หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

หรูกั่วเหมยโหย่วหนี่ (如果没有你) " ถ้าไม่มีเธอ" โดย ไป่กวง(白光)

รูปภาพของ วี่ฟัด

<如果没有你>

如果没有你日子怎么过
ru2 guo3 mei2 you3 ni3 ri4 zi zen3 me guo4
หรูกั่วเหมยโหย่วหนี่ รื่อจื่อเจิ่นเมอกั้ว
หากไม่มีคุณ จะผ่านวันเวลาไปเช่นไร

我的心也碎我的事也不能做
wo3 de xin1 ye3 sui4 wo3 de shi4 ye3 bu4 neng2 guo4
หวั่วเตอซินเหยี่ยซุ่ย หวั่วเตอซื่อเหยี่ยปู้เหนิงจั้ว
ใจฉันคงสลาย ไม่เป็นอันทำอะไรทั้งสิ้น

如果没有你日子怎么过
ru2 guo3 mei2 you3 ni3 ri4 zi zen3 me guo4
หรูกั่วเหมยโหย่วหนี่รื่อจื่อเจิ่นเมอกั้ว
หากไม่มีคุณ จะผ่านวันเวลาไปเช่นไร

反正肠已断我就只能去闯祸
fan3 zheng4 chang2 yi3 duan4 wo3 jiu4 zhi3 neng2 qu4 chuang3 huo4
ฝ่านเจิ้งฉังอี่ต้วน หวั่วจิ้วจื่อเหนิงชี่ว์ฉ่วงฮั่ว
ต่อให้ไส้ขาดฉันยังได้แต่สู้ทนต่อไป

*我不管天多么高
wo3 bu4 guan3 tian1 duo1 me gao1
หวั่วปู้ก่วนเทียนตัวเมอเกา
ฉันไม่สนว่าฟ้าสูงแค่ไหน

更不管地多么厚
geng4 bu4 guan3 di4 duo1 me hou4
เกิ้งปู้ก่อนตี้ตัวเมอโฮ่ว
ยิ่งไม่สนว่าแผ่นดินต่ำ(หนา)เพียงใด

只要有你伴着我
zhi3 yao4 you3 ni3 ban4 zhe wo3
จื่อเย่าโหย่วหนี่ปั้นเจอะหวั่ว
ขอเพียงมีคุณเคียงข้างกาย

我的命便为你而活
wo3 de ming4 bian4 wei4 ni3 er2 huo2
หวั่วเตอมิ่งเปี้ยนเว่ยหนี่เอ๋อร์หัว
ชีวิตของฉันนั้นมีอยู่เพื่อคุณ

如果没有你日子怎么过
ru2 guo3 mei2 you3 ni3 ri4 zi zen3 me guo4
หรูกั่วเหมยโหย่วหนี่ รื่อจื่อเจิ่นเมอกั้ว
หากไม่มีคุณ จะผ่านวันเวลาไปเช่นไร

你快靠近我一同建起新生活
ni3 kuai4 kao4 jin4 wo3 yi4 tong2 jian4 qi3 xin1 sheng1 huo2
หนี่ไคว่เค่าจิ้นหวั่ว อี้ถงเจี้ยนฉี่ซินเซิงหัว
คุณโปรดรีบเข้ามาใกล้ฉัน เราจะสร้างชีวิตใหม่ไปด้วยกัน**

ซ้ำ *-** 1 รอบ

อธิบายศัพท์

闯祸(chuang3 huo4) แปลว่า ก่อเรื่อง สร้างเรื่องวุ่นวาย
天高地厚(tian1 gao1 di4 hou4) ฟ้าสูงแผ่นดินหนา เป็นสำนวนตรงกับสำนวนไทยที่ว่า ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

อันนี้อาจี้ไช่ฉินร้องครับ

อันนี้เหยาชูหรงร้องครับ

          

ไป่กวง แซ่เดียวกับหลิมคุณเลยครับ เป็นแซ่ที่ค่อนข้างหายากหน่อย

นำมาจาก http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000028176


รูปภาพของ วี่ฟัด

伴山客

             ภาษาจีนเป็นภาษาสนุกเอามาเล่นคำกันได้อย่างสนุกสนานที่เราเห็นกันอยู่แล้วเช่นคำว่า " 到 " แปลว่า " ถึง " กับคำว่า " 倒 " แปลว่า " กลับ หรือ หก " ซึ่งทั้งสองคำนี้เป็นคำพ้องเสียงกันอ่านว่า " เต้า " ทั้งสองคำ เห็นมั้ยครับแค่มีเหรินจื้อผางกับไม่มีเหรือจื้อผางเท่านั้นความหมายก็แตกต่างกัน ที่เขาเอามาเล่นกับ " 福 " หรือตัวฝูกลับหัว

            แต่เนื้อเพลง如果没有你 ทำให้ไหง่รู้ศัพท์เพิ่มมาอีกคำหนึ่งคือคำว่า " 伴 " ซึ่งไหง่ก็สงสัยเหมือนกันว่าคำว่า " 半 " แต่มีเหรินจื้อผางเพิ่มเข้ามาว่าจะแปลว่าอะไรจึงไปค้นฉือเตี่ยนจึงได้ความหมายมาดังนี้ครับ

คำอ่าน

ban4   (ㄅㄢˋ)

คำแปล

1.เพื่อน (ที่ร่วมกันกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือร่วมการเดินทาง) 2.ร่วม

/a partner/companion or associate/to accompany/comrade/

ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า " 半 "

คำอ่าน

ban4   (ㄅㄢˋ)

คำแปล

1.ครึ่งหนึ่ง, หนึ่งในสองส่วน 2.ระกว่างกลาง 3.อุปมาว่าน้อยมาก 4.ไม่ทั้งหมด

/half/semi-/incomplete/(after a number) and a half/half/

               คำทั้งสองคำดังกล่าวเป็นคำที่มีเสียงเดียวกันหรือพ้องเสียงกัน เพียงแต่มีเหรินจื้อผางกับไม่มีเหรินจื้อผางเท่านั้น ดังนั้นถ้าไหง่มีอารมณ์คันๆในวันครึ้มฟ้าครืมฝนในวันนี้อยากจะเป็นนักภาษาศาสตร์กับเขาบ้างกำหนดคำขึ้นมาหนึ่งคำไหง่ว่ามีความหมายดีมากเลยนะครับว่า " 伴山客 " ซึ่งอาจจะแปลได้ว่า " เพื่อนชาวฮากกาผู้ร่วมเดินทางข้ามภูเขามาด้วยกัน " หรือ " เพื่อนชาวฮากกาผุ้อยู่ร่วมภูเขาเดียวกัน " โอ้โห อลังการงานสร้างจริงๆ ทเว้นตี้เซ้นจุรี่ฟ็อก ยังสู้ไม่ได้เลย

ดีครับ? ดีจริง!

           พูดแบบไม่เอาใจกันนะ(ปกติใครเอาใจวี่ฟัดโกแบบโง่ๆ เจอมะเหงกแน่) ข้อเสนอนี้ไหง่ว่าเข้าท่า เดินข้ามเขามาด้วยกัน คิดได้ไง???

รูปภาพของ วี่ฟัด

นั่นนะซิไหง่ยังงงๆอยู่เลยว่าคิดได้อย่างไร

ไม่รู้เหมือนกันครับว่าคิดมาได้อย่างไรอาหงิ่วโก นี่แหละความคิดฝันอันบรรเจิดของไหง่ที่มันมีออกมาได้เสมอๆ นี่แหละที่เขาเรียกว่าคิดนอกกรอบถ้าติดในกรอบก็จะไม่กล้าคิดต่าง เหมือนอาเหลียวศุขกี่ติดอยู่ในกรอบของคำว่า " ซินแหน่น " กี่ไม่ยอมออกนอกกรอบมาสวัสดีหนีฮ่าวกับ " ฮินแหน่น " " หินแหน่น " " ฮินเหน่น " บ้างกี่ก็จะหงุดหงิดเป็นทุกข์ การติดอยู่ในกรอบนี่ในทางพระพุทธศาสนาเขาเรียกว่า " อุปาทาน " ซึ่งหมายถึงการยึดมั่นถือมั่นอยูในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุท่านเรียกให้ฟังง่ายๆว่า " ตัวกูของกู " มีอุปาทานมากๆความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด ความคิดมันตัน พอละอุปาทานได้นี่แหละทำให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช้ปัญญาแบบไร้กรอบอุปาทานมากำกับ ยิ่งใช้ " โยนิโสมนสิการ " หรือที่เราเรียกว่าวิธีคิดตามวิถีพุทธธรรมมาทำให้เกิดหลักธรรมคำสั่งสอนที่สุดยอดมาก

ที่จริงทุกๆศาสนาล้วนสอนให้ละอุปาทานมิใช่แต่เพียงทางพระพุทธศาสนาเท่านั้น ในทางพระคริสต์ศาสนาเขาบอกว่า " ถ้าเขาตบแก้มซ้ายให้ยื่นแก้มขวาให้เขาตบ " นี่แหละชัดเจนมากว่าทางคริสต์ศาสนาเขาก็สอนให้ละในอุปาทาน หรือความยึดมั่นว่าเป็นตัวกูของกู เพราะถ้าไม่ละอุปาทานความยึดมั่นในตัวตนแล้วคริสต์ศาสนาคงต้องสอนว่าถ้าเขาตบแก้มซ้ายให้อัดมันกลับไปหนึ่งที การละไม่ยึดถือในอุปาทานตัวกูของกูจึงสำคัญมาก ละได้พระนิพพานอยู่ไม่ไกลแล้วครับญาติโยม

รูปภาพของ วี่ฟัด

จากสูตรของเว่ยหล่างถึงสตีฟ จอบส์

              มีนิทานเซ็นอยู่เรื่องหนึ่งที่อธิบายในเรื่องอุปาทานได้ดีมากเลยครับ พอรับฟังและรับทราบถ้าพอเข้าใจบ้างแล้วเหมือนจะเกือบบรรลุธรรมไปชั้นหนึ่งทีเดียว

              เรื่องมีอยู่ว่า..
ในขณะที่ท่านเว่ยหล่างยังเป็นสามเณรน้อยอยู่นั้น ท่านอาจารย์ของท่านเว่ยหล่างได้ให้ศิษย์เอกท่านหนึ่งแต่งโศลกเพื่อทดสอบภูมธรรมของศิษย์เอก

              ศิษย์เอกจึงได้แต่งโศลกว่า

               " กายคือต้นโพธิ์. ใจคือกระจกเงาใส. หมั่นเช็ดถูกระจกไม่ให้ฝุ่นมาเกาะ " ( ฝุ่นในที่นี้ก็หมายถึงกิเลส ตัณหานั่นเองครับ )

                พอท่านเว่ยหล่างซึ่งในขณะนั้นยังเป็นสามเณรน้อยอยู่ พอเห็นโศลกดังนั้นจึงแต่งโศลกเพิ่มเติมอีกว่า

                " ไม่มีต้นโพธิ์. ไม่มีกระจกเงาใส. แล้วฝุ่นจะเกาะอะไรอีกหละ "

                การยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตนนี่แหละคือตัวอุปาทาน กิเลส ตัณหา เกิดขึ้นเพราะความยึดมั่นว่าเป็นตัวของเรา เป็นของของเรา แต่ถ้าละอุปาทานออกจากขันต์ทั้งห้าแล้วหรือละความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวของเราหรือของของเราแล้วกิเลส ตัณหาแทบจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

               " ไม่มีต้นโพธิ์ ไม่มีกระจกเงาใส " ก็หมายถึงการละอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็น " ตัวกูของกู "

               เป็นไงครับไหง่เอาไอแผดมาเขียนหลักธรรมเซนยาวๆก็ลำบากดีนะครับ แต่พอจับไอแผดทีไร หลักธรรมเซน ออกมาทุกทีสงสัย " สตีฟ จอบส์ ". เข้าสิง ท่านจะทราบหรือไม่ว่าสตีฟ จอบส์ ก็เป็นผู้หนึ่งที่นับถือและศึกษาพระพุทธศาสนาแบบนิกายเซนอย่างจริงจังมานานแล้วตั้งแต่จอบส์ยังหนุ่มๆอยู่ บางทีความคิดสร้างสรรค์ที่สุดยอดของจอบส์อาจมาจากการคิดนอกกรอบเพราะการละอุปาทาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นในกรอบเดิมๆก็ได้ครับ

" เข้าท่า " ก้าวกระโดดสู่ความเป็นหนึ่งเดียว!

          ที่ไหง่มีความเห็นว่า " เข้าท่า " เพราะข้อคิดของวี่ฟัดโก ดีทั้ง " อรรถ " ข้อความ และ " อักขระ " ตัวอักษร ซึ่งเป็นแบบเดียวกับคําว่า " ไต " ซึ่งเป็นคนไทยต้นรากอยู่ที่ยูนาน แต่เมื่อเคลื่อนย้ายปักหลักที่สุวรรณภูมิ ก็มาใช้ว่า " ไทย " ตัว " ไต " มีเหรินจื้อผาง แต่ส่วน " ไทย " ไม่มี ที่สําคัญมีความหมายกว้างกว่า เพราะไม่ได้หมายถึงคนอย่างเดียว

          นั่นเป็นความเห็นทางอักษรศาสตร์เท่านั้น ส่วนในความเป็นจริง ฮักฯเราได้ก้าวกระโดดแบบ " ซาโตริ " คือเป็น " ฮักกาหงิ่น " เสมอเท่าเทียมหลอมเป็นหนึ่ง ดังดูได้จากฮากกาสัมพันธ์ที่พิษณุโลก แล้วโกออกจะเหน็ดเหนื่อยกว่าคนอื่น เพราะเป็นอะไรหลายอย่างในคนๆเดียว ซึ่งคนที่มีความพร้อมแบบนี้หาไม่ได้ง่ายนัก !

          ส่วนเรื่องอาเลี้ยวโกนั้น กื๋อเข้าตําราคนแก่ขี้น้อยใจหนึ่ง แล้วกื๋อก็มีความไม่พร้อมจากข้อเขียนที่ว่า ว่างงานไม่มีรายได้ และไม่เห็นได้อะไร อีกทั้งกือมีข้อจํากัดเรื่องเวลาการเล่นเน็ตที่ต้องรอคิว พอโกแหย่ไปนิดหน่อย ก็พาลหาเหตุ แต่ก็ทิ้งพิษไว้ว่าตนนั้นความรู้มากมาย มันก็ไปเข้าตําราว่า " ความรู้ท่วมหัว.....? "

          ส่วนฮู้ยหนึงหรือเว่ยหล่าง ท่านเป็นสังฆปรินายกองค์ที่ 6 ถือได้ว่าท่านเป็นปรมาจารย์อมตธรรม เพราะกายสังขารท่านยังอยู่ครบบริบูรณ์ ในเจดีย์ที่โซกาย แม้ผ่านกาลเวลามานานกว่า 1500 ปี ส่วนสตีฟ จอบส์ ถ้าเวลาผ่านไป 1500 ปี คนยังจะพูดถึงหรือไม่? แต่ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่ง " ศตวรรษที่ 21 " ที่พัฒนาเครื่องมือสื่อสารได้ดีที่สุดคนหนึ่ง!

รูปภาพของ วี่ฟัด

" น้ำชาล้นถ้วย "

ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับอาหงิ่วโก ไปบอกว่าอาศุข " มีความรู้ท่วมหัว ................ " ไหง่ว่าไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไหง่ว่าอาศุขนี่เชิงมวยกี่ดีน๊ะ พอกี่โดนลูกแย๊ปไปหลายๆดอก กี่ก็เลยตั้งการ์ดสูงเลยโดยแจ้งกับพวกเราว่ากี่นี่ไม่ใช่ขี้ๆนะคนมีภูมิความรู้น๊ะโว้ยอย่ามาแหยม สงสัยกี่จะชอบดูมวยเมื่อสมัยเมื่อสักเกือบสี่สิบปีก่อน ที่แคสเซียส เคลย์ หรือโมฮัมหมัดอาลี ต่อยกับ โจ ฟราเซีย โมฮัมหมัดอาลีกี่ตั้งการ์ดปิดให้โจ ฟราเซีย ต่อยอยู่ข้างเดียว พอโจ ฟราเซีย ต่อยจนเหนื่อย ทีนี่แหละอาศุขจะมาน๊อกพวกเราก็ได้

แต่ไหง่ว่าอาศุขนี่ไม่ใช่เข้าประเภทว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดหรอก อันนี้ก็รุนแรงเกินไป แต่ไหง่ว่าอาศุขนี่จะเข้าตำรานิทานเซน ( อีกแล้ว เอาใจสตีฟ จอบส์ เขาหน่อย ) เรื่องที่ว่า " น้ำชาล้นถ้วย " ตะหากหรือไม่จริง ถ้ากี่ยอมรินน้ำชาเก่าออกบ้างแล้วรับน้ำชาใหม่เข้าไป ไหง่ว่ากี่จะรุ่งมากๆเลย วันนีไหง่จึงขอเอานิทานเซนมาฝากในเรื่องน้ำชาล้นถ้วย ดังนี้ครับ 

นิทานเซ็น เล่าโดย .. ท่านพุทธทาสภิกขุ เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย

เรื่องที่หนึ่ง ซึ่งไม่อยากจะเว้นเสีย ทั้งที่ เคยเอ่ยถึงแล้ว วันก่อน คือ เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย คือว่า อาจารย์ แห่งนิกายเซ็น ชื่อ น่ำอิน เป็น ผู้มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ และ โปรเฟสเซอร์ คนหนึ่ง  เป็น โปรเฟสเซอร์ ที่มีชื่อเสียง ทั่วประเทศ ไปหา อาจารย์น่ำอิน เพื่อขอศึกษา พระพุทธศาสนา อย่างเซ็น ในการต้อนรับ ท่านอาจารย์ น่ำอิน ได้รินน้ำชา ลงในถ้วย รินจนล้นแล้วล้นอีก โปรเฟสเซอร์ มองดูด้วยความฉงน ทนดูไม่ได้ ก็พูดโพล่งออกไปว่า "ท่านจะใส่มัน ลงไปได้อย่างไร" ประโยคนี้ มันก็แสดงว่า โมโห ท่านอาจารย์ น่ำอิน จึงตอบว่า" ถึงท่านก็เหมือนกัน อาตมาจะใส่อะไร ลงไปได้อย่างไร เพราะท่านเต็มอยู่ด้วย opinions และ speculations ของท่านเอง" คือว่า เต็มไปด้วยความคิด ความเห็น ตามความ ยึดมั่นถือมั่น ของท่านเอง และมีวิธีคิดนึก คำนวณ ตามแบบ ของท่านเอง สองอย่างนี้แหละ มันทำให้เข้าใจ พุทธศาสนาอย่างเซ็น ไม่ได้ เรียกว่า ถ้วยชามันล้น

ท่านครูบาอาจารย์ทั้งหลาย จะเตือนสติเด็กของเราให้รู้สึกนึกคิด เรื่องอะไรล้น อะไรไม่ล้น ได้อย่างไร ขอให้ช่วยกันหาหนทาง ในครั้งโบราณ ในอรรถกถา ได้เคย กระแหนะกระแหน ถึง พวกพราหมณ์ ที่เป็น ทิศาปาโมกข์ ต้องเอาเหล็กมาตี เป็นเข็มขัด คาดท้องไว้ เนื่องด้วย กลัวท้องจะแตก เพราะวิชาล้น นี้จะเป็นเรื่อง ที่มีความหมายอย่างไร ก็ลองคิดดู พวกเรา อาจล้น หรือ อัดอยู่ด้วยวิชาทำนองนั้น จนอะไรใส่ ลงไปอีกไม่ได้ หรือ ความล้นนั้น มันออกมา อาละวาด เอาบุคคลอื่น อยู่บ่อยๆ บ้างกระมัง แต่เราคิดดูก็จะเห็นได้ว่า ส่วนที่ล้น นั้น คงจะเป็นส่วน ที่ใช้ไม่ได้ จะจริงหรือไม่ ก็ลองคิด ส่วนใดที่เป็นส่วนที่ล้น ก็คงเป็น ส่วนที่ใช้ไม่ได้ ส่วนที่ร่างกาย รับเอาไว้ได้ ก็คงเป็น ส่วนที่มีประโยชน์ ฉะนั้น จริยธรรมแท้ๆ ไม่มีวันจะล้น โปรดนึกดูว่า จริยธรรม หรือ ธรรมะแท้ๆ นั้น มีอาการล้นได้ไหม ถ้าล้นไม่ได้ ก็หมายความว่า สิ่งที่ล้นนั้น มันก็ไม่ใช่จริยธรรม ไม่ใช่ธรรมะ ล้นออกไป เสียให้หมด ก็ดีเหมือนกัน หรือ ถ้าจะพูดอย่างลึก เป็นธรรมะลึก ก็ว่า จิตแท้ๆ ไม่มีวันล้น อ้ายที่ล้นนั้น มันเป็นของปรุงแต่งจิต ไม่ใช่ตัวจิตแท้ มันล้นได้มากมาย แต่ถึงกระนั้น เราก็ยังไม่รู้ว่า จิตแท้คืออะไร อะไรควรเป็น จิตแท้ และอะไรเป็นสิ่ง ที่ไม่ใช่จิตแท้ คือ เป็นเพียง ความคิดปรุงแต่ง ซึ่งจะล้นไหลไปเรื่อย นี่แหละ รีบค้นหาให้พบ สิ่งที่เรียกว่า จิตจริงๆ กันเสียสักที ก็ดูเหมือนจะดี

ในที่สุด ท่านจะพบตัวธรรมะอย่างสูง ที่ควรแก่นามที่จะเรียกว่า จิตแท้ หรือ จิตเดิมแท้ ซึ่งข้อนั้น ได้แก่ ภาวะแห่งความว่าง จิตที่ประกอบด้วย สภาวะแห่งความว่างจาก "ตัวกู-ของกู" นั้นแหละ คือ จิตแท้ ถ้าว่างแล้ว มันจะเอาอะไรล้น นี่เพราะเนื่องจากไม่รู้จักว่า อะไรเป็นอะไร จึงบ่นกันแต่เรื่องล้น การศึกษาก็ถูกบ่นว่า ล้น และที่ร้ายกาจที่สุด ก็คือ ที่พูดว่า ศาสนานี้ เป็นส่วนที่ล้น จริยธรรมเป็นส่วนล้น คือส่วนที่เกิน คือ เกินต้องการ ไม่ต้องเอามาใส่ใจ ไม่ต้องเอามาสนใจ เขาคิดว่า เขาไม่ต้อง เกี่ยวกับศาสนา หรือธรรมะเลย เขาก็เกิดมาได้ พ่อแม่ก็มีเงินให้ เขาใช้ให้เขาเล่าเรียน เรียนเสร็จแล้ว ก็ทำราชการ เป็นใหญ่เป็นโต ได้โดยไม่ต้อง มีความเกี่ยวข้อง กับศาสนาเลย ฉะนั้น เขาเขี่ยศาสนา หรือ ธรรมะ ออกไปในฐานะ เป็นส่วนล้น คือ ไม่จำเป็น นี่แหละ เขาจัดส่วนล้น ให้แก่ศาสนาอย่างนี้ คนชนิดนี้ จะต้องอยู่ ในลักษณะที่ ล้นเหมือน โปรเฟสเซอร์คนนั้น ที่อาจารย์น่ำอิน จะต้อง รินน้ำชาใส่หน้า หรือ ว่ารินน้ำชาให้ดู โดยทำนองนี้ทั้งนั้น เขามีความเข้าใจผิดล้น ความเข้าใจถูกนั้นยังไม่เต็ม มันล้นออกมา ให้เห็น เป็นรูปของ มิจฉาทิฎฐิ เพราะเขาเห็นว่า เขามีอะไรๆ ของเขาเต็มเปี่ยมแล้ว ส่วนที่เป็นธรรมะ เป็นจริยธรรมนี่ เข้าไม่จุ อีกต่อไป ขอจงคิดดูให้ดีเถอะว่า นี้แหละ คือ มูลเหตุที่ทำให้จริยธรรม รวนเร และ พังทลาย ถ้าเรามีหน้าที่ ที่จะต้องผดุงส่วนนี้แล้ว จะต้องสนใจเรื่องนี้ 

รูปภาพของ นายวีรพนธ์

วิธีคิดนอกกรอบ

ในห้องเรียน ครูสาวสวยคนหนึ่งกำลังพยายามสอนนักเรียนในวิชาคณิตศาสตร์
เธอยกตัวอย่างโจทย์ให้ นักเรียนว่า
"มีนก 3 ตัว เกาะอยู่บนสายไฟ
นายพรานเอาปืนยิงโดนนกตัวหนึ่งตกลงมา
จะเหลือนกกี่ตัวบน สายไฟ ?"

"ไม่เหลือเลยครับ" เด็กชายต้น ตอบด้วยแววตาเด็กมีความคิดอ่าน

"ไม่ใช่ ไม่ใช่ เอ้า เธอลอง คำนวณดูอีกทีสิ"

ครูสาวตอบด้วยความอดทน
พร้อมทั้งชูนิ้วขึ้นสามนิ้วประกอบการอธิบาย

"มีนกสามตัว เกาะบนสายไฟ นายพรานยิงไปหนึ่ง"
ครูสาวพูดจบพร้อมทั้งลดนิ้วลงหนึ่งนิ้ว
"จะมีนกเหลืออยู่บนสายไฟกี่ตัวเอ่ย ?"

"ไม่เหลือเลยครับ" เด็กชายต้นตอบย้ำอีกอย่างขึงขัง
 
ครูสาวชักสงสัยในความมั่นใจของลูกศิษย์

ครูสาวตอบ"บอกครูซิ เธอมีเหตุผลอย่างไร ถึงคิดว่าเป็นอย่างนั้น"

"ง่ายมากครับ" เด็กชายต้นตอบ "
เมื่อนายพรานยิงปืนหนึ่งนัดโดนนกหนึ่งตัว
นกที่เหลือจะตกใจบินหนีไปหมด"

"อืม ดี ถึงแม้ว่าไม่ถูกต้องตามโจทย์และหลักคณิตศาสตร์
แต่ครูชอบวิธีคิดของเธอนะ"   ครูสาวตอบ

"เอาอย่างนี้ดีกว่าครับครู ให้ผมถามมั่ง" เด็กชายต้นเริ่มบ้าง
"มีผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่
ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม
ส่วนผู้หญิงคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่า ผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว"
 

ครูสาวมองหน้าเด็กชายต้น ถึงทำหน้าไม่ถูก แต่หน้าครูสาวก็แดงระเรื่อขึ้น แล้วอึ้งไป

"ครู ครู ผมถามอีกทีก็ได้นะ มีผู้หญิงสามคนนั่งบนม้านั่ง
กำลังกินไอติมดุ้นยาวอยู่ ผู้หญิงคนแรกเลียแท่งไอติม ผู้หญิงคนที่สองกัดแท่งไอติม
ส่วนคนที่สามดูดแท่งไอติม ผมถามครูว่า ผู้หญิงคนไหนแต่งงานแล้ว"
 
"เอาอย่างนี้แล้วกันนะเธอ" ครูเริ่มกระซิบที่ข้างหูเด็กชายต้น
"ครูว่าผู้หญิงคนที่ดูดไอติมแท่งน่ะ เป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว"

"ไม่ใช่ครับครู คนที่แต่งงานแล้ว คือคนที่มีแหวนแต่งงานสวมอยู่ที่นิ้วมือต่างหาก"

เด็กชายต้นอมยิ้ม  พร้อมกับพูดตบท้าย
"ถึงครูจะตอบไม่ถูก แต่ผมก็ชอบวิธีคิดของครูนะครับ"

รูปภาพของ วี่ฟัด

ถ้าไหง่คิดนอกกรอบไหง่ว่า....

แบบนี้เขาเรียกว่าฮานอกกรอบแบบขี้แตกขี้แตน เล่นตั้งคำถามแบบดูดไอติมซึ่งออกจะติดเรทอยู่สักหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับอาโกวีรพนธ์ความฮาถือเป็นยาอายุวัฒนะอย่างหนึ่งไม่แพ้ยาดองของถูเถ่วศุกกุ๊ง หรือที่ประยูร จรรยาวงศ์ ในนามปากกาว่า " ศุขเล็ก " ( เป็นฮากาหรือเปล่าว๊ะ ) ในสโลแกนแสนฮิตเมื่อเกือบสามสิบปีก่อนว่า " สัปดนวันละนิดจิตรแจ่มใส " ดังนั้นถ้าไหง่ตอบอาจจะไม่นอกกรอบเท่าไรไหง่อาจตอบว่า ก็คนกัดไอติมแน่ๆ แต่งงานแล้วพอรู้ใส้รูพุงรู้ตื้นลึกหนาบางกันแล้ว มีความหมันใส้มากขึ้น กัดมันเสียเลยดีกว่า

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

เพราะมากๆ

คลาสิกมากนะโก..สวยมากด้วย

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal