าแม่กวนอิม ก็ใช้กิ่งหลิวในแจกันทิพย์พรมน้ำทิพย์ สามารถขับไล่ภูตผีปีศาจ ขจัดทุกข์ คนจีนจึงนิยมเสียบกิ่งหลิวและชำกิ่งหลิวกันในวันนี้ [1] 乐麒麟.中国传统节日择吉大通书[M].北京:气象出版社,2001.
ชิงหมิง บูรณะสุสานบูชาบรรพบุรุษ(清明扫墓祭祖)
จีนเป็นชนชาติที่มีความพิถีพิถันเรื่องการหราบไหว้บูชาบรรพบุรุษมาตั้งแต่สมัยโบราน ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลไหนๆก็ต้องมีการกราบไหว้บรรพบุรุษอยู่เสมอ คนที่มีฐานะทางสังคมหรือมีฐานะร่ำรวย มักนิยมสร้างสุสานบรรพบุรุษ หรือจัดพิธีบูชาบรรพบุรุษอย่างใหญ่โตหรูหรา โดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ลูกหลาน เจริญรุ่งเรืองร่ำรวยยิ่งๆขึ้น พูดถึงวันชิงหมิง อย่างที่กล่าวไว้แต่ต้นว่าเป็นช่วงที่บรรยากาศเข้าสู่ช่วงความอบอุ่นอย่างแท้จริง ท้องฟ้าสดใสดอกไม้บานสะพรั่ง ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี เหมาะแก่การท่องเที่ยวเขียนรูปเขียนบทกวี แล้วประเพณีบูรนะสุสานบูชาบรรพบุรุษในวันชิงหมิงนั้นมีความเป็นมาอย่างไร เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยปลายราชวงศ์ฉิน ราชสำนักอ่อนแอหัวเมืองน้อยใหญ่ต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ หลิวปาง(ฮั่นอ๋อง) ได้รวบรวมคนดีมีฝีมือทำสงครามแย่งชิงแผ่นดินกับ เซี่ยงยวี่(ฉู่อ๋อง) ที่คนไทยเรารู้จักกันในนาม ฉ้อปาอ๋อง มาเป็นเวลายาวนาน จนในที่สุดหลิวปาง สามารถได้รับชัยชนะในสงคราม สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮั่นเกาจู่ ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น หลังจากนั้นได้เดินทางกลับสู่บ้านเกิด และไปกราบไหว้สุสานบรรพบุรุษซึ่งตรงกับวันชิงหมิงพอดี แต่เนื่องจากภัยสงครามทำให้สุสานถูกปล่อยให้รกร้าง หลิวปางไม่สามารถจำแนกสุสานบรรพบุรุษของตนเอง จึงเอากระดาษฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย อธิษฐานว่า ขอให้วิญญาณของบรรพบุรุษบนสรวงสวรรค์ ดลบันดาลให้เศษกระดาษเหล่านี้หล่นลงบนที่ตั้งสุสานบรรพบุรุษของตนเอง แล้วโปรยเศษกระดาษเหล่านั้นให้ลอยไปตามกระแสลม เศษกระดาษเหล่านั้นต่างปลิวกระจัดกระจาย แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งตกลงที่ป้ายสุสานแห่งหนึ่งโดยไม่เคลื่อนไปไหน เมื่อหลิวปางเข้าไปค้นดูก็พบป้ายชื่อของบิดามารดา จึงสั่งให้ลิ่วล้อเร่งทำการบูรณะสุสานแล้วทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็ทำการบูรณะสุสานกราบไหว้บรรพบุรุษในวันชิงหมิง จึงกลายเป็นประเพณีบูรณะสุสานบูชาบรรพบุรุษในวันเทศกาลชิงหมิงสืบต่อมา[1](P69) และเนื่องจากวันเทศกาลหานสือ อยู่ก่อนหน้าหนึ่งวัน และการงดไฟกินอาหารเย็นก็ทำติดต่อกัน 3 วัน ซึ่งก็เลยมาถึงวันชิงหมิงอยู่แล้ว จึงรวมเป็นเทศกาลเดียวกันในเวลาต่อมา [1] 刘刚,李辉.节日的故事[M].北京:中国旅游出版社,2004. »
|
|
hakka@hakkapeople.com คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม | Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal |
ความคิดเห็นล่าสุด
7 hours 28 min ก่อน
12 hours 21 min ก่อน
15 hours 33 min ก่อน
1 วัน 9 hours ก่อน
3 days 7 hours ก่อน
1 สัปดาห์ 2 days ก่อน
1 สัปดาห์ 3 days ก่อน
1 สัปดาห์ 3 days ก่อน
1 สัปดาห์ 3 days ก่อน
1 สัปดาห์ 4 days ก่อน