หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

-ฉ- มิ่งมงคล ร้อยรัดคติจีน 6 ฉินซีฮ่องเต้

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง
-ฉ-มิ่งมงคลร้อยรัดคติจีน 6
นานาสาระร้อยรัดคติจีน ตามด้วยอักษร -ฉ-

 

จิ๋นซีฮ่องเต้

 

สมเด็จพระมหาจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินซีฮ่องเต้ ( Qín Sh Huáng ฉินสื่อหวง)

ภาพ:Qinshihuangdi3.jpgจิ๋น ซีฮ่องเต้ มีพระนามเดิมว่า เจิ้ง สันนิษฐานว่าประสูติเมื่อ พฤศจิกายน/ธันวาคม พ.ศ. 284 (260 ปีก่อนคริสตกาล) และสวรรคตเมื่อ กันยายน พ.ศ. 334 (210 ปีก่อนคริสตกาล) ทรงเป็นกษัตริย์แห่งแคว้นฉิน ตั้งแต่ พ.ศ. 297 (247 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง พ.ศ. 323 (221 ปีก่อนคริสตกาล จากการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์นี้ ทำให้กลายมาเป็นคำเรียกว่าจีนในภาษาไทย และ china ในภาษาอังกฤษ (มาจากคำว่า chin หรือ qin)ปัจจุบัน ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพระองค์เป็นบุตรของใคร แต่โดยทั่วไปเชื่อว่าเป็นบุตรชายของพ่อค้าคนสำคัญคนหนึ่งที่ต่อมาภายหลังได้ เป็นเสนาบดีคนสำคัญของแคว้นฉิน ชื่อ หลี่ปู้เหว่ย กับมารดาที่เป็นนางสนมชื่อ เจ้าจีแคว้นฉินเป็นแคว้นหนึ่งในประเทศจีน สมัยนั้นซึ่งยังมีแว่นแคว้นต่างๆ มากมาย และมีเจ้าผู้ครองแคว้นของตนเอง ต่อมา ฉินอ๋อง (จิ๋นซีฮ่องเต้) ได้ทรงรวบรวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้ามาเป็นปึกแผ่น เป็นจักรวรรดิจีน และทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิหรือฮ่องเต้ -หวงตี้องค์แรกของจักรวรรดิจีนตั้งแต่ พ.ศ. 323 (221 ปีก่อนคริสตกาล) ถึง พ.ศ. 334 (210 ปีก่อนคริสตกาล) โดยขนานนามพระองค์เองว่า จักรพรรดิองค์แรก พระองค์เป็นจักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์จิ๋น ราชวงศ์ฉินของพระองค์มีอายุเพียง 15 ปี แต่ก็เป็นจุดหักเหสำคัญของประวัติศาสตร์จีนในการที่จะรวบรวมแผ่นดินจีนให้ เป็นปึกแผ่นได้นั้น จิ๋นซีฮ่องเต้และเสนาบดีของพระองค์ นาม หลี่ซือ ต้องยกกองทัพไปตีแคว้นต่างๆ และทำการปฏิรูปมากมายหลายด้าน ซึ่งรวมทั้งด้านการเมือง ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาความคิด พระองค์ทรงเผาทำลายหนังสือ และสังหารนักปราชญ์ไปจำนวนมหาศาล เนื่องจากพระองค์ทรงดำริว่าถ้าต่างแคว้นต่างมีวัฒนธรรมความคิดของตนเองแล้ว การที่จะทำให้แผ่นดินเป็นปึกแผ่นหนึ่งเดียวนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ และพระองค์ทรงริเริ่มสร้างผลงานที่โลกต้องยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งก็คือ กำแพงเมืองจีน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันประเทศจีนจาก ชนเผ่าทางเหนือ โดยการสร้างครั้งนี้ มีการบันทึกว่ามีประชาชนชาวจีนและเชลยศึกจำนวนมหาศาลต้องสังเวยชีวิตไปในการ สร้างกำแพงครั้งนี้ นอกจากนี้ ยังมีสุสานของพระองค์ ซึ่งยังปริศนาให้ชาวโลกรอไขความจริงแม้ ว่าพระองค์จะทรงถูกชาวโลกจดจำว่าเป็นจักรพรรดิผู้โหดเหี้ยมหรือเป็น ทรราชย์องค์หนึ่งของโลก แต่ชาวจีนก็ยังคงยกย่องพระองค์ให้เป็นบิดาผู้รวบรวมประเทศจีนให้ เป็นปึกแผ่น ซึ่งเคยแตกกระจายเป็นแว่นแคว้นต่างๆ มานานกว่าสองสหัสวรรษ และการปฏิรูปทั้งหลายของพระองค์ก็ยังคงมีผลกระทบถึงคนปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวในส่วนนี้กลายมาเป็นวัฒนธรรมสมัยนิยมในปัจจุบันต่าง ๆ มากมาย ทั้งนวนิยาย ละครโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ เช่น เจาะเวลาหาจิ๋นซี นิยายกำลังภายในแฟนตาซีของหวงอี้ หรือภาพยนตร์เรื่อง The Emperor and The Assassin ใน ค.ศ. 1998 ของเฉิน ข่ายเกอ ที่เป็นเรื่องราวของพระองค์กับนักลอบสังหารที่ชื่อ จิงเคอ จากแคว้นเอี้ยน ที่เล่ากันว่ามีโอกาสเข้าประชิดตัวพระองค์มากที่สุดขณะเข้าเฝ้าและพยายาม สังหารด้วยมีดสั้นที่ซ่อนไว้ในแผนที่ แต่ไม่สำเร็จ

จากหลักฐานบันทึกทางประวัติศาสตร์ ประมาณการกันว่าในช่วง 10 ปีแรกของการรวมแผ่นดินจีนขึ้นเป็นหนึ่งเดียว ทางราชวงศ์ฉินโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เกณฑ์แรงงานจากทาสและชาวบ้านกว่า 5 แสนคน เพื่อไปก่อสร้างกำแพงเมืองจีนจากด่านหลินเตาในภาคตะวันตก ไปยาวจรดด่านซานไห่กวนชายทะเลด้านฝั่งตะวันออกสุด เพื่อป้องกันการรุกรานของชนเผ่ามองโกลทาง ตอนเหนือ กำแพงเมืองจีนที่ก่อสร้างโดยจิ๋นซีฮ่องเต้ ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตมโหฬารที่สุด ที่ได้สร้างขึ้นบนแผ่นดินจีนโดยฝีมือมนุษย์และนับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกในยุคกลาง ที่ได้มีการสร้างต่อ ๆ กันมาจนถึงราชวงศ์หมิง

 

จิ๋นซีฮ่องเต้ได้เกณฑ์แรงงานที่เป็นทาสและชาวนาอีกกว่า 5 แสนคน ลงไปประจำการในเขตภูเขาทางตอนใต้ของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของชนกลุ่มน้อย และอีก 3 แสนคน ขึ้นไปประจำการในเขตทะเลทรายโกบีทาง ตอนเหนือของจีน เพื่อป้องกันการรุกรานของพวก ฮั่นฉยุงหนู (Hun Xioung Nu) และที่สำคัญที่สุดคือการที่ทรงเกณฑ์แรงงานอีกกว่า 7 แสนคน เพื่อมาก่อสร้างพระราชวังอาฝางกงและสร้างสุสานรวมถึงการสร้างเหล่ากองทัพ ทหารดินเผา และกองทัพม้าจากตัวเลขที่ประมาณการข้างต้น จะเห็นว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ใช้แรงงานประชาชนถึงกว่า 2 ล้านคน คือร้อยละ 10 ของประชากรจีนในยุคสมัยนั้น เพื่อมาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอันใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งเป็นการยากที่จะชี้แจงให้ประชาชนทั่วไปในยุคนั้นเข้าใจถึงเหตุผลของ พระองค์ และแรงงานที่ได้เกณฑ์มาก่อสร้างสิ่งเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นชายหนุ่มในวัยฉกรรจ์ที่เป็นกำลังสำคัญของแต่ละครอบครัว พวกชาวนาที่อาศัยอยู่ในถิ่นฐานเดิมถูกพระองค์รีดเก็บภาษี เพื่อนำรายได้เข้าสู่รัฐฉินเป็นทุนในการสร้างสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายของจิ๋น ซีฮ่องเต้จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงสร้างสุสานกองทัพทหารดินเผาขึ้น เพื่อใช้เป็นสถานที่เก็บพระบรมศพของพระองค์เอง แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและสถาปัตยกรรมโบราณของจีน และศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จักรพรรดิจีนทุกพระองค์ในประวัติศาสตร์จะมีความใฝ่ฝันสูงสุดอยู่ 2 ประการคือ 1. ยาอายุวัฒนะ ถ้าหากพระองค์ยังเสาะแสวงหาไม่ได้ สิ่งที่พระองค์จะต้องทำก็คือ 2. การสร้างมหาสุสานขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร เพื่อเป็นที่ประทับชั่วกาลนานชาวจีนในสมัยโบราณมีความเชื่อว่ามนุษย์นั้นมี 2 วิญญาณ วิญญาณแรกคือ โป (Po) ซึ่งจะมาพร้อมกับการเกิดของทารก อีกวิญญาณหนึ่งเรียกว่า ฮั่น (Han) เป็นวิญญาณที่สวรรค์ส่งมารวมกับวิญญาณแรกพร้อมกันตั้งแต่เกิด และเมื่อเจ้าของร่างตายลง วิญญาณแรกหรือโปจะคงอยู่ในร่างนั้น ส่วนฮั่นจะออกจากร่างกลับคืนสู่สวรรค์ไป ถ้าผู้ตายไม่ได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณี โปจะอยู่อย่างไม่มีความสุข เที่ยวเร่ร่อนกลายเป็น กุย (Gui) หรือปีศาจอันชั่วร้าย ชาวจีนทุกคนจึงต้องได้รับการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีเมื่อถึงแก่กรรม โดยจะถูกบรรจุร่างไว้ภายในสุสานตามฐานะของผู้ตาย นอกจากนั้น พระองค์ยังทรงโปรด ฯ ให้สร้างสุสานของพระองค์ทันทีตามโบราณราชประเพณี และอีกสิ่งหนึ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยเป็นพิเศษก็คือ ทรงมีพระราชบัญชาให้ นักพรตสีฝู่ นำตัวเด็กหญิงและเด็กชายพรหมจรรย์นับพันคน ลงเรือเดินทะเล เดินทางไปทางตะวันออกเพื่อแสวงหาเกาะเผิงไหล เกาะฟางเจ้า และเกาะอิ๋งโจว ทรงเชื่อว่าเป็นดินแดนหวงห้ามของมนุษย์ เนื่องจากเป็นที่พำนักของเซียนที่จะมอบยาอายุวัฒนะให้ พระองค์ทรงมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ทว่าตลอดพระชนมชีพของพระองค์ ข่าวคราวและชะตากรรมของคณะเดินทางที่พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจเสี่ยงตายให้ นั้น ไม่เคยได้ยินถึงพระกรรณของพระองค์เลยแม้แต่น้อยหลังทรงขึ้นครองราชย์ในปี 247 ก่อนคริสตกาล จิ๋นซีฮ่องเต้ก็เริ่มสร้างสุสานของพระองค์แล้ว จนถึงในปี 210 ก่อนคริสตกาล เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ลง งานสร้างมหาสุสานก็ยังไม่แล้วเสร็จ จนมาเสร็จสมบูรณ์ในปีที่ 2 ของรัชสมัยฉินเอ้อซื่อ ผู้เป็นบุตรชาย (ปี 208 ก่อนคริสตกาล) รวมระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 38 ปี และได้เรียกชื่อสุสานนี้ว่า หลีซานหยวน หรืออุทยานแห่งเขาหลีซาน ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างสุสานตั้งแต่ปี 246 - 208 ก่อนปีคริสต์ศักราช เพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายของพระองค์ ทรงสร้างหุ่นกองทัพทหารดินเผาจำนวนมากรวมทั้งรถม้าและม้าศึก เพื่อให้ทั้งหมดนี้ติดตามไปรับใช้และอารักขาพระองค์ในปรโลก และเนื่องด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ทำให้หุ่นทหารดินเผา ม้าศึกและรถม้าจำนวนมากที่ถูกฝังอยู่ภายในสุสาน ล้วนแต่มีขนาดเท่าของจริงทุกประการ รวมทั้งรายละเอียดต่าง ๆ ของหุ่นทหารดินเผาและการจัดทัพ ซึ่งเป็นการจัดตำแหน่งตามกระบวนทัพโดยแบ่งออกเป็น 11 แถว ประกอบไปด้วย

  • แม่ทัพฝ่ายบู๊
  • แม่ทัพฝ่ายบุ๋น
  • พลหอก
  • พลดาบ (ซึ่งอาวุธในมือส่วนใหญ่คืออาวุธจริง)
  • สารถีประจำรถม้า
  • ม้าศึก

หุ่นทหารดินเผาภายในสุสานมีขนาดรูปร่างที่แตกต่างกัน มีความสูงประมาณ 1.8 เมตร ลักษณะหน้าตา กริยาท่าทาง เครื่องแต่งกายไม่เหมือนกันแม้แต่ตัวเดียว รัฐบาลจีนที่รับผิดชอบในการขุดค้นสุสานประวัติศาสตร์นี้ เชื่อกันว่าหลุมกองทัพดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีด้วยกันทั้งหมด 8 หลุม แต่ในปัจจุบันมีการขุดค้นเพียงแค่ 3 หลุมเท่านั้น เพราะรัฐบาลจีนยังไม่ต้องการทำการขุดค้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าสีของหุ่นทหารดินเผาที่ขุดพบนั้นจะหายไป ในอดีตเริ่มแรกของการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจากสุสานใต้ดินนั้น หุ่นทหารเหล่านี้มีแก้มเป็นสีชมพู สวมเครื่องแต่งกายที่มีสีสันสดใสที่ทาสีเอาไว้อย่างสวยงาม โดยส่วนใหญ่จะสวมเสื้อสีชมพู กางเกงสีเขียวและฟ้า แต่ทว่าเมื่อหุ่นทหารดินเผาถูกอากาศและแสงแดด เกิดปฏิกิริยาทางเคมีทำให้สีของหุ่นทหารดินเผาลอกหายไป เปลี่ยนเป็นสีดำอย่างน่าเสียดายจากการตรวจสอบขนาดของมหาสุสานนี้ในปัจจุบัน พบว่า สุสานตั้งอยู่บนเนินดินที่เคยสูงประมาณ 115 เมตร มีขนาดคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมื่อแรกสร้าง คือ จากทิศเหนือไปใต้ยาวประมาณ 350 เมตร จากทิศตะวันออกไปตะวันตกยาวประมาณ 345 เมตร ตัวสุสานเป็นหลุมขนาดใหญ่ มีความลึกกว่า 30 เมตร นักโบราณคดีประเมินคร่าว ๆ ว่าขนาดของพระราชวังใต้ดินถูกสร้างขึ้นในระดับที่ลึกที่สุดของหลุม มีขนาด 120 x 160 เมตร หรือเทียบเท่าขนาดของสนามบาสเกตบอลสารปรอทจำนวน มากผิดปกติ คือ สูงกว่าระดับปกติถึงกว่า 100 เท่า จึงไม่ผิดกับที่ ซือหม่า เสี่ยน ได้บันทึกในปูมประวัติศาสตร์มากว่า 2,000 ปีที่แล้วว่า "...ภายในมีสารปรอทไหลเวียนดุจแม่น้ำและทะเล..." 40 สนามรวมกัน และจากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัย ยืนยันได้ว่า ภายในสุสานมี

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลินถง ห่างจากเมืองซีอานไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 35 กม.[6] มีทำเลที่ตั้งอยู่อิงบริเวณเขาหลีซาน บริเวณด้านหน้าของสุสานหันไปทางแม่น้ำเว่ยเหอ โดยเฉพาะทางทิศใต้ของเขาหลีซานอุดมไปด้วยสินแร่ทองคำ ส่วนทางทิศเหนือก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่หยก ดังนั้นจิ๋นซีฮ่องเต้จึงทรงเลือกชัยภูมิที่มีฮวงจุ้ยอัน ดีเลิศนี้ เพื่อเป็นสุสานสำหรับฝังพระบรมศพของพระองค์ สุสานกองทัพทหารดินเผานั้นอยู่ห่างจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ราว 1.5 กม.ทั้งหมดถูกฝังอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินจีน พร้อมกับพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้

สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่คงหลงเหลืออยู่บนดินนั้น ตามข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี มีความน่าเชื่อถือได้ว่าแต่เดิมมีรูปพรรณสันฐานเป็นพื้นที่หมวกสี่เหลี่ยม หัวกลับ มีความสูงถึง 115 เมตร ตั้งอยู่บนฐานกว้างราว 345 เมตร คูณ 350 เมตร จากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตกและทิศเหนือมายังทิศใต้ บริเวณสุสานมีการก่อสร้างเป็นกำแพงล้อม 2 ชั้น คือกำแพงชั้นนอกและกำแพงชั้นใน กำแพงชั้นในมีความยาวจากเหนือจรดใต้ถึง 1,355 เมตร และจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตกความยาว 580 เมตร มีประตูสุสานอยู่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนบริเวณกำแพงชั้นนอกมีความยาวจากเหนือจรดใต้ 2,165 เมตร ทางด้านตะวันออกจรดตะวันตก มีความยาว 940 เมตร มีประตูทางออกพร้อมหอคอยรักษาการณ์ทั้งสี่มุม ในระหว่างกำแพงชั้นนอกกับกำแพงชั้นในมีซากปรักหักพังหลงเหลือแสดงถึงร่องรอย ที่ตั้งศาลาพิธีการและจวนที่พำนักของเจ้าพนักงานเฝ้าสุสาน[7]จาก การตรวจสอบประวัติของมหาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ระบุว่าสุสานแห่งนี้ได้จำลองเอาลักษณะของประเทศจีน ทั้งหมด ย่อส่วนลงจากจีนแผ่นดินใหญ่ให้กลายเป็นแผ่นดินจีนขนาดจิ๋ว ภายใต้พื้นดินที่มีความสูงถึง 47 เมตร ลักษณะของสุสานเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าครอบคลุมอาณาเขตพื้นที่กว่า 56 ตร.กม. แต่ละส่วนแบ่งออกเป็นห้องต่าง ๆ บริเวณกลางสุสานเชื่อกันว่าคือสถานที่สำหรับฝังพระบรมศพของจิ๋นซีฮ่องเต้ และตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่า เพดานของสุสานนั้นมีการประดับด้วยเพชรพลอยจำนวนมากเป็นรูปท้องฟ้าในยามค่ำคืน และมีการสูบเอาปรอทมาจำลองเป็นลำธารในแม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำหวางเหอสภาพของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ถูกขุดค้นพบตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยังคงเก็บรักษาไว้ดังเดิม ในรูปและลักษณะของสุสานมูลดินทรงพีระมิด มีความสูงประมาณ 70 กว่าเมตร ก่อสร้างบนฐานกว้างยาวประมาณ 8 เมตร พื้นที่บริเวณโดยรอบของสุสานถูกล้อมรั้วห้ามเข้าเนื่องจากเป็นเขตต้องห้าม ที่นักโบราณคดีทำการขุดค้น จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีน บริเวณพื้นที่แห่งนี้เมื่อระยะเวลาเมื่อ 3,000 ปีมาแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ ได้เคยเสด็จมาเลือกพื้นที่สำหรับก่อสร้างสุสานด้วยพระองค์เอง ตรงบริเวณเชิงเขาหลีซาน ซึ่งมีภูมิประเทศสวยงาม อุดมไปด้วยสินแร่ ทั้งแหล่งผลิตทองคำทางตอนใต้ และแหล่งผลิตหยกทางตอนเหนือซึ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเว่ยเหอสุสานของจักรพรรดิ จีนโบราณ มักจะขุดลึกลงไปใต้ดินที่เป็นเนินเขาทำเป็นอุโมงค์ทางเดินไปสู่ห้องเก็บพระ บรมศพ พร้อมกับสมบัติ ข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์นานาชนิด เพื่อไว้สำหรับใช้สอยหลังจากพระองค์สิ้นพระชนมชีพไปแล้ว ส่วนด้านบนพื้นดินเหนืออุโมงค์สุสาน มีธรรมเนียมสร้างถนนแห่งวิญญาณจากทิศใต้มุ่งสู่ประตูอุโมงค์สุสานทางทิศ เหนือ โดยวางรูปสลักเทวดา คน สัตว์ต่าง ๆ สองข้างทางจนถึงปากอุโมงค์ซึ่งจะจัดตั้งหลักศิลาขนาดใหญ่ไว้ให้เป็นที่ สังเกตตามบันทึกประวัติศาสตร์ของซื่อหม่า เสี่ยน ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (135-145 ปีก่อนคริสตกาล) ระบุว่า จิ๋นซีฮ่องเต้ทรงเริ่มก่อสร้างสุสานทันทีที่เสด็จขึ้นครองราชย์ มีทาส และชาวนาประชาชนจำนวนกว่า 700,000 คนถูกส่งมาใช้แรงงานก่อสร้างสุสาน โดยขุดผิวดินให้ลงไปจากชั้นดินดานถึง 3 ชั้น เพื่อก่อสร้างเป็นพระราชวังใต้ดิน ที่ตั้งพระศพห่อหุ้มด้วยทองแดงเป็นการจำลองแผ่นดินจีนทั้งหมดย่อส่วนเอาไว้ภายในใต้ดิน ช่างฝีมือได้ซ่อนค่ายกลป้องกันพวกลักขโมย เมื่อเข้าใกล้บริเวณสุสานเกาทัณฑ์ก็ จะพุ่งเข้าใส่ทันทีจากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่า บริเวณพื้นดินส่วนกลางของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ มีรังสีจากสารปรอทปริมาณมากที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ สารปรอทนั้นแผ่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ 1,200 ตร.ม. ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของซื่อหม่า เสี่ยน ตอนหนึ่งที่ว่า ปรอทใช้บรรจุไว้แทนทะเลและแม่น้ำ เป็นเหตุให้ทางรัฐบาลจีนต้องปิดประกาศเป็นเขตหวงห้าม ยกเว้นสุสานบริวาร 400 แห่งโดยรอบบริเวณกว่า 50 ตร.ม. ซึ่งได้รับอนุญาตให้มีการสำรวจขุดค้น ตลอดเวลา 1 ปีเต็ม ๆ ทำให้นักโบราณคดีพบหลักฐานต่าง ๆ อีกมากมายจนสามารถเขียนแผนผังสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ได้อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ ซึ่งก็ปรากฏที่ตั้งพระบรมศพจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นเพียงจุดเล็ก ๆ จุดหนึ่งของสุสานโบราณวัตถุที่ขุดภายในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งที่เป็นหุ่น ทหารดินเผา สรรพาวุธ รถม้าและม้าศึกที่ใช้ในการสงคราม ทั้งสิ้นกว่า 7,400 ชิ้น[2] ในหลุมสุสาน 25,000 กว่าตารางเมตร บางหลุมกองทัพทหารดินเผา มีรถเทียมม้า บางหลุมมีตุ๊กตานกและสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งสะท้อนถึงอุปนิสัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ทรงโปรดการเสด็จประพาสป่า ล่าสัตว์ กองทัพทหารดินเผาและเหล่าม้าศึกที่เฝ้าคอยติดตามถวายอารักขาพระองค์หลังสิ้น พระชนม์ เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของจิ๋นซีฮ่องเต้ เมื่อวิญญาณโปอยู่ในร่างของพระองค์ขณะทรงมีพระชนมชีพ หรือเมื่อสิ้นพระชนมชีพ วิญญาณฮั่นก็จะนำเสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์

ตุ๊กตาทหารดินเผาทุกตัวจะมีตราประทับอักษรบนตัวมากกว่า 80 ชื่อ ทำให้นักโบราณคดีจีนมั่นใจว่าผู้ที่สร้างหุ่นทหารดินเผาทั้งหมด เป็นบรรดาช่างปั้นหม้อ ในสังคมสมัยฉิน ถือว่าพวกนี้เป็นพวกชั้นต่ำ บางพวกเคยทำงานรับใช้ในราชสำนัก ช่างปั้นดินเผาในสมัยจีนโบราณที่สืบทอดวิชาความรู้จากครูหรือบรรพบุรุษ มีเอกลักษณ์งานปั้นเฉพาะตัว รับคำสั่งเกณฑ์พลจากทุกแห่งเพื่อสร้างกองทัพทหารดินเผา

ผู้ที่จัดวางตำแหน่งของกองทัพทหารดินเผาภายในสุสาน ได้วางตำแหน่งอย่างเป็นระเบียบ ทหารดินเผาทุกตัวอยู่ในท่าเตรียมพร้อม ประกอบไปด้วยทหารดาบ ทหารเกาทัณฑ์ ทหารหอก และรถม้าศึก โดยเลือกชัยภูมิจัดผังออกแบบค่ายเป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบด้วยกำแพงดินพูน สูงขึ้น และมีคูอยู่นอกกำแพงเมือง ถนนตัดอยู่ภายในเป็นทางเดินกองทหาร ตัดจากทิศเหนือไปถึงทิศใต้และตะวันออกไปตะวันตก มีด่านกันไฟเป็นระยะ ๆ ตรงกลางค่ายเป็นที่ตั้งกองบัญชาการ ล้อมด้วยเหล่าเสนาบดี ที่ปรึกษา หน่วยทหารที่เป็นหน่วยกล้าตายและองค์รักษ์ ทำหน้าที่คุ้มกันจิ๋นซีฮ่องเต้ การจัดวางกองทัพทหารดินเผาเป็นการยืนยันถึงภาพที่ชัดเจนของตำราพิชัยสงครามซุนวู[8]ในยุคสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้สุสานแห่งนี้เคยถูกเผาทำลายหลายครั้ง โดยมีหลายข้อสันนิษฐาน เช่น การปะทุของก๊าซมีเทนใต้ ผิวดิน หรืออาจถูกเผาจากหลังจากพิธีฝังพระบรมศพทหารดินเผาที่ขุดพบได้นั้นมีลักษณะ ใบหน้าที่มองดูแล้วกลมเกือบคล้ายกัน บางหน้าเป็นรูปไข่ บางหน้าเป็นรูปเหลี่ยม ซึ่งแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับเทคนิคของช่างแต่ละคน มีการแบ่งหน้าที่อย่างชัดเจน เช่นแผนกช่างนวดดิน ช่างปั้น ช่างทำพิมพ์ สำหรับอวัยวะต่าง ๆ เช่น มือ แขน ขา ศีรษะ เป็นหน้าที่ของช่างขึ้นรูป ที่ทำการปั้นขึ้นรูปศีรษะเป็นรูป ๆ ทำให้ใบหน้าแต่ละหน้าจึงไม่ซ้ำกัน ซึ่งอาจจะเป็นการจำลองจากบุคลิกของทหารจริงในเวลานั้นส่วนมากใบหน้าของกอง ทัพทหารดินเผามีสัณฐานสี่เหลี่ยม ริมฝีปากหนา ไว้หนวดเคราทรงผมนานาชนิด แล้วเอาส่วนต่าง ๆ มาประกอบเข้ากัน นำไปเผาไฟแล้วส่งต่อไปให้ช่างสีซึ่งใช้ฝุ่นสีฉูดฉาดเช่น สีแดง เขียว ฟ้า น้ำตาล เหลือง ดำ ม่วง น้ำเงิน ขาว มาระบายลงบนตัวทหารดินเผา แยกสีตามเหล่าทหารแต่ละกอง สำหรับการปั้นม้าจะแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ตามลักษณะของม้า ก่อนนำมาประกอบเข้าเป็นลำตัวที่กลวง ส่วนอื่นจะทึบตันหมด แล้วจึงเข้าเตาเผาไฟที่มีความร้อนสูงระหว่าง 950 ถึง 1,050 องศา เทคนิคงานปั้นดินเผาของจีนเริ่มมานานกว่า 2,000 ปี จนถึงปัจจุบันวิธีเก่าแก่นี้ก็ยังคงใช้อยู่ทั่วโลก[9]กองทัพทหารดินเผาทุกตัวเคยถืออาวุธจริงแต่ได้โดนยึดไปโดยพวกกบฏเป็นจำนวนมาก คงหลงเหลือกว่า 10,000 ชิ้น อาวุธส่วนมากสร้างขึ้นจากโลหะผสมทองแดงและดีบุก รวมทั้งนิกเกิลและสังกะสี ฝีมือประณีตโดยเฉพาะหัวลูกธนูจะผสมตะกั่วเท่ากับเป็นการอาบยาพิษอย่างแรง แต่ทั้งหมดได้รับการปลดออกมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางทหาร และเทคโนโลยี[10]จาก การขุดค้นพบกองทัพทหารดินเผาและม้าศึกจำนวนกว่า 6,000 ตัว คาดว่าเมื่อรวมกับจำนวนของทหารดินเผาที่ยังไม่ได้ขุดค้น อาจมีประติมากรรมอันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกมากถึง 8,000 ตัว กองทัพทหารดินเผาที่ขุดค้นพบทั้ง 3 หลุมนี้ ในแต่ละหลุมจะแยกจากกันอย่างมีแบบแผน มีการฝังลึกลงไปจากผิวดินในระยะทางประมาณ 5 เมตร มีแนวกำแพงดินพูนสูงราว 3 เมตร แยกจากกันเป็นช่วง ๆ ค้ำยันด้วยท่อนซุง โดยรายละเอียดต่าง ๆ ของกองทัพทหารดินเผา มีดังนี้หลุมหมายเลข 1หลุมหมายเลข 1 ที่รัฐบาลจีนทำการขุดค้นมีขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในบรรดาหลุมทั้ง 3 หรือราว 230 เมตร จากเหนือไปใต้และกว้าง 62 เมตร จากตะวันออกไปตะวันตก เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เนื้อที่ 14,260 ตร.ม. มีขนาดความกว้างประมาณ 197 ฟุต (62 เมตร) ยาว 689 ฟุต (230 เมตร) และลึก 14.8 - 21.3 ฟุต (5 เมตร) ประกอบไปด้วยกองทัพทหารติดอาวุธครบมือจำนวนมากกว่า 6,000 ตัว รถศึกพร้อมม้าเทียมรถศึกอีกรวม 40 คัน แบ่งออกเป็น 4 เหล่า คือกองระวังหน้า ปีกซ้าย ปีกขวา และกองระวังหลัง ซึ่งจัดกองทัพทหารดินเผาออกเป็น 38 แถว กองทัพทหารดินเผาทุกนายภายในสุสานมีอาวุธประจำกายได้แก่ ดาบ เกาทัณฑ์ และ หอก อยู่ในที่ตั้งตามตำแหน่งอย่างชัดเจนไม่สับสนรถม้าและรถศึก กองทัพทหารดินเผาและม้าศึกที่ได้ขุดพบนั้นมีขนาดใหญ่และเล็กเหมือนกับของ จริงทุกประการ หุ่นดินเผาทุกตัวมีโครงหน้า สีหน้าและทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนกันแม้แต่ตัวเดียว มีขนาดความสูงราว 5 ฟุต 8 นิ้ว จนถึง 6 ฟุต 5 นิ้ว ยืนตระหง่านเรียงรายอยู่เป็นหมวดหมู่ ภายในหลุมที่ 1 ซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านักโบราณคดีของจีนตั้งข้อสังเกตถึงรูปแบบการจัด เรียงของกองทัพทหารดินเผาที่ขุดพบในหลุมที่ 1 มีรูปแบบและแนวการจัดทัพตามบันทึกในตำราพิชัยสงครามซุนวู มีกองทัพทหารดินเผามากกว่า 6,000 ตัวหลุมหมายเลข 2หลุมหมายเลข 2 เป็นรูปตัว L ได้ขุดพบในปี พ.ศ. 2519 อยู่ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 20 เมตร ในอาณาเขตพื้นที่ประมาณ 6,000 ตร.ม. แบ่งออกเป็นพื้นที่ขนาด 4 ส่วน ความกว้างจากเหนือไปใต้ราว 98 เมตร มีความยาวจากตะวันออกไปตะวันตกราว 124 ภายในหลุมมีกองทัพทหารดินเผาจำนวน 4,000 ตัว รถม้าไม้ 89 คัน แบ่งออกเป็น 4 แถว ประกอบไปด้วยเหล่าขุนพลทหารม้า ขุนทหารประจำรถม้าศึก ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ สวมหมวกหนัง รองเท้าบูต มือข้างหนึ่งถือ ธนู ม้าศึกมีลักษณะแข็งแรงปราดเปรียว ทุกตัวถูกจัดตามลำดับแถว หลุมรูปปั้นกองทัพทหารดินเผาหลุมที่ 2 รัฐบาลจีนทำการขุดค้นหาพบหุ่นทหารดินเผาจำนวนกว่า 1,000 ตัว ม้าศึก 500 ตัวและรถม้าที่ทำจากไม้ 89 คัน เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมและศึกษาเกี่ยวกับโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์ในปี พ.ศ. 2538หลุม หมายเลข 3หลุมหมายเลข 3 เป็นรูปตัว U อยู่ห่างจากหลุมที่ 1 ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือราว 25 เมตร หรือ 120 เมตร รัฐบาลจีนขุดค้นพบในปี พ.ศ. 2519 ทางทิศตะวันออกของหลุมที่ 2 มีขนาดพื้นที่ประมาณ 520 ตร.ม. เป็นหลุมที่เล็กที่สุด แต่มีความสำคัญที่สุดยิ่งกว่า หลุมหมายเลข 1 และ 2 เนื่องจากเป็นกองบัญชาการสูงสุด โดยกองทัพทหารดินเผาทุกตัวมีอาวุธครบมือ เข้าแถวรักษาการณ์แบบเผชิญหน้ากันทางทิศเหนือกับทิศใต้ข้างละ 2 แถว เพื่อเป็นการคุ้มกันเหล่าแม่ทัพภายในกระโจมบัญชาการ นอกจากนี้ยังพบเขากวางและกระดูกสัตว์ ซึ่งใช้เป็นเครื่องรางของขลังซึ่งเข้าใจว่าเป็นเครื่องที่ใช้ในการประกอบพิธีบูชายัญในพิธีศพอีกด้วย ซึ่งหลุมที่ 3 นี้เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมในปี พ.ศ. 2532

นอกจากการขุดพบกองทัพทหารดินเผาจำนวนมากแล้ว รัฐบาลจีนยังขุดพบโลงไม้ ยาว 7 เมตร กว้าง 2.3 เมตร ฝังอยู่ใต้พื้นดิน ห่างจากสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ไปทางทิศตะวันตกราว 20 เมตร และเมื่อนำขึ้นมาเปิดฝาโลงออกก็พบกับขบวนรถม้าสำริดจำลองของจิ๋นซีฮ่องเต้ ฝีมือประณีตสวยงาม ใช้เทคนิคงานโลหะผสม สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นรถม้าประจำพระองค์ในภพหน้า ปัจจุบันรถม้าสำริดที่ถูกขุดค้นพบ จัดแสดงไว้ในอาคารอีกหลังหนึ่งในบริเวณพิพิธภัณฑ์ กองทัพทหหารดินเผาประกอบด้วยรถม้าส่วนพระองค์ รถเทียมม้าบุกนำทาง มีองค์รักษ์ทำหน้าที่พลขับ

รถม้าบุกนำทาง มีความยาว 1.26 เมตร กว้าง 70 เซนติเมตร กั้นร่มคลุมแทนหลังคา ติดอาวุธพร้อม มีอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ขนาดเล็กรวมทั้งหมดราว 3,064 ชิ้น ส่วนรถม้าส่วนพระองค์จำลองของจิ๋นซีฮ่องเต้ มีความยาว 3.17 เมตร กว้าง 1.06 เมตร รูปทรงสี่เหลี่ยม คลุมด้วยหลังคารูปไข่ ชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นตัวรถม้าส่วนพระองค์จำลองรวม 3,462 ชิ้น ประดับด้วยทองคำและเงินจำนวนมากกว่า 1,000 ชิ้น นอกจากนี้ ยังมีเส้นทองแดงขดเป็นโซ่ขนาดเล็ก ขนาดเพียง 0.05 เซนติเมตร อยู่ภายในรถม้าทั้งสองคันเทียมด้วยม้าสำริดคันละ 4 ตัว แต่งเครื่องทรงเต็มยศ องครักษ์ สูง 51 เซนติเมตร แต่งเครื่องแบบเต็มยศเช่นกัน นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกชิ้นหนึ่งที่ได้เคยค้นพบใน ประเทศจีน เป็นการลบภาพความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่า ยุคทองของเครื่องสำริดได้หมดไปตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งเหล็กได้เข้ามามีบทบาทแทนที่จนถึงสมัยราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่น ที่ช่างสำริดได้สูญหายไปหมดแล้ว จากรูปสำริดเหล่านี้ นักโบราณคดีจีนสามารถจินตนาการขบวนรถม้าส่วนพระองค์ของจริงที่จิ๋นซีฮ่องเต้ ทรงใช้ประทับแรมระหว่างเสด็จประพาสตามหัวเมืองต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายมรดกโลกทางวัฒนธรรมกองทัพทหารดินเผาภายในสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้รับคัดเลือกให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. 2530 ด้วยเหตุผลและเกณฑ์การตัดสินพิจารณา ดังต่อไปนี้

  • เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด (หลักเกณฑ์มรดกโลกทางวัฒนธรรม ข้อ i)
  • เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว (ข้อ iii)
  • เป็น ตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทาง ด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ (ข้อ iv)
  • มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์ (ข้อ vi)

โมเดลแสดงพื้นที่อาณาบริเวณของสุสาน www.oknation.net/blog/print.php?id=282129

ภาพจาก: www.amulet1.com/index.php?method=allarticle...

ตอน ที่ชาวนาคนหนึ่งขุดดินในเมืองซีอาน เมื่อปี ค.ศ. 1974 นั้น คงไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่าจะได้พบสิ่งที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ อันดับ 8 ของโลก

 สิ่งที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จีนนานกว่า 2,000 ปี “สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้” จักรพรรดิผู้เกริกไกรที่สุดของแดนมังกร จน ถึงปัจจุบันนี้ เป็นเวลา 34 ปีมาแล้ว ที่ “ส่วนหนึ่ง”

ของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้รวบรวมจีนเป็นแผ่นดินเดียวถูกเปิดเผยออกมาสู่ สายตาชาวโลก และแม้จะเป็นเพียงส่วนเดียว แต่ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างเหลือประมาณ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หุ่นทหารดินเผา 8,000 ตัว ที่แต่ละตัวมีหน้าตาไม่เหมือนกันเลย แต่ การสันนิษฐานนั้นจะจริงหรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่

จะได้พิสูจน์ เพราะทางการจีนยังไม่อนุญาตให้ขุดค้นเนินดินใหญ่ ที่คิดว่าเป็นสถานที่สำคัญที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์นี้ เนื่องจากเกรงว่า

หากเปิดที่ฝังพระศพจอมจักรพรรดิออกมาแล้ว ความลับที่ยืนยาวมานานกว่า 2 สหัสวรรษ อาจจะเกิดความเสียหายได้ เพราะยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่จะรับประกันว่า

เมื่อโบราณวัตถุที่เก็บอยู่ในสุสานต้องออกมา พบกับอากาศในยุคปัจจุบันแล้วจะไม่เสื่อมสลายไป   แต่การไม่อนุญาตให้ขุดค้น ก็ไม่ได้ หมายความว่าจะไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า

ภายในสุสานจิ๋นซีมีอะไรอยู่ เมื่อ ปีที่แล้วนี้เอง ที่มีการใช้เทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล “ส่อง” เข้าไปในเนินดินขนาดใหญ่ใกล้กับบริเวณที่พบหุ่นทหารดินเผาอันเลื่องชื่อ

แล้วก็ได้พบความน่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่าสิ่งที่ถูกค้นพบมาก่อนแล้วเสียอีก นัก โบราณคดีจีนได้เห็นภาพว่า ลึกลงไปใต้พื้นดินราว 21 เมตร มีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่อยู่ ในนั้น

เป็นอาคารสูงตั้ง 30 เมตร รูปทรงคล้ายพีระมิดหัวตัด กว้าง 125 เมตร ยาว 145 เมตร ด้านข้างแต่ละด้านมีลักษณะคล้ายบันได และลึกลงไปจากตัวอาคารนี้

ถึงจะเป็นสุสานของจริง ที่มีขนาดกว้าง 50 เมตร ยาว 80 เมตร สูง 15 เมตร ระหว่าง อาคารใหญ่ ซึ่งถูกเรียกว่า ปราสาทของจักรพรรดิไปถึงตัวสุสาน

มีทางลาดเชื่อมถึงกัน และเมื่อตรวจสอบด้วยเทคโนโลยีสมัย ใหม่ ก็เห็น “รางๆ” ว่า บริเวณทางเดินนี้ เต็มไปด้วยรถม้า และม้าที่สร้างด้วยบรอนซ์ ขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของขนาดจริง

แต่ ถึงกระนั้น ก็ยังไม่มีการค้นพบตัว สุสานที่แท้จริง หรือพระศพของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งจากข้อมูลเท่าที่มี นักวิชาการก็สันนิษฐานกันว่า สถานที่เก็บพระศพก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากพื้นที่สุสานที่เปิดออกมาแล้วนั่นเอง

ปริศนา ลึกลับของสุสานและพระศพขององค์จักรพรรดิจิ๋นซี สร้างความพิศวงสงสัยจนผู้คนทั่วโลกต้องจับตามอง จนกระทั่งถูกหยิบยกเอาไปเป็นเค้าโครงของภาพยนตร์

ระดับฮอลลีวูด เรื่อง THE MUMMY : TOMB OF THE DRAGON EMPEROR ซึ่งในภาคที่แล้วเป็นเรื่องของมัมมี่อียิปต์ แต่คราวนี้ทีมงานหันมาสร้างถึงมัมมี่จีนบ้าง

โดยเป็นเรื่องของจักรพรรดิในยุค 50 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งต้องคำสาปทำให้พระองค์และไพร่พล กลายเป็นกองทัพหุ่นกระเบื้องเคลือบไปตลอดกาล จนมีผู้มาพบสุสานลับ และปลุก พระองค์พร้อมทหารหาญให้ฟื้นคืนชีพ...

เรื่อง แบบนี้คิดๆไปก็อาจไม่ต่างจากเรื่องจริง เพราะใครเลยจะปฏิเสธได้ว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายจะไม่แอบคิดหาวิธี ตระเตรียมไว้ปลุกองค์จิ๋นซีให้ฟื้นตื่นจากนิทรารมย์ขึ้นมาบ้าง...

ทีมงาน ต่วย'ตูน

ที่มาจากหนังสือพิมพ์

รวบรวมโดยเฉินซิ่งเชง

จบตอนอักษร -ฉ-

28 พค.52


 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal