หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

เติ้งลี่จวิน Teresa Teng 邓丽君 กลับชาติมาเกิด

รูปภาพของ สิทธิพร1

เติ้งลี่จวิน Teresa Teng 邓丽君 กลับชาติมาเกิด
ทีวีปักกิ่งค้นหาความจริง โดยการไปสัมภาษณ์ น้องอิงค์ วนัฏษณา วิเศษกุล อายุุ 16 ปี เด็กสาวที่มี หน้าตาละม้ายคล้าย เติ้งลี่จวิน นักร้องเพลงจีนสากลชาวไต้หวัน ­ชื่อเสียงโด่งดังเจ้าของบทเพลงเถียนมีมี่ ไม่ใช่เพียงหน้าตาเท่านั้นที่เหมือน .....



prasonglucky เผยแพร่เมื่อ 24 มิ.ย. 2015


รายการสนทนาที่จะนำเสนอเรื่องราวความลับใน­ชีวิตของผู้คน ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ จะถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองความคิดของผู้มีประ­สบการณ์ตรง ส่งต่อเป็นอุทาหรณ์หรือแรงบันดาลใจให้กับผ­ู้ชม กับพิธีกรมากความสามารถ “หัทยา วงษ์กระจ่าง” ที่จะมาเปิดเผยความลับเหล่านี้ ใน The
ซีเคร็ต ความลับของชีวิต ตอน เขาบอกว่าหนูคือ "เติ้งลี่จวิน" กลับชาติมาเกิด 16 ก.ค. 58 (1/5)

Secret ความลับของชีวิต ทุกวันพฤหัสบดี 4 ทุ่ม AMARIN TV HD ช่อง 34 จานดาวเทียมและเคเบิลทีวี ช่อง 44





AMARIN TVHD เผยแพร่เมื่อ 20 ก.ค. 2015



กีฬา บันเทิง เผยแพร่เมื่อ 22 ก.ค. 2015

"น้องอิงค์" วนัฏษณา วิเศษกุล เด็กไทยวัย 16 ปีที่ไปเรียนที่ประเทศจีน ได้เข้าประกวดร้องเพลงรายการ "เดอะวอยซ์ ซีซั่น4" ของประเทศจีน โดยร้องเพลงของเติ้ง ลี่จวิน แต่ว่าโค้ชทั้ง 4 คนไม่ได้เลือกเลยทำให้สาวไทยวัย 16 ปีรายนี้ตกรอบไป ทว่าทุกคนกลับตกตะลึงในอายุ ความสามารถ น้ำเสียง และวิธีการพูดที่คล่องแคล่ว จากการมาเรียนภาษาจีนได้แค่ปีเดียว เลยทำให้เจย์ โจว ถึงกับเดินขึ้นเวทีขอร้องเพลงร่วมกัน


รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

สัญญาเก่าของน้องอิงค์

ในทางพุทธศาสนา มีความเชื่อในเรื่องสังสารวัฏหรือวัฏสงสาร คือการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อสิ้นจากชาตินี้ ต้องไปจุติในชาติต่อไป ตราบเท่าที่ยังไปไม่ถึงนิพพาน ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไร ก็แล้วแต่กรรมที่สร้างไว้
 
น้องอิงค์คือเติ้งลี่จินกลับชาติมาเกิด ประโยคนี้หาได้กล่าวเกินเลยไม่ มนุษย์เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏมานับชาติไม่ถ้วน บางคนเกิดมาสามารถระลึกชาติได้ จำและเล่าเหตุการณ์ในอดีตชาติได้เป็นฉากๆ ไม่ว่าจะพิสูจน์เข้มข้นอย่างไร ก็ตอบได้หมด ซึ่งผู้เกี่ยวข้องก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง อันนี้ระลึกชาติได้แบบเหมือนได้ผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นมาด้วยตัวเองหยกๆ แต่อีกอย่างเรียกว่าสัญญาเก่า คือในอดีตชาติได้ทำอะไรไว้ ไม่สามารถจำและระลึกได้ แต่เมื่อใดได้พบกับเหตุการณ์เก่าๆที่อดีตชาติได้เคยทำไว้ จิตใต้สำนึกจะกระตุ้นให้เกิดความคุ้นเคย ซ้ำยังสามารถจำและกระทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้ ทั้งที่ไม่เคยเรียนรู้หรือทำอะไรมาก่อนเลย ดังเช่นเด็กไม่กี่ขวบสามารถสอบแพทย์ได้ ซึ่งศัพท์สมัยใหม่เรียกว่าอัจฉริยะ แต่ในทางพุทธศาสนาแล้ว เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าสัญญาเก่า
 
ฉะนั้น เรื่องราวของน้องอิงค์ ที่สามารถร้องเพลงของเติ้งลี่จินได้หลายชาติภาษา ไม่ว่าภาษาจีนกลาง กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน ญี่ปุ่นและอังกฤษ เพียงแค่ได้ทบทวนฟังสองสามครั้งเท่านั้น ก็ร้องได้แล้ว เสียงร้องก็เหมือนยังกับแกะ ซ้ำร้ายการพูดการฟังภาษาจีนกลางยังคล่องแคล่วฉาดฉาน แม้คนที่เรียนภาษาจีนมาแล้วหลายปียังทำไม่ได้ นี่ถ้าไม่ใช่สัญญาเก่าแล้วมันคืออะไร  
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนเลยคิดทะลุทะลวงไปไกลว่า เติ้งฯเสียชีวิตปี พ.ศ. 2538 นับถึงปัจจุบันร่วมยี่สิบปีล่วงมาแล้ว ในขณะที่น้องอิงค์อายุได้สิบหกปี ห่างวันเสียและเกิดสี่ปี เป็นไปได้ไหม ช่วงสี่ปีนี้วิญญาณเติ้งฯยังวนเวียนอยู่ ประจวบเหมาะมารดาของน้องอิงค์อาศัยอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ในภาคเหนือเช่นกัน ทั้งเคยอธิษฐานจิตอยากให้ลูกที่เกิดมาเป็นศิลปินนักร้อง เติ้งฯอาจผ่านมาช่วงอธิษฐานพอดี วิญญาณเลยไหลลื่นเข้าท้องปฏิสนธิมาเป็นน้องอิงค์ ซึ่งต่อไปภายหน้า คงต้องมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนเติ้งลี่จินในชาติที่แล้วแน่นอน
 
เกริ่น :
 
สาวน้อยจากเวทีแห่งความฝันที่มีอายุเพียงสิบหกปีคนนี้ จะสามารถชนะใจอาจารย์ท่านได้หรือไม่ ?
 
น้องอิงค์  :  ดิฉันมีนามว่าหลางกาลาหมู่ ปัจจุบันอายุสิบหกปี มาจากเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งของประเทศไทย ขณะนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งของสถาบันการดนตรีจีน ตอนที่ดิฉันอายุได้เจ็ดขวบ พ่อแม่ได้ไปเที่ยวฮ่องกง ได้ซื้อแผ่นเสียงเพลงของเติ้งลี่จินมาหนึ่งแผ่น เมื่อได้ฟังเสียงร้องของเธอ รู้สึกคุ้นเคยมาก คล้ายกับว่าจะเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ตอนนั้นยังไม่เคยเรียนภาษาจีนเลย แต่ฟังเพลงของเธอเพียงสองสามครั้ง ก็สามารถร้องได้ทันที ทั้งมีความรู้สึกถึงความผูกพันระหว่างกันที่แปลกประหลาด เพื่อเป็นการไขหาคำตอบนี้ จึงได้มายังเมืองจีน อยู่ที่เมืองจีน ทำให้มีความหวังว่าจะทำฝันให้เป็นจริงได้ รายการเสียงดีแห่งจีน (中國好聲音) จึงเป็นก้าวแรกของความใฝ่ฝัน ในที่สุดก็ได้มายังเวทีแห่งนี้ เพลงสำหรับค่ำคืนนี้ ดิฉันจะใช้จิตวิญญาณร้องออกมา ลาหมู่ เธอจะต้องทำได้แน่นอน
 
ภายหลังน้องอิงค์ร้องเพลงจบ เก้าอี้ของเหล่าพิธีกรเริ่มหมุนเข้าหาเวที การสนทนาก็เริ่มขึ้น ต่อไปนี้เป็นคำพูดและการถามตอบระหว่างพิธีกรและน้องอิงค์ :
 
พิธีกรหญิง  :  โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ที่แท้เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง
พิธีกรชาย  :  เพื่อนเด็กน้อย
น้องอิงค์  :  สวัสดีค่ะ
พิธีกรชาย  :  นึกไม่ถึงจริงๆ 
พิธีกรหญิง  :  ฉันถึงกับเซ่อไปเลย
พิธีกรชาย  :  รู้สึกเซ่อไปเหมือนกัน
พิธีกรชาย  :  มา มาแนะนำตัวให้เรากันหน่อย
น้องอิงค์  :  สวัสดีค่ะ ดิฉันชื่อหลางกาลาหมู่ ปัจจุบันอายุสิบหกปี มาจากประเทศไทย 
พิธีกรหญิง  :  หันไปที่พิธีกรชาย ไม่เห็นคุณมีปฏิกิริยาใดบ้างเลย
พิธีกรชาย  :  เธอไม่เพียงอายุยังน้อย การพูดการจายังเหมือนคุณเติ้งลี่จินอีกด้วย
น้องอิงค์  :  ขอบคุณค่ะ
พิธีกรชาย  :  คุณมีเลือดเนื้อเชื้อไขของคนจีนบ้างไหม ?
น้องอิงค์  :  คุณปู่เป็นคนจีนค่ะ
พิธีกรชาย  :  แล้วภาษาจีนของคุณละ ?
น้องอิงค์  :  ดิฉันเรียนภาษาจีนมาแล้วหนึ่งปี
พิธีกรชาย  :  หนึ่งปีเหรอ แล้วมีใครเป็นคนสอนคุณละ ?
น้องอิงค์  :  ไม่มีค่ะ
พิธีกรชาย :  ก็แปลว่าคุณใช้วิธีร้องแบบจำเนื้อเพลงเอง
น้องอิงค์  :  เพลงของคุณเติ้งลีจิน ดิฉันฟังเพียงสองสามรอบ ก็ร้องได้แล้ว
พิธีกรชาย  :  โอ้ เด็กเทพอัจฉริยะทางดนตรี
น้องอิงค์  :  ร้องได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลงภาษากวางตุ้ง ฮกเกี้ยน จีนกลาง ญี่ปุ่นหรืออังกฤษ 
พิธีกรชาย  :  ที่คุณบอกว่าฟังเพลงของเติ้งลี่จินเพียงสองสามรอบก็ร้องได้แล้ว หรือว่ายังมีอีก คุณคิดจะฝึกร้องเพลงของเติ้งลี่จินอย่างเดียว
พิธีกรชาย  :  แสดงว่าคุณมีความรู้สึกถึงความผูกพันที่พิเศษ
พิธีกรหญิง  :  นี่นับว่าเก่งมาก หากหวนกลับไปได้ ให้ฉันได้เลือกอีกสักครั้ง ฉันจะต้องเลือกเธออย่างแน่นอน เธอร้องเพลงของเติ้งลี่จินได้ดีเป็นพิเศษ ทั้งยังเหมือนมากๆอีกด้วย
พิธีกรชาย  :  ที่สำคัญคือร้องเพลงประเภทอื่นบ้าง
พิธีกรชาย  :  ผมมีความเห็นว่า นี่คือสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ แต่ความยิ่งใหญ่ย่อมมีขอบเขตจำกัดเหมือนกัน อันนี้ผมก็คิดคิดอยู่
พิธีกรหญิง  :  คุณรู้ไหมในหลายปีมานี้ ตั้งแต่ฉันร้องเพลงมา ฉันไม่เคยคิดที่จะเลียนแบบเลย เพราะท่วงท่าและลีลาแบบนั้น ทำให้ฉันร้องไม่ออก เพราะเราไม่มีรสนิยมอย่างนั้น เธอเป็นคนที่เก่งจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อสักครู่ ที่นั่งฟังอยู่นั้น ยอดเยี่ยมมากกับเสียงที่เลียนแบบ 
น้องอิงค์  :  ขอบคุณค่ะ
พิธีกรหญิง  :  น้องสาว ความใฝ่ฝันของคุณคืออะไร
น้องอิงค์  :  ดิฉันรู้สึกว่าเสียงร้องของคุณเติ้งลี่จิน เป็นเสียงเพลงที่ฟังแล้วให้ความรู้สึกที่ดีที่สุดในโลก ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ตื้นตันใจ ดังนั้น ดิฉันจึงคิดว่าจะสืบทอดเพลงของเธอต่อไป
พิธีกรชาย  :  เอาละ ผมมีคำถามจะถามหน่อย นอกจากเพลงของเติ้งลี่จินแล้ว ธรรมดายังจะมีเพลงประเภทอื่นอีกไหม ?
น้องอิงค์  :  ก็มีฟังเพลง 千里之外 - เชียนหลี่จือว่ายของคุณค่ะ  
พิธีกรชาย  :  อย่างนี้ทำให้ผมนึกถึงความหลังขึ้นมาทันที ตอนนั้นกำลังแสดงคอนเสิร์ต เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเติ้งลี่จิน ซึ่งอยู่กันคนละมิติ ได้ร่วมกันร้องเพลงเชียนหลี่จือว่าย
พิธีกรชาย  :  โอ้ อย่างนั้นก็ต้องร้องเพลงคู่กันแล้ว เจาต่ง เอาสักหน่อยดีไหม เอาสักหน่อยนะ
พิธีกรชาย  :  ความจริงอยู่กันคนละมิติ เหตุการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนเหตุการณ์จริง เอ้า รีบขึ้นเวทีเลย
พิธีกรหญิง ไม่เลวแฮะ
พิธีกรชาย  :  นี่เป็นการผลักให้ขึ้นเวทีร้องเลยใช่ไหม
พิธีกรชาย  :  แรกเลยขอจับมือกันก่อน
พิธีกรชาย  :  ยอดเยี่ยมจริงๆ เรามาให้กำลังกับเธอหน่อยดีไหม
น้องอิงค์  :  ขอบคุณอาจารย์ทั้งหลาย ขอบคุณค่ะ
พิธีกรหญิง  :  น้องสาว ขอถามอะไรหน่อย เธอทำไมถึงได้มาประเทศจีนและมาขึ้นเวทีรายการนี้ (中國好聲音 - เสียงดีแห่งจีน) 
คุณอิงค์  :  เพราะว่าตอนที่อยู่เมืองไทย ดิฉันก็ได้ดูรายการนี้ 
พิธีกรหญิง  :  อยู่เมืองไทยก็ดูรายการนี้ !
น้องอิงค์  :  ค่ะ คือว่าที่มาเมืองจีน เพราะต้องการเรียนภาษาจีน ดิฉันอยากรู้ว่า เพลงที่ร้องนั้นคืออะไรและความหมายเป็นอย่างไร ทั้งยังต้องการรู้ขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของจีนด้วย ดิฉันรู้สึกว่ารายการนี้เป็นความฝันแรกของการเริ่มต้น ขอบคุณค่ะ
พิธีกรชาย  :  ไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก
พิธีกรหญิง  :  ถูกต้อง เราขอชื่นชมจากใจจริง
พิธีกรชาย  :  หวังว่าคุณจะสามารถเรียนรู้เพลงภาษาจีนมากขึ้นและผ่านพ้นข้อจำกัดอื่นๆได้มากขึ้น อีกทั้งอายุยังน้อยแค่สิบหกปีเท่านั้น ซึ่งความหวังยังมีอยู่มาก 
น้องอิงค์  :  ค่ะ ขอบคุณค่ะ
 
หมายเหตุ : เป็นที่น่าเสียดาย วีดีโอ  中國好聲音 - เสียงดีแห่งจีน ถูกลบไปเสียแล้ว แต่เมื่อคืนได้เปิดดู แล้วจัดการแปลคำถามตอบเรียบร้อย วันนี้จึงนำมาโพสต์ให้อ่านกัน
 

千言萬語 - 鄧麗君主唱
 


Jay Chou 周杰倫 【千里之外 Far Away】 費玉清主唱

รูปภาพของ อิชยา

หาได้แค่เ

หาได้แค่เฉพาะเพลงที่ร้องประกวดวันนั้นในรายการ เดอะวอยซ์ จีน เชิญฟัง

【朗嘎拉姆 : 千言万语】中国好声音 2015 第四季 /The Voice of China Season 4

Posted by 中國好聲音 The Voice Of China on Friday, July 17, 2015

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

ภพหน้ามีจริงอย่าล้อเล่น

มนุษย์ ไม่ว่ามีทรัพย์สมบัติมากมายมหาศาล เกียรติภูมิสูงศักดิ์เทียมฟ้าหรือไร้ทรัพย์ไร้เกียรติจัณฑาลต่ำต้อยติดดิน ทุกคนย่อมหนีไม่พ้นความตาย เพื่อยืนยันว่า การเวียนว่ายตายเกิด ชาติหน้ามีจริง การกลับชาติมาเกิดและการระลึกชาติได้มีจริง จึงนำเสนอเรื่องราวเหนือโลกมาให้อ่านกัน จะเพื่อความรู้ ความเชื่อ ความสุนทรีย์ในอารมณ์ก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่พึงสังวรณ์คือ อย่าประมาทในชีวิต ความชั่วทุกชนิดอย่าได้กระทำ จงมีศีลธรรมเป็นเครื่องนำทาง เป็นใบเบิกทางสำหรับการันตีว่า ตายไปจะได้เกิดในภพภูมิสวรรค์ชั้นฟ้าที่ดีมีความสุข ห่างไกลนรกอบายภูมิแห่งความทุกข์  
 
เด็กชายนพพร ใจเร็ว จำอดีตชาติได้
 
ปัจจุบันชาติ
ชื่อนามสกุล : เด็กชายนพพร ใจเร็ว     
ชื่อเล่น : ปิง
วันเดือนปีเกิด : ๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๘
ความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด : มีรอยแผลเป็นที่บริเวณข้างศีรษะด้านบนซ้ายค่อนไปทางด้านหลัง 3 รอย มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวาหนึ่งแห่งและใบหูด้านขวาพับเข้าผิดปกติเมื่อตอนแรกเกิด (เมื่อโตขึ้นกลับเป็นปกติทั้งสองแห่ง)
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๑๕๔/๒ หมู่ ๑๔ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
พี่น้องร่วมบิดามารดา : มี ๒ คนคือ
๑. เด็กชายศิลาพรรณ ใจเร็ว 
๒. เด็กชายนพพร ใจเร็ว
 
อดีตชาติ
ชื่อ-นามสกุล : นายแจ่ม มีสินทรัพย์  ชื่อเล่น : แจ่ม
วันเดือนปีเกิด : พ.ศ.๒๔๙๔
ที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน : ๕๔/๑ หมู่ ๑๖ ตำบลตะคร้อ อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์
พี่น้องร่วมบิดามารดา :  มี ๙ คน คือ           
๑. นางต๋อย บัวลอย                                                            
๒. นายดำ มีสินทรัพย์
๓. นางต๋ง อะวิสุ
๔. นางติ๋ว โพธิ์พินิจ
๕. นายแจ่ม มีสินทรัพย์ (เสียชีวิต)
๖.นายขจร มีสินทรัพย์
๗. นายสำรอง มีสินทรัพย์                                    
๘. นางเนี๊ยะ หงษ์ทอง                                            
๙. นางเน๊าะ สุขโภชน์                                       
วันเดือนปีที่เสียชีวิต : พ.ศ.๒๕๑๖ 
ขณะอายุได้ : ๒๒ ปี
สาเหตุที่เสียชีวิต : ถูกคนร้ายซุ่มยิง
บาดแผลที่ทำให้เสียชีวิต : มีบาดแผลจากกระสุนปืนบริเวณปากและใบหน้าด้านขวากระสุนทะลุศีรษะด้านหลัง ใบหูข้างขวาขาด   
สถานที่เสียชีวิต : บนบ้านของนางต๋งพี่สาว
 
เด็กที่จำอดีตชาติได้ในหมู่บ้านของผู้เขียนรายนี้มีชื่อว่า เด็กชายนพพร ใจเร็ว เป็นบุตรคนที่สองของนายทวนและนางปอ ใจเร็ว ขณะที่ผู้เขียนไปสัมภาษณ์ครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๒ เขาอายุได้ ๘ ขวบ กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.๒ โรงเรียนจิตศรัทธาวิทยานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งเดียวในหมู่บ้าน
 
สำหรับข้อมูลการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพรนี้ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดและการฆาตกรรม ซึ่งการนำเสนอข้อมูลบางส่วนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องได้ ดังนั้นผู้เขียนจึงขอสงวนนามของผู้เกี่ยวข้องและข้อมูลบางส่วน เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อผู้ใด
 
เรื่องราวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพร ถูกเปิดเผยขึ้น ขณะที่เขาอายุได้ประมาณสองขวบ กำลังหัดพูด ยังพูดไม่ค่อยจะชัดถ้อยชัดคำนัก ตอนนั้น เขามักจะตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกอยู่บ่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุ นางปอผู้เป็นแม่พยายามปลอบอย่างไร เขาก็ไม่ยอมหยุดร้องไห้ง่ายๆ นางปอจึงได้แต่ดุปรามให้หยุดร้อง บางครั้งเขาก็ร้องไห้จนเหนื่อยและหลับไปเองเป็นอย่างนี้เสมอ จนกระทั่งเขาเริ่มพูดได้ชัดถ้อยชัดคำขึ้น คืนหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึกบอกว่า “จะไปหาพ่อหาแม่” นางปอผู้เป็นแม่ก็ปลอบว่า “พ่อกับแม่อยู่นี่ไงลูก หนูจะไปหาพ่อแม่ที่ไหนล่ะลูก” เด็กชายนพพร ก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่ใช่พ่อแม่นี้ ผมจะไปหาพ่อเอกแม่ตี่” นายทวนและนางปอได้ยินบุตรชายพูดอย่างนั้น ก็รู้สึกสงสัยว่า บุตรชายของพวกเขาจะจำอดีตชาติได้หรือไม่ เพราะพ่อเอกแม่ตี่ที่เด็กชายนพพรพูดถึงนั้น พวกเขาก็พอจะรู้จัก เนื่องจากเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน
 
ตอนนั้น นายทวนและนางปอนึกถึงรอยแผลเป็น ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของเด็กชายนพพรขึ้นมาทันที เพราะเมื่อตอนแรกเกิดนั้น เด็กชายนพพรมีร่องรอยความผิดปกติหลายแห่ง คือเขามีรอยแผลเป็นที่บริเวณข้างศีรษะด้านบนซ้ายค่อนไปทางด้านหลัง ๓ แห่ง (ข้อมูลจากการตรวจสอบโดยละเอียดล่าสุดเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๒ ตามภาพถ่ายด้านล่าง) มีติ่งเนื้อคล้ายเนื้องอกในปากบริเวณกระพุ้งแก้มด้านขวาหนึ่งแห่ง และใบหูด้านขวาพับเข้าผิดปกติคล้ายกับคนหูขาด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในหมู่บ้านของผู้เขียนว่า ผู้ที่มีลักษณะร่องรอยความผิดปกติ เช่นรอยแผลเป็นตั้งแต่กำเนิดแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วสืบชาติมาเกิด และส่วนใหญ่เด็กที่เกิดมาก็มักจะจำอดีตชาติได้ด้วย 
 
นอกจากนี้ พวกเขายังนึกถึงความฝันของนางลำพอง พัตตาสิงห์เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เคยมาเล่าให้ฟัง ตั้งแต่เมื่อครั้งที่นางปอเพิ่งคลอดเด็กชายนพพรใหม่ๆว่า มีอยู่คืนหนึ่ง นางลำพองฝันไปว่ามีผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งมาบอกว่า “ช่วยไปบอกกับนางปอด้วยว่าลูกของนางปอที่กำลังจะเกิดมานั้น เป็นคนอื่นมาเกิด และถ้าเขาเกิดมาแล้ว อย่าเพิ่งให้กินไข่ ถ้ากินแล้วเขาจะไม่พูดให้รู้” ซึ่งนางลำพองเองก็ไม่เคยรู้จักผู้ชายในฝันมาก่อน ตอนที่นางลำพองฝันนั้น นางปอกำลังตั้งท้องเด็กชายนพพรได้ประมาณ ๘-๙ เดือนใกล้คลอด ทีแรกนางลำพองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าเป็นความฝันธรรมดา และไม่ทราบว่านางปอตั้งท้อง เพราะไม่ค่อยสนิทกัน ต่อมา เมื่อนางลำพองทราบว่านางปอคลอดลูก จึงมาเล่าความฝันในครั้งนั้นให้นางปอฟัง หลังจากที่นางปอคลอดเด็กชายนพพรไม่นาน
 
คืนนั้น นายทวนและนางปอรู้สึกสงสัย และอยากรู้ว่าจะใช่อย่างที่พวกเขาคิดหรือไม่ จึงถามย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “หนูเป็นใครมาเกิดล่ะลูก แล้วพ่อแม่หนูชื่ออะไร” เด็กชายนพพรก็ตอบว่า “ผมเป็นไอ้แจ่ม พ่อผมชื่อเอก แม่ผมชื่อตี่” นายทวนและนางปอกล่าวว่า ตอนนั้น พวกตนรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดของบุตรชายมาก และคิดว่าเขาคงจะจำอดีตชาติได้ หลังจากคืนนั้น พวกตนก็พยายามสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวอดีตชาติของเด็กชายนพพรอีกหลายครั้ง ซึ่งเขาก็ตอบคำถามและเล่าถึงอดีตชาติของเขาให้ฟังพอสรุปความได้ว่า ชาติก่อนเขามีชื่อว่า นายแจ่ม เป็นบุตรของนายเอกและนางตี่ เขาถูกคนร้าย ๒ คนยิง ขณะนั่งกินข้าวอยู่คนเดียวบนบ้านของนางต๋งพี่สาว (เขาบอกชื่อของคนร้ายทั้ง ๒ คนด้วย) คืนนั้นเขา (นายแจ่ม) ไปชมภาพยนตร์กับนางเนี๊ยะน้องสาวที่วิกของนางไสวในหมู่บ้าน แล้วกลับมาจุดตะเกียง นั่งกินข้าวกับหน่อไม้ต้มและยอดฟักทองต้มจิ้มน้ำพริกบนบ้านของนางต๋งพี่สาว กำลังจะอิ่มคำสุดท้ายพอดี ก็ได้ถูกคนร้าย ๒ คน ซุ่มยิงจากใต้ถุนบ้าน กระสุนถูกบริเวณปากและใบหน้าด้านขวาทะลุด้านข้างศีรษะเยื้องไปทางด้านหลัง เขาล้มฟุบลงขาดใจตายทันที
 
หลังจากที่เขาตายไปแล้ว เขาเห็นว่าคนร้ายทั้ง ๒ คนเป็นใคร และวิ่งหนีไปทางไหน หลังจากนั้น เขาก็ได้ไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นที่ไหน แต่มีบ้านมีผู้คนอยู่กันมาก บางคนแต่งตัวดี มีบ้านหลังใหญ่ มีบริวารคอยรับใช้ และมีอาหารการกินเพียบพร้อม แต่ตัวเขาเองมีเนื้อตัวที่สกปรกมอมแมม ใส่เสื้อผ้าเก่าๆขาดๆ อาศัยอยู่ในห้องแถวเก่าๆ สกปรกและไม่มีอาหารกิน เวลาหิวก็ต้องแอบไปขโมยอาหารของคนอื่นมากิน เขาจับได้ก็นำตัวไปขัง ล่ามโซ่ไว้ให้อดข้าวอดน้ำทั้งหิวทั้งทรมาน เมื่อเขาปล่อยออกมา ก็ออกไปหากินตามวัดในงานบุญหรืองานศพ แต่ก็แย่งเขาไม่ทัน เพราะมีคนแย่งกันเยอะ บางครั้ง เขาก็เที่ยวหากินข้าวสุกและอาหารที่มีคนนำมาไว้ให้ตามตอไม้หรือที่ต่างๆที่ไม่ระบุผู้รับ แต่ก็แย่งไม่ทันพวกนกกับพวกสุนัขอีก จึงต้องไปหากินเศษอาหารที่เขาเททิ้งตามบ้านเรือน ความเป็นอยู่ในขณะนั้นแสนจะลำบากและทรมาน ตอนนั้นเขาคิดถึงนางตี่แม่ของเขามาก แต่มาหาไม่ได้ เขาไม่ให้มา จนกระทั่งมาพบแม่ (นางปอ) ไปเลี้ยงวัวในป่าคนเดียว นึกชอบจึงเกาะหลังมา จากนั้นก็หมดสติไป รู้สึกตัวอีกที ก็มาเกิดกับนางปอแม่ในปัจจุบันชาติแล้ว
 
เด็กชายนพพร พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายแจ่ม โดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันที่นายแจ่มเสียชีวิตได้อย่างละเอียด เหมือนกับว่าเขาได้ประสบเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยตัวของเขาเองจริงๆ และยังเล่าถึงชีวิตในสภาวะหนึ่ง หลังจากที่เขาเสียชีวิตให้ฟังอย่างน่าสนใจ ซึ่งตอนนั้นนายทวนและนางปอ ยังไม่ทราบรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันที่นายแจ่มเสียชีวิตมาก่อน พวกเขาเคยทราบแต่เพียงว่า นายแจ่มบุตรชายของนายเอกและนางตี่เพื่อนบ้าน ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น จึงยังไม่แน่ใจว่า เหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้น จะเป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็รู้สึกแปลกใจ ที่เด็กชายนพพรรู้จักชื่อของนายแจ่ม นายเอก นางตี่ นางต๋ง นางเนี๊ยะ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านได้อย่างไรทั้งๆที่เขาไม่เคยพบหรือเคยรู้จักกับคนเหล่านี้มาก่อนเลย
 
พบกับพี่สาวในอดีตชาติ 
 
หลังจากที่เด็กชายนพพรพูดถึงอดีตชาติของเขาให้นายทวนและนางปอฟังได้ไม่นาน วันหนึ่ง นางปอได้พาเด็กชายนพพรไปซื้อของใช้ที่ตลาดนัดวัดใหญ่ในหมู่บ้าน และได้พบกับนางต๋อย บัวลอยพี่สาวของนายแจ่มโดยบังเอิญ เมื่อเด็กชายนพพรมองเห็นนางต๋อย ก็ตะโกนเรียกว่า “อีต๋อย” ส่วนนางต๋อยไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายนพพรมาก่อน ก็รู้สึกงงว่า เด็กคนนี้เป็นลูกใคร ทำไมมาเรียกเธอว่า “อี” และรู้จักชื่อของเธอได้อย่างไร เมื่อเห็นนางต๋อยยืนงงอยู่ เด็กชายนพพรก็พูดขึ้นมาว่า “จำไม่ได้หรือกูไอ้แจ่มไง” นางต๋อยได้ยินก็ยิ่งรู้สึกงงมากขึ้น นางปอจึงบอกกับนางต๋อยว่า เด็กชายนพพรเคยบอกว่าเขาเป็นนายแจ่มน้องชายของนางต๋อยสืบชาติมาเกิด นางต๋อยรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายนพพรมาก แต่วันนั้นไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เนื่องจากผู้คนพลุกพล่านและต่างคนต่างก็จะรีบกลับบ้าน
 
พบกับพ่อแม่ในอดีตชาติครั้งแรก
 
หลังจากวันที่ได้พบกับนางต๋อยพี่สาวของนายแจ่ม เด็กชายนพพรก็ร้องไห้อ้อนวอน ขอให้นายทวนและนางปอพาไปหานายเอกและนางตี่พ่อแม่ในอดีตชาติบ่อยมากขึ้น นายทวนและนางปอก็รู้สึกสงสารบุตรชาย แต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยมีเวลาว่าง จึงยังไม่ได้พาไป อีกอย่างหนึ่ง พวกเขาก็ไม่ทราบว่า บ้านของนายเอกและนางตี่อยู่ที่ไหนกันแน่ ต่อมา เมื่อพวกเขาว่างจากการงาน จึงตัดสินใจพาเด็กชายนพพรไปพบกับนายเอกและนางตี่พ่อแม่ในอดีตชาติที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๑ กิโลเมตร
 
วันนั้น เด็กชายนพพรดีใจมาก ชี้มือบอกทางนายทวนและนางปอไปอย่างคุ้นเคย จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่เคยเป็นทางเข้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรมองหาทางเข้าบ้านไม่พบ เขามีท่าทางงงๆ และรำพึงรำพันเบาๆว่า “ใครมันมาสร้างบ้านปิดทางเดินว๊ะ” นายทวนและนางปอก็ไม่ทราบเช่นกัน ทราบแต่เพียงว่า บ้านของนายเอกและนางตี่อยู่บริเวณนั้น แต่ไม่ทราบแน่นอนว่าเป็นหลังไหน จึงปล่อยให้เด็กชายนพพรเป็นผู้นำไป เด็กชายนพพรบอกกับนายทวนและนางปอว่า “แต่ก่อนทางเข้าบ้านผมอยู่ตรงนี้ ไม่รู้มันหายไปไหน เดี๋ยวลองไปดูทางโน้นก่อน” เด็กชายนพพรพานายทวนและนางปอเดินต่อไปอีกประมาณ ๒๐ เมตร ก็พบทางเข้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรเดินนำหน้าไปอย่างคุ้นเคย ทั้งๆที่เพิ่งเคยมาเป็นครั้งแรก
 
เมื่อมาถึงบริเวณบ้านของนางต๋งพี่สาวของนายแจ่ม ซึ่งอยู่ติดกันกับบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรชี้ให้นายทวนและนางปอดูบ้านหลังนั้นแล้วบอกว่า “เขายิงผมตายบนบ้านหลังนี้แหละ” นายทวนและนางปอก็ได้แต่มองดู เพราะไม่ทราบว่าบ้านหลังนั้นเป็นบ้านของใคร เมื่อมาถึงหน้าบ้านของนายเอกและนางตี่ เด็กชายนพพรมีท่าทางงงๆอีกครั้ง แล้วพูดว่า “แต่ก่อนบ้านผมอยู่ตรงนี้นี่นา” จากนั้นก็พานายทวนและนางปอขึ้นไปบนบ้าน ขณะนั้น นายเอกและนางตี่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ทันทีที่เห็นนางตี่ เด็กชายนพพรเรียกนางตี่ว่า “แม่” แล้วตรงเข้าไปนั่งบนตักของนางตี่อย่างคุ้นเคย และเรียกนายเอกว่า “พ่อ” นายเอกและนางตี่ ก็พอจะทราบข่าวการจำอดีตชาติได้ของเด็กชายนพพรมาบ้างแล้วจากคำบอกเล่าของนางต๋อยพี่สาวของนายแจ่ม ซึ่งเด็กชายนพพรเคยทักทาย ขณะพบกันโดยบังเอิญที่ตลาดนัดในหมู่บ้าน พวกเขารู้สึกดีใจและได้สอบถามเด็กชายนพพร เกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของนายแจ่มหลายเรื่องหลายเหตุการณ์ 
 
เพื่อพิสูจน์ว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่มบุตรชายของพวกเขาสืบชาติมาเกิดใหม่จริงหรือไม่ ซึ่งเด็กชายนพพรก็สามารถตอบคำถามของพ่อแม่และญาติพี่น้องของนายแจ่มได้ถูกต้องทั้งหมด เขาสามารถบอกชื่อของพ่อแม่และญาติพี่น้องของนายแจ่มได้ สามารถบอกชื่อสถานที่ต่างๆได้ เช่น เรียกบริเวณบ้านในอดีตชาติว่า “โคกสนวน” เหมือนที่ชาวบ้านเคยใช้เรียกและชี้บริเวณที่เคยมีต้นสนวนอยู่ได้ ทั้งๆที่ต้นสนวนต้นนั้นถูกโค่นไปก่อนหน้านั้นนับสิบปีแล้ว นอกจากนี้เขายังเล่าถึงเหตุการณ์ในคืนวันที่นายแจ่มถูกยิงเสียชีวิตให้ฟังโดยละเอียด เหมือนกับที่เคยเล่าให้นายทวนและนางปอฟัง และเล่าเหตุการณ์เพิ่มเติมว่า หลังจากที่เขาตายไปแล้ว เขาได้เห็นว่าคนร้ายทั้งสองคนเป็นใคร ชื่ออะไร และวิ่งหนีไปทางไหน “แต่พวกมันตายไปแล้ว สมน้ำหน้ามันอยากยิงผม” เด็กชายนพพรพูดอย่างสะใจ
 
นายทวนและนางปอสอบถามพ่อแม่และพี่น้องของนายแจ่มว่า เหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรพูดมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ก็ได้รับคำยืนยันว่า เหตุการณ์ที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้นเป็นความจริงทั้งหมด ทั้งชื่อสถานที่ที่นายแจ่มไปชมภาพยนตร์ก่อนจะกลับมาถูกยิงเสียชีวิต คือ วิกนางไสว สถานที่ที่ถูกยิงเสียชีวิตคือบ้านของนางต๋งพี่สาว กับข้าวที่นายแจ่มกินก่อนถูกยิงคือหน่อไม้ต้ม ยอดฟักทองต้ม จิ้มน้ำพริก ชื่อของคนร้ายทั้งสองคนที่ยิงนายแจ่ม ทิศทางที่คนร้ายทั้งสองคนวิ่งหนีไป และที่สำคัญเขาบอกว่าคนร้ายทั้งสองคนเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ คนร้ายทั้งสองคนนั้นถูกคนอื่นยิงเสียชีวิตไปแล้วเช่นเดียวกัน หลังจากหลบหนีไปได้หลายเดือน
 
นายทวนและนางปอ ได้เล่าถึงคำพูดและการแสดงออกของเด็กชายนพพรเมื่อสักครู่ ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในบ้านให้พ่อแม่และพี่น้องของนายแจ่มฟัง ทุกคนต่างพากันหัวเราะชอบใจ เพราะทางเข้าบ้านทางเดิมที่เด็กชายนพพรพูดถึงว่า “ใครมันมาสร้างบ้านปิดทางเดิน” นั้น แต่ก่อนเคยมีอยู่จริง แต่ปัจจุบันนี้ได้ถูกเจ้าของที่สร้างบ้านเรือนปิดทางไปหมดแล้ว จึงเปลี่ยนมาใช้ทางใหม่ในปัจจุบันแทน และบ้านหลังที่เด็กชายนพพรชี้ให้ดู ก็คือบ้านของนางต๋งพี่สาวคนหนึ่งของนายแจ่ม ซึ่งเป็นสถานที่ที่นายแจ่มถูกคนร้ายยิงเสียชีวิตจริง ส่วนสาเหตุที่เด็กชายนพพรมองเห็นบ้านในอดีตชาติของเขา แล้วทำท่างงๆก็เพราะว่า แต่ก่อนในสมัยที่นายแจ่มยังมีชีวิตอยู่ บ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงภายหลัง โดยรื้อส่วนที่เป็นหน้าบ้านออก เหลือแต่ส่วนของหลังบ้านเท่าที่เห็นในปัจจุบันนี้นั่นเอง
 
จากการพิสูจน์และสอบถามในครั้งนั้น ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้องของนายแจ่มและพ่อแม่ของเด็กชายนพพรเชื่อว่า เด็กชายนพพรคือนายแจ่ม มีสินทรัพย์ สืบชาติมาเกิดใหม่จริง และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายนพพรก็ไปมาหาสู่กับพ่อแม่ในอดีตชาติของเขาอยู่เสมอ
 
เหตุการณ์วันที่เสียชีวิต
 
นางเนี๊ยะน้องสาวของนายแจ่ม เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของนายแจ่มและเหตุการณ์ในคืนวันที่นายแจ่มเสียชีวิตให้ฟังว่า นายแจ่มพี่ชายของเธอ เกิดเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นบุตรคนที่ ๕ ของครอบครัว ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด ๙ คน
 
นายแจ่มเคยมีภรรยาชื่อนางไสว (เหวียว) บัณฑิตย์ แต่แยกทางกันไปก่อนที่นายแจ่มจะเสียชีวิตไม่นาน มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือ นายจอมและนายจันทร์ มีสินทรัพย์ หลังจากที่นายแจ่มแยกทางกับภรรยา นายแจ่มได้บวชเป็นพระอยู่ที่วัดชุมพล (วัดใหญ่) ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ในหมู่บ้าน เขาครองเพศบรรพชิตได้ไม่นานก็สึก ก่อนที่จะสึกนายแจ่มได้ให้พระครูนิมิตโพธิวัตร (หลวงพ่อโพธิ์) เจ้าอาวาสวัดท่านดูฤกษ์สึกให้ หลวงพ่อท่านตรวจดูฤกษ์ให้แล้ว ปรากฏว่ายังไม่มีฤกษ์สึก ถ้าสึกไปจะมีเคราะห์ แต่ด้วยความใจร้อน นายแจ่มยืนยันที่จะสึกให้ได้ หลวงพ่อท่านเห็นว่าทัดทานไม่ได้ จึงทำพิธีสึกให้ แต่มีเงื่อนไขว่า นายแจ่มต้องนอนค้างที่วัด ๓ คืน หลังจากนั้นค่อยกลับไปอยู่ที่บ้าน แต่นายแจ่มนอนที่วัดได้เพียง ๒ คืน คืนที่ ๓ มีภาพยนตร์มาล้อมผ้าปิดวิกที่ลานบ้านของนางไสวคนในหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านมักจะเรียกกันว่า “วิกนางไสว” นายแจ่มได้เข้าชมภาพยนตร์พร้อมกับเธอและญาติๆ หลังภาพยนตร์เลิกนายแจ่มได้แยกเข้าไปที่วัด ส่วนเธอและญาติๆเดินกลับบ้านไปก่อน 
 
คืนนั้น หลวงพ่อท่านได้ยินเสียงนายแจ่มเข้ามาในกุฏิและกำลังจะออกไป จึงออกมาบอกให้นายแจ่มนอนที่วัด แต่ด้วยชะตาถึงฆาตหรืออย่างไรไม่ทราบ นายแจ่มบอกกับหลวงพ่อว่า เขาคิดถึงแม่ อยากกลับไปนอนที่บ้าน หลวงพ่อท่านพยายามทัดทานไว้ แต่นายแจ่มยังยืนยันที่จะกลับไปนอนที่บ้านให้ได้ หลวงพ่อท่านเห็นว่าทัดทานไม่ได้ จึงปล่อยให้กลับไป นางเนี๊ยะเล่าให้ฟังต่อไปว่า เมื่อเธอกลับมาถึงบ้านได้สักครู่ นายแจ่มก็เดินตามมา ตอนนั้นเธอยังไม่ได้เข้านอน เมื่อนายแจ่มมาถึงก็ยังไม่ขึ้นบ้าน แต่ได้แวะขึ้นไปกินข้าวบนบ้านของนางต๋งพี่สาวซึ่งอยู่ติดกัน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นติดต่อกัน ๒-๓ นัด เสียงปืนดังมาจากทางบ้านของนางต๋ง ตอนนั้นเธอนึกถึงนายแจ่มพี่ชายขึ้นมาทันที จึงตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “เขายิงพี่ทิด ๆ” ทั้งๆที่ยังไม่ทราบว่าใครถูกยิง พ่อของเธอและญาติๆที่อยู่ข้างบ้านได้ยินเสียงปืนและเสียงตะโกน ก็พากันคว้าปืนวิ่งไปยังบ้านของนางต๋งทันที พ่อของเธอและญาติๆวิ่งติดตามคนร้ายไป ส่วนเธอได้วิ่งขึ้นไปบนบ้านของนางต๋งพี่สาว และได้พบนายแจ่มพี่ชายถูกยิงบริเวณใบหน้าด้านขวาทะลุศีรษะด้านหลังใบหูข้างขวาขาด เสียชีวิตคาสำรับกับข้าว ตอนนั้นเธอยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครและมีกี่คน ต่อมา จึงได้ทราบจากเพื่อนบ้านที่พบเห็นคนร้ายขณะกำลังวิ่งหนีไปในคืนนั้นว่า คนร้ายที่ยิงพี่ชายของเธอมี ๒ คน ซึ่งเป็นคนที่ชาวบ้านรู้จักกันดี นายแจ่มพี่ชายของเธอเสียชีวิตเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ ขณะอายุได้ ๒๒ ปี ตอนนั้นเธอและครอบครัวเสียใจมาก เธอยังจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ดี ถึงแม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้วก็ตาม 
 
พบกับภรรยาและลูกในอดีตชาติ
 
นางปอแม่ของเด็กชายนพพรเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งเธอและเด็กชายนพพรได้มารอรถโดยสารที่ท่ารถตะคร้อ-ไพศาลี เด็กชายนพพรมองเห็นนางไสว (เหวียว) บัณฑิตย์ อดีตภรรยาของนายแจ่ม ซึ่งขายกาแฟอยู่บริเวณท่ารถ ก็ชี้มือบอกกับเธอว่า “แม่ๆ...นั่นเมียผมสวยไหม” เธอทราบความหมายที่เขาพูดดี และพยายามปรามไม่ให้เขาพูด แต่เด็กชายนพพรก็พูดขึ้นมาอีกว่า “เมียผมจริงๆนะแม่” เพื่อนบ้านที่อยู่บนรถต่างพากันประหลาดใจกับคำพูดของเด็กชายนพพร หลังจากวันนั้น เด็กชายนพพรก็พูดถึงนางไสวอยู่บ่อยๆ มีครั้งหนึ่งเขาเห็นนายยิ้ม สามีคนใหม่ของนางไสว ขับรถโดยสารผ่านหน้าบ้านก็บอกกับเธอว่า “แม่นั่นรถเมียผม เอ๊ย ไม่ใช่! รถผัวเมียผม”
 
นางไสว (เหวียว) บัณฑิตย์ อดีตภรรยาของนายแจ่มเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งเธอเห็นเด็กชายนพพรยืนมองเธอและทำท่าอายๆ จึงอุ้มเด็กชายนพพรขึ้นมา ขณะที่เธออุ้มเด็กชายนพพรอยู่นั้น เด็กชายนพพรใช้มือลูบไล้ใบหน้าของเธอและมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เธอจึงแกล้งดุแล้ววางลง เด็กชายนพพรแสดงอาการเขินอายหน้าแดง ความจริง ตอนนั้นเธอเองก็พอทราบข่าว ที่เด็กชายนพพรพูดถึงอดีตชาติของเขาว่า เป็นนายแจ่มสืบชาติมาเกิดมาบ้างแล้ว ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อนัก แต่เมื่อได้มาพบกับตัวเอง ก็รู้สึกเชื่อขึ้นมาบ้างเหมือนกัน นางไสวกล่าว
 
นอกจากภรรยาในอดีตชาติแล้ว บุตรชายทั้งสองคนของนายแจ่ม คือ นายจอมและนายจันทร์ มีสินทรัพย์ ก็เคยไปพบกับเด็กชายนพพรที่บ้าน วันนั้นเมื่อเด็กชายนพพรเห็นนายจอมกับนายจันทร์เดินมาก็พูดว่า “นั่นไอ้จอมไอ้จันทร์ลูกกูนี่หว่า...แต่ทำไมลูกถึงตัวใหญ่กว่าพ่อได้” เด็กชายนพพรเรียกชื่อของนายจอมและนายจันทร์ได้ถูกต้อง ทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกันเป็นครั้งแรก และยังบอกด้วยว่า นายจอมและนายจันทร์เป็นลูกของเขา ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเขาจะจำลูกชายทั้งสองคนได้ เพราะเมื่อครั้งที่นายแจ่มถูกยิงเสียชีวิตนั้น นายจอมอายุประมาณ ๒ ขวบและนายจันทร์อายุประมาณ ๑ ขวบ เท่านั้น
 
พูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติ 
 
เด็กชายนพพร ได้พูดและแสดงออกถึงความทรงจำในอดีตชาติของเขากับหลายบุคคล เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้
 
จำนางเน๊าะน้องสาวได้....มีครั้งหนึ่ง นางเน๊าะน้องสาวคนหนึ่งของนายแจ่ม ได้พบกับเด็กชายนพพรเป็นครั้งแรก นางเน๊าะถามเด็กชายนพพรว่า “น้าชื่ออะไร รู้จักหรือเปล่า” เด็กชายนพพรตอบว่า “รู้จัก..อีเน๊าะ ทำไมกูจะไม่รู้จัก” นางเน๊าะเล่าให้ฟังว่า มีครั้งหนึ่งเธอเรียกเด็กชายนพพรว่า “หนูมานี่ซิ” เด็กชายนพพรเดินมาตบปากเธอ บอกว่า “กูเป็นพี่มึงนะ” เด็กชายนพพรพูดเหมือนกับว่าเขาเป็นนายแจ่มพี่ชายของเธอจริงๆ นางเน๊าะกล่าว
 
ฝังระเบิดไว้ใต้โอ่ง....ครั้งหนึ่ง เด็กชายนพพรมาเที่ยวเล่นที่บ้านของนายเอกและนางตี่และเห็นนายอ้าย หงษ์ทอง สามีของนางเนี๊ยะ น้องสาวของนายแจ่มกำลังขุดร่องน้ำอยู่ข้างบ้าน เด็กชายนพพรบอกกับนายอ้ายว่า “ขุดไปเถอะ ระวังโดนลูกระเบิดที่กูฝังไว้นะ” นายอ้ายถามว่า “ฝังไว้ที่ไหน” เด็กชายนพพรตอบว่า “กูฝังไว้ใต้โอ่งใหญ่ อยู่แถวๆนั้นแหละ” ไม่มีใครทราบว่า ระเบิดที่เด็กชายนพพรพูดถึงนั้นมีอยู่จริงหรือไม่ แต่บริเวณที่เด็กชายนพพรพูดถึงนั้น เมื่อก่อนขณะที่นายแจ่มยังมีชีวิตอยู่ เคยมีโอ่งใบใหญ่อยู่ตรงนั้นจริงๆ
 
เคยยืมเงินน้องชาย....มีครั้งหนึ่ง นายทวนผู้เป็นพ่อพาเด็กชายนพพรไปธุระและบังเอิญผ่านบ้านของนายขจร มีสินทรัพย์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๑๕ ตำบลตะคร้อ ซึ่งเป็นน้องชายของนายแจ่ม เด็กชายนพพรบอกกับนายทวนว่า “เดี๋ยวไปขอเงินไอ้จุ่นน้องกูกินขนมดีกว่า” นายจุ่นน้องชายของนายแจ่มกล่าวว่า เมื่อก่อนนี้ นายแจ่มเคยมาขอเงินตนเหมือนกัน เวลาที่ไม่มีเงินใช้ ซึ่งตนก็ให้ไปตามสมควร
 
ทักทายนางเฮี้ยง....มีครั้งหนึ่ง เด็กชายนพพรได้พบกับนางเฮี้ยง แสงจันทร์ คนในหมู่บ้าน ซึ่งเคยรู้จักคุ้นเคยกับนายแจ่มมาก่อน เด็กชายนพพรเรียกนางเฮี้ยงว่า “อีเฮี้ยง” นางเฮี้ยงถามว่า “หนูเป็นใคร ทำไมมาเรียกป้าอย่างนี้” เด็กชายนพพรตอบว่า “ก็กูเป็นไอ้แจ่มไง” เด็กชายนพพรรู้จักและเรียกชื่อของนางเฮี้ยงได้ถูกต้อง ทั้งๆที่ไม่เคยพบหรือรู้จักกันมาก่อน
 
ทักทายนายสมจิตร....มีครั้งหนึ่ง เด็กชายนพพรเห็นนายสมจิตร ละมั่งทอง เพื่อนของนายแจ่มเดินมาตามทาง เด็กชายนพพรตะโกนเรียกนายสมจิตรอย่างคุ้นเคยว่า “ไอ้จิตร มึงจะไปไหน” นายสมจิตรไม่เคยพบหรือรู้จักกับเด็กชายนายนพพรมาก่อน ก็รู้สึกตกใจ ไม่ทราบว่าเด็กชายนพพรคือใคร แต่ต่อมาเมื่อเขาทราบว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่มสืบชาติมาเกิด นายสมจิตรก็รู้สึกทึ่งกับการแสดงออกของเด็กชายนพพรเป็นอย่างมาก เพราะขณะยังมีชีวิต นายแจ่มกับตัวเขารู้จักและคุ้นเคยกันดี
 
เคยถูกกล่าวหา....ขณะยังมีชีวิตอยู่ นายแจ่มเคยถูกนางเปราะ สุขโภชน์ คนในหมู่บ้านกล่าวหาว่าจะขโมยควาย เนื่องจากนางเปราะเห็นนายแจ่มเดินด้อมๆมองๆอยู่ใกล้ๆกับคอกควายของเธอ จึงคิดว่านายแจ่มจะมาขโมยควาย ในครั้งนั้นนายแจ่มปฏิเสธ วันหนึ่ง เด็กชายนพพรอยู่กับนางเน๊าะน้องสาวของนายแจ่ม เด็กชายนพพรมองเห็นนางเปราะเดินมา ก็บอกกับนางเน๊าะว่า “เน๊าะ พากูไปบ้านมึงที กูเกลียดไม่อยากเห็นหน้าคนๆนี้ มันหาว่ากูจะขโมยควายมัน กูไม่ได้จะไปขโมยซักหน่อย” เด็กชายนพพรพูด เหมือนกับว่าเขาเคยทราบเรื่องราวในครั้งนั้นมาก่อน
 
พบคู่หูต่างวัยในอดีตชาติ....นายโก้ พ่อสามีของนางเน๊าะน้องสาวของนายแจ่ม เป็นผู้ที่นายแจ่มคุ้นเคยสนิทสนมมากที่สุดคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะต่างวัยกันมากก็ตาม มีครั้งหนึ่ง นายโก้ได้ขอให้นางเน๊าะลูกสะใภ้ ไปขออนุญาตนายทวนและนางปอ ให้พาเด็กชายนพพรมาพบกับเขาที่บ้าน เพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่าง เมื่อนายทวนและนางปออนุญาต นางเน๊าะก็ได้พาเด็กชายนพพรไปพบกับนายโก้ที่บ้าน
 
นางเน๊าะเล่าให้ฟังว่า วันนั้นเมื่อเธอพาเด็กชายนพพรมาถึงบริเวณบ้านของนายโก้ เด็กชายนพพรเดินนำหน้าเธอไปอย่างคุ้นเคย เมื่อถึงบริเวณหน้าบ้าน เด็กชายนพพรก็ตะโกนเรียกนายโก้ว่า “ปู่” ซึ่งเป็นคำที่นายแจ่มใช้เรียกนายโก้ นายโก้ซึ่งรออยู่ก่อนแล้ว ก็ออกมาต้อนรับ ทันทีที่ได้พบกับนายโก้ เด็กชายนพพรก็ร้องไห้วิ่งเข้าไปกอดนายโก้และบอกกับนายโก้ทั้งน้ำตาว่า “ผมคิดว่าจะเกิดไม่ทันปู่เสียแล้ว” เด็กชายนพพรแสดงความคุ้นเคยกับนายโก้ เหมือนคนรู้จักคุ้นเคยกันมานาน ทั้งๆที่เพิ่งเคยพบกับนายโก้เป็นครั้งแรก นายโก้ถามเด็กชายนพพรว่า “หนูเป็นไอ้แจ่มมาเกิดจริงหรือเปล่า” เด็กชายนพพรตอบว่า “จริง” นายโก้ถามว่า “ถ้าหนูเป็นไอ้แจ่มจริง หนูจำได้ไหมว่าเคยไปทำอะไรที่ไหนกับปู่บ้าง” เด็กชายนพพรตอบว่า “จำได้..” เด็กชายนพพรพูดถึงเรื่องราวในอดีตที่นายแจ่มและนายโก้เคยทำอะไรที่ไหนกันบ้างให้นายโก้ฟัง นายโก้ได้ฟังเรื่องราวที่เด็กชายนพพรเล่าก็ถึงกับน้ำตาไหล เพราะสิ่งที่เด็กชายนพพรเล่าให้ฟังนั้นเป็นความจริง ซึ่งบางเรื่องเป็นเรื่องที่คนอื่นๆก็พอจะทราบ แต่บางเรื่องก็ไม่มีใครทราบมาก่อนนอกจากนายโก้กับนายแจ่มสองคนเท่านั้น
 
นายโก้ถามเด็กชายนพพรต่อไปว่า “ตอนที่ถูกยิงหนูกำลังทำอะไรอยู่” เด็กชายนพพรตอบว่า “ผมนั่งกินข้าวกำลังจะอิ่มพอดี ผมหันไปหยิบขันน้ำ พวกมันก็ยิงปังเข้านี่เลย” เด็กชายนพพรชี้ให้นายโก้ดูที่ใบหูด้านขวารอยแผลเป็นที่บริเวณศีรษะด้านหลังและติ่งเนื้อในช่องปาก นายโก้บอกให้เด็กชายนพพรจัดวาง ถ้วย จาน กะละมังและขันน้ำให้เหมือนกับตอนที่นายแจ่มกำลังกินข้าวอยู่ให้ดู เด็กชายนพพรก็จัดให้ดู ซึ่งเขาจัดได้อย่างถูกต้อง เหมือนกับที่นายโก้เห็นในวันที่นายแจ่มถูกยิง หลังจากนั้นก็แสดงท่าที่นายแจ่มนอนเสียชีวิตให้ดู เด็กชายนพพรนอนนิ่งอยู่นาน จนกระทั่งนายโก้บอกให้พอ เขาจึงลุกขึ้น จากการพิสูจน์ในครั้งนั้น ทำให้นายโก้ นางเน๊าะ และลูกๆของนายโก้ที่ร่วมพิสูจน์ในครั้งนั้น เชื่อว่าเด็กชายนพพรคือนายแจ่มสืบชาติมาเกิดจริง
 
ความทรงจำที่ลบเลือน
 
เด็กชายนพพรพูดและแสดงออกถึงความทรงจำที่สืบเนื่อจากอดีตชาติของเขาให้กับหลายๆบุคคลได้ทราบ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับการกระทำผิดของเขาในอดีตชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พ่อแม่ในอดีตชาติและพ่อแม่ในปัจจุบันชาติ รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก จึงพร้อมใจกันพาเด็กชายนพพรไปให้คนทรงเจ้า ทำพิธีเสกน้ำมนต์ให้ดื่มถึงสองครั้ง เพื่อให้เขาลืมอดีตชาติโดยเร็ว แต่เขาก็ยังไม่ลืม ในการทำพิธีครั้งที่สอง คนทรงให้เด็กชายนพพรรับปากและสัญญาว่าจะไม่พูดถึงอดีตชาติของเขาอีก ซึ่งเด็กชายนพพรรับปาก แต่เขาก็ยังอดที่จะพูดถึงเรื่องราวในอดีตชาติของเขาไม่ได้
 
ขณะผู้เขียนไปสัมภาษณ์ เด็กชายนพพรลืมอดีตชาติของเขาไปมากแล้ว แต่ยังสามารถจำได้ว่า ในอดีตชาติเขาชื่ออะไร พ่อแม่พี่น้องในอดีตชาติชื่ออะไรบ้าง ส่วนความทรงจำในส่วนอื่นๆ เด็กชายนพพรต้องใช้เวลาคิดอยู่นานจึงจะตอบได้ บางเรื่องบางเหตุการณ์เขาก็จำไม่ได้แล้ว
 
ผู้เขียนหวังว่า ในอนาคตถึงแม้ว่าเด็กชายนพพรจะลืมอดีตชาติของเขาไปจนหมดสิ้น แต่ประจักษ์พยานต่างๆที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ จะยังคงสืบสานเผยแพร่เรื่องราวของเขาต่อไป อย่างน้อยก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยยืนยันได้ว่าชาติหน้ามีจริง เพื่อให้ผู้ที่กำลังประกอบกรรมดีและผู้ที่กำลังท้อแท้ในการประกอบกรรมดี ได้มีกำลังใจและมั่นใจในผลแห่งกรรมดีนั้น หรืออย่างน้อยก็เพื่อเป็นสิ่งเตือนใจ สำหรับผู้ที่กำลังประกอบกรรมชั่ว ผู้ที่กำลังประมาทว่ากรรมชั่วไม่ให้ผล ได้เกิดความละอายและเกรงกลัวต่อบาป เพื่อประโยชน์และความสุขของตนและผู้อื่นสืบไป
 
ข้อมูลเรื่องราวข้างต้นและรูปภาพ นำมาจากเว็บไซต์นี้ :
 
https://sites.google.com/site/thaireincarnation/Home/16-cases-foreword/Nopporn-Jairew
 
 
ปัจจุบันชาติ - เด็กชายนพพร ใจเร็ว  ชื่อเล่น : ปิง
 
 
นางปอ - ด.ช.นพพร - นายทวน
 
 
นายเอก - นางตี่
 
 
นางเนี๊ยะ  หงษ์ทอง  -  นายอ้าย หงษ์ทอง
 
 
ร่องรอยแผลเป็นที่ติดตัวมาตั้งแต่แรกเกิด
 
 
นพพร ใจเร็ว (ถ่ายเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๕๒)

จริงหรือครับ?

 

อุตส่าห์สละเวลาอ่าน

 

ไม่น่าเชื่อว่าเป็นจริงคุณเชื่อกี่เปอร์เซ็นต์ครับ?

 

ยังอยากได้รับคำยืนยันจากคนหลายๆคน 

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม

ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ หะแรกจะแบ่งเป็นตอนๆ แต่มาคิดอีกที อย่างนั้นมิเท่ากับว่า กำลังกินอาหารที่อร่อยๆอยู่ เกิดมีคนมาตัดตอนเรียกไปคุยธุระ เสร็จแล้วกลับมากินอีกที รสชาติอาหารที่อร่อยคราวแรก ย่อมหายไปไม่เหมือนเดิม อาจถึงขั้นเลิกกินไปเลย จึงกัดฟันสาวยาวดังที่โพสต์นี่แหละ
 
ก่อนนี้ยังโง่อยู่เลยไม่เชื่อ หลังจากหาความรู้มาหลายสิบปี ฟังเทศน์ฟังเหตุผลมาหลายสถานที่ อ่านและศึกษาเรื่องพวกนี้มาอย่างเข้มข้น เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มว่าภพหน้ามีจริง เมื่อเดี้ยงแล้วไปไหน อันนี้ย่อมแล้วแต่กรรมดีกรรมชั่วจะพาไป ปัจจุบันจึงพยายามรักษาศีลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 
 
1.ไม่ยอมทำร้ายหรือฆ่าสัตว์ ยกเว้นยุง ถ้ามาเกาะดูดเลือดให้รำคาญ แต่อยู่ดีๆไปฆ่ามันไม่ทำ 
 
2.เรื่องขโมยไม่เคยคิดอยากได้ของคนอื่น ถ้าเอามาโดยเจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทำให้เขาเกิดทุกข์ อย่างนี้บาป นอกจากอาจติดคุกติดตะรางแล้ว ซ้ำร้ายให้เขาสาปแช่งอีกต่างหาก ปิดทางสวรรค์แน่ 
 
3.ผิดลูกเมียเขาไม่ประพฤติเด็ดขาด มีอยู่คนเดียวพอแล้ว เนื้อหนังมังสาเหมือนกันทุกคน เขาอุตส่าห์ฝากชีวิตมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรา ก็ควรถนอมน้ำใจปฏิบัติต่อเขาดีๆ ให้เขามีความสุขกายสุขใจ ยกเว้นคู่ครองนอกใจ ความเห็นไม่ตรงกัน พูดกันไม่รู้เรื่อง ถกเถียงกันเป็นประจำ อย่างนี้หาใหม่ลูกเดียว แต่ต้องถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีผู้ใหญ่รับรู้ เรื่องไปหลอกฟันลูกสาวเขา อันนี้น่ากลัว ชีวิตไม่ตายก็คางเหลือง อย่าได้ทำเด็ดขาด 
 
4.ไม่ขอพูดปดอวดโม้เรื่อยเปื่อย ไม่ยุแยงตะแคงรั่วให้คนเขาเดือดร้อนเสียหาย แค่โกหกนิดๆหน่อยๆเช่น เขาถามว่า กินข้าวยัง ตอบว่ากินแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้กิน เพราะไม่ต้องการรบกวนเขา เคยถามพระอริยเจ้าว่าศีลขาดไหม คำตอบคือไม่ขาด เพราะไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน 
 
5.ส่วนสุรายาเมาไม่กินไม่สูบเป็นปกติมาแต่เกิดแล้ว ยกเว้นเกจิ้ว อันนี้ถือเป็นโอสถ ไม่อยู่ในข่าย เพราะไม่ได้ทำให้ขาดสติ ที่จริงสุราเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ไม่มีพิษภัยในตัวมันเอง แต่คนกินนี่ซิ ไม่ประมาณตน กินไม่ยั้งจนขาดสติ แล้วไปก่อเรื่องร้ายแรงต่างๆขึ้น เดือดร้อนทั้งตัวเองและผู้อื่น
 
ปกติก็ประพฤติตนรักษาศีลแบบนี้ ส่วนอานิสงส์ได้ถึงไหน ก็แล้วแต่แรงกรรม ไม่เคยซีเรียสให้จิตหมอง เพราะพระอริยเจ้าท่านสอนว่า ก่อนหมดลมหายใจเฮือกสุดท้าย จิตสดชื่นไปสวรรค์ จิตหม่นหมองไปนรก

น่าสนใจ

ตอนเด็กไหงจำความได้

ไหงมีปานสีน้ำตาลที่ต้นขาซ้าย

หยีโผไหงบอกกับไหงว่า "ชาติก่อนสงสัยหงีตายเร็ว

หรืออาจตายในเดือนพ่อแม่เสียดายเลยทำตำหนิไว้"

ชาตินี้มาเกิดเลยติดตัวมาเป็นปาน ไหงฟังแล้วงง

เพราะยังเด็กซักสิบขวบราวๆนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร

นี่ถ้าไหงชาติก่อนตายอายุมากหน่อยอาจจำชาติก่อนได้

จนถึงวันนี้ไหง 71 ปีแล้วไม่ได้รู้สึกว่าเกิดมาภพหนึ่งแล้ว

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

แล้วแต่วิจารณญาณ

ไหนๆบล็อกนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการระลึกชาติไปโดยปริยายแล้ว ขอนำคลิปวีดีโอเรื่องระลึกชาติของคุณชนัย ที่เคยเป็นครูบัวไขเมื่อชาติก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาให้ชม ส่วนจะเชื่อหรือไม่ อันนี้แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล

หมายเหตุ:

คลิปวีดีโอคนระลึกชาตินี้ นำมาจากรายการตีสิบ ดำเนินรายการโดยคุณวิทวัส สุนทรวิเนตร์ ของโทรทัศน์ช่อง 3

 

คนระลึกชาติ ตอนที่ 1

คนระลึกชาติ ตอนที่ 2

คนระลึกชาติ ตอนที่ 3

คนระลึกชาติ ตอนที่ 4

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

ตำนานลี้ลับ

มาอีกครั้งกับความเชื่อ ชาติหน้าและการระลึกชาติมีจริง คราวนี้เป็นบุคคลที่มีดีกรีขั้นอาจารย์พิเศษจากนิด้า ซึ่งค้นคว้าเรื่องนี้มานาน มายืนยันอีกหนึ่งเสียง เรื่องแบบนี้ ถ้าเชื่อแล้วปฏิบัติตนเป็นคนดี ผลลัพธ์มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเจ๊าหรือเจ๊งแน่นอน

 

 

 หมายเหตุ :

คลิปวีดีโอนี้ นำมาจากรายการตำนานลี้ลับ คนระลึกชาติ ออกอากาศทางช่อง 9 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2556 เวลา 02.20 น. เป็นเรื่องราวของคนที่จำอดีตชาติได้ ในหมู่บ้านตะคร้อ ต.ตะคร้อ อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

ที่แท้มันสกปรก

กาลเวลาผ่านพ้นไม่คอยท่า ไม่หยุดยั้ง ทุกสรรพสิ่งในโลกมีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป วนเวียนเป็นวัฏจักรอยู่อย่างนี้ชั่วกัลปาวสาน 
 
มนุษย์เป็นสัตว์โลกพันธุ์หนึ่งที่มีอยู่เหมือนสัตว์ต่างๆในโลก เพียงแต่มีวิวัฒนาการที่ก้าวหน้า มีมันสมองที่เฉียบแหลมมหัศจรรย์เหนือสัตว์อื่น จึงเป็นสัตว์พันธุ์เดียวที่สามารถควบคุมสัตว์ทุกชนิดได้ทั้งหมด แต่สิ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่เหมือนสัตว์ทั่วไป คือสัญชาตญาณโหด ที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ หากจิตได้รับการขัดขวาง เคียดแค้นเสียใจ จนเกิดความเสียหายที่ไม่อาจประเมินได้ อีกประการหนึ่ง ที่ไม่อาจฝืนต้าน แม้มีทรัพย์ศฤงคารมากมายมหาศาลปานใด มีสมุนไพรที่เลอเลิศเพียงไหน ก็ไม่สามารถพลิกฟื้น นั่นคือความเสื่อมโทรมร่วงโรยของสังขาร
 
สังขารร่วงโรยเป็นกฎธรรมชาติ เมื่ออายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาอวบอิ่มเต่งตึง ร่างกายแข็งแรงเดินเหินคล่องแคล่วว่องไว เมื่อแก่ตัวลง ผิวหนังหน้าตาเหี่ยวย่น การเคลื่อนไหวเชื่องช้าเดินนั่งไม่สะดวก นี่คืออนิจจังความไม่เที่ยง อย่าคิดว่าจะอยู่ยงคงกระพัน แล้วไปยึดติดลุ่มหลง ต้องหมั่นนึกเสมอ ร่างนี้แท้จริงมันสกปรก ถ้าไม่ทำความสะอาด มันคือซากเน่าๆร่างหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น จึงต้องรู้เท่าทัน ทำจิตให้ปลง ไม่ยึดติดลุ่มหลง ไม่ประมาทชีวิต ทำจิตให้เป็นสมาธิ เนืองนิจจนเป็นอสุภกรรมฐานให้ได้
 

 
ป.ล. อสุภกรรมฐาน อสุภ แปลว่าไม่สวยไม่งาม กรรมฐาน แปลว่าตั้งอารมณ์ไว้ให้เป็นการเป็นงาน รวมความแล้วได้ความว่า ตั้งอารมณ์เป็นการเป็นงานในอารมณ์ที่เห็นว่า ไม่มีอะไรสวยสดงดงาม มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเกลียดน่าสะอิดสะเอียน
 
หมายเหตุ  :  คลิปวีดีโอนี้ อัปโหลดเมื่อ 21 พ.ค. 2011 โดย http://www.dmc.tvhttp://www.dmc.tv
รูปภาพของ สิทธิพร1

鄧麗君轉世?酷似! 朗嘎拉姆夢想來台灣"น้องอิงค์" วนัฏษณา วิเศษกุล (朗嘎拉姆)“น้องหลางก

鄧麗君轉世?酷似! 朗嘎拉姆夢想來台灣"น้องอิงค์" วนัฏษณา วิเศษกุล (朗嘎拉姆)“น้องหลางกาลาหมู่” เธอฝันว่าอยากไปบ้านเกิดเติ่งลี่จวินที่ไต้หวัน 

Real China เผยแพร่เมื่อ 27 ก.ค. 2015

風靡華人世界的一代歌后鄧麗君,20年前在泰國病逝,近來網友廣泛討論一位16歲的泰­­國女孩,朗嘎拉姆,不論歌聲還是神貌,都像極了鄧麗君,還被外界認為是鄧麗君再世。

รูปภาพของ สิทธิพร1

千言万语 - 朗嘎拉姆 น้องอิงค์ วนัฏษณา วิเศษกุล

千言万语 - 朗嘎拉姆 น้องอิงค์ วนัฏษณา วิเศษกุล

朗嘎拉姆,泰国华裔,今年16岁,中国音乐学院附中高一学生,中国好声音第四季学员。
“น้องหลางกาลาหมู่” อายุ 16 ปี, จีนดนตรีของนักเรียนโรงเรียนมัธยมนักศึกษาจีนเสียงที่ดีในไตรมาสที่สี่

HL Wang เผยแพร่เมื่อ 16 ส.ค. 2015
朗嘎拉姆,泰国华裔,今年16岁,中国音乐学院附中高一学生,中国好声音第四季学员。
视频背景:泰国南部 甲米 Krabi

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal