หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

เอกลักษณ์ภาพวาดจีน

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

เอกลักษณ์ภาพวาดจีน

 

ภาพวาดจีนที่ใช้พู่กันจีนมีเอกลักษณ์หลายอย่าง  ตั้งแต่การใช้น้ำหนักของหมึก ความจาง-เข้มข้นของหมึก 

แรงกดที่เขียนเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกต่าง ๆ ของศิลปินหรือผู้เขียน แต่สิ่งที่ทำให้ภาพวาดจีนแตกต่างจากโลกตะวันตกมากที่สุด 

นั่นก็คือ  สีขาว หรือพื้นที่ที่ไม่ได้วาด  แนวคิดการวาดภาพของจีนนั้นต่างกันไป   จีนจะไม่วาดภาพให้เต็มพื้นที่  

แต่จะแบ่งสีขาวไว้เป็นความว่าง ให้ผู้ที่ดูภาพนั้นได้จินตนาการเอง บางภาพสีขาวก็แทนด้วยหมอก ด้วยเมฆ หิมะ

ทะเลทราย น้ำตก บึง หนอง ฯลฯ   บางครั้งศิลปินจะเขียนกลอนประกอบลงในภาพวาดไปด้วยเพื่อให้ชัดเจนขึ้น  

แต่น้ำหนักของตัวอักษรก็บอกอีกนั่นแหละ   ว่าคนวาดต้องการที่จะสื่ออะไร เส้นหนักแน่น แข็ง เบาบางหรือโรย ๆ

บางภาพยังมีการสื่อความหมายเป็นคติสอนใจอี ก อย่างเช่นภาพนกตัวใหญ่ทักทายนกตัวเล็ก "หนีห่าว" ที่แฝงความหมายลึก ๆ 

ถึงการให้ความเมตตาต่อผู้น้อย   หรือคนที่ตัวเล็กกว่าเรา (http://nora.exteen.com/20091111/entry)

ปล่อยและเปิดให้คนได้จินตนาการและซึมซาบ

 

สุภาษิตจีน
สุภาษิต หรือข้อคิด – คติเตือนใจ จากคนรุ่นก่อน มีอยู่ในทุกๆชาติ ... ชาติจีน
ซึ่งเป็นชนชาติที่มีความรู้สั่งสมมานาน มีปราชญ์อยู่หลายแขนงและจำนวนมาก จึงมีสุภาษิตจีนอยู่นับร้อยนับพันบท
ข้างล่างนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเป็น 'สุภาษิตจีน' ที่นำมาจากเว๊ปศูนย์แนะแนวการศึกษาต่อประเทศจีน เชิญเปิดดูต้นฉบับ ได้ที่นี่

1.เมื่อพ่อแม่มีชีวิตอยู่ ยังไม่เลี้ยงดูท่านครั้นท่านตายไปแล้ว ทำการเซ่นไหว้ ท่านจะได้รับประโยชน์อันใด

2.ต้นไม้ต้นใหญ่ เกิดจากกล้าไม้ ต้นเล็กๆ  หอสูงเสียดเมฆา ฐานรากเตี้ยติดดิน  การเดินทางหลายพันลี้ เริ่มจากการก้าวเท้าก้าวแรก

3.ที่ใดมีแสงอาทิตย์ ที่นั่นย่อม มีคนจีน ที่ใดมีคนจีน ที่นั่นย่อม มีความรุ่งโรจน์

4.คนเรา มิใช่จะมีโชคเรื่อยไป  ดอกไม้ มิใช่จะบานอยู่ตลอดไป

5.คนฉลาด ที่ได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่เท่ากับคนที่ทำงาน สิ่งเดียวด้วยมือตนเอง

6.ทุกคนเคยทำผิด ม้าทุกตัวเคยหกล้ม

7.ผู้ที่อดกลั้นความอยากได้ ย่อมไม่มีหนี้

8.ผู้ที่ยิ้มแทนที่จะโกรธ คือผู้ที่เข้มแข็งกว่าเสมอ

9.ผู้มีใจตั้งมั่น ย่อมชนะฟ้า  ผู้ไร้ความตั้งมั่น ฟ้าย่อมชนะคน

10. ในโลกนี้ไม่มีอะไรนุ่มหรือบางกว่าน้ำ แต่การที่น้ำสามารถกัดเซาะสิ่งที่แข็งอย่างไม่ยอมจำนนนั้น
      ไม่มีอะไรจะเทียบได้  ความจริงที่ว่า คนอ่อนแอกว่าเอาชนะคนแข็งแรงกว่าได้ คนที่หยาบ
      กระด้างต้องพ่ายแพ้คนที่อ่อนโยน เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครทำตาม

11.ความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์ มิได้อยู่ที่การชนะผู้อื่น  แต่อยู่ที่การชนะตัวเอง

12.อย่ายอมแพ้ ตราบเท่าที่ยังมีความหวัง แต่อย่าหวังจนเกินเหตุผล  เพราะนั่นสะท้อนให้เห็นถึง ความปรารถนามากกว่าการพินิจพิจารณา

13.ถ้าไม่มีกระจกเงา ผู้หญิงก็จะไม่ทราบว่า แป้งที่หน้าเรียบร้อยหรือไม่  ถ้าไม่มีเพื่อนแท้ ปัญญาชนก็ไม่อาจรู้ถึง ความผิดของตนได้

14.ถ้าดื่มกับเพื่อน เหล้าพันถ้วย ยังดูน้อยไป  ถ้าโต้เถียงกับผู้อื่น คำพูดเพียงครึ่งประโยชน์ ก็มากเกินไป

15.การพูดให้ร้าย ไม่ทำให้คนดีเป็นคนเลว  เพราะเมื่อน้ำลด หินก็ยังอยู่ที่เดิม

16.ดัดตัวนั้นง่าย แต่ดัดใจนั้นยาก

17.มีนาแต่ไม่ไถ ยุ้งฉางก็ว่างเปล่า  มีหนังสือแต่ไม่อ่าน ลูกหลานก็โง่

18.คนโลเล ก็เสมือนดาบที่ยังไม่ได้ตีให้เป็นรูป

19.อย่ากลัวที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ  สิ่งที่ต้องกลัวอย่างเดียว คือการหยุดนิ่ง

20.อย่าปล่อยเวลาให้ล่วงไปโดยเปล่าประโยชน์  เพราะฤดูใบไม้ผลิจะไม่ย้อนกลับมาอีก

21. การเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่ยาก มันก็เหมือนกับการคบเพื่อน ยิ่งคบก็ยิ่งคุ้นเคย พบหน้ากันทุกวัน มิตรภาพก็ยิ่งสนิทแน่นแฟ้น

22.เรียน จึงรู้ว่าตนเองด้อยความรู้ สอน จึงรู้ว่าลำบาก ผู้ที่รู้ว่าด้อยความรู้ จึงจะเตือนตัวเองได้  ผู้ที่รู้ว่าลำบาก จึงจะฝึกตนให้เข้มแข็ง

23.เรารู้ว่าหนังสือ ไม่ใช่วิธีการที่จะให้คนอื่นมาคิดแทนเรา ในทางตรงข้าม.. หนังสือ คือเครื่องมือที่กระตุ้นให้เราคิดได้ไกลมากยิ่งขึ้น

24.มีหนังสือตั้งเล่มเกวียน ก็ไม่เท่ากับมีครูคนเดียว

25.ครูเปิดประตูให้ แต่ท่านจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวท่านเอง

26.ไม่เป็นจึงต้องเรียน ไม่รู้จึงต้องถาม

27.คนชั้นต่ำแต่มีการศึกษา ดีมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง  คนชั้นสูงแต่ไร้การศึกษา จะมีประโยชน์อะไร

28.พูดถึงอะไรก่อนอะไรหลัง ความรู้ต้องมาก่อน  พูดถึงอะไรสำคัญที่สุด ความประพฤติย่อมสำคัญที่สุด

29.คมลิ้นฆ่าคนอย่างชนิดเลือดไม่ออก

30.คนที่เก่งทุกทาง แท้จริงคือคนที่ไม่มีอะไรเก่งจริงสักอย่าง  คนที่รอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง แท้จริงคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย

ภาพวาดจีน 'เสือ' แต่ละภาพ ท่าทางเสือจะไม่ซ้ำกัน

 

 

 

 

 

 

 

 







 

 

 

 

 






 

 

 

 






 

 

 

 







 

 

 

 


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 







 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 31. ผู้ที่ขาดความเข้มแข็งทางจิตใจ ทำสิ่งใดก็ไม่บรรลุ

32.ถ้าอดใจโกรธได้ชั่วขณะหนึ่ง ก็จะพ้นความเสียใจได้ถึงร้อยวัน

33.ถอยหลังเพียงก้าวเดียว ทะเลนั้นก็ดูกว้าง นภางค์ก็แลสดใส

34.ปัดเป่าความยุ่งยากได้ครั้งหนึ่ง ความยุ่งยากจะมาอีกร้อยครั้ง ก็ปัดเป่าได้

35.อย่าวางใจ ในโชคของท่านที่มี จงเตรียมตัวไว้ เมื่อเวลาโชคจะพรากไป

36.โชค ไม่เคยมาคู่  เคราะห์ ก็ไม่เคยมาเดี่ยว

37.เมื่อโชคดี ก็บังคับปีศาจได้  เมื่อโชคร้าย ปีศาจก็บังคับท่านได้

38.ถ้าเขาไม่ฉลาด ก็อย่าอ่านบทกวีให้เขาฟัง

39.ทอง ตีเป็นราคาได้  แต่การศึกษา หาตีราคาได้ไม่

40.เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 







 

 

 

 

41.ผู้ที่ขาดคุณธรรม ย่อมไม่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่  ผู้ที่ขาดความรู้ ย่อมไม่มีสายตาอันกว้างไกล

42.วรรณคดี ย่อมไม่นำไปในทางที่ผิด

43.คนรวย วางแผนสำหรับวันพรุ่งนี้  คนจน วางแผนแค่วันนี้

44.ผู้ใดรู้จักใช้พู่กัน จะไม่ต้องขอทานเขากิน

45.ผู้ที่เอาชนะผู้อื่นได้ เป็นคนเข้มแข้ง ผู้ที่เอาชนะตัวเองได้ เป็นคนมีอำนาจ

46.จิตมั่น ความชั่วร้ายทั้งปวงย่อมไม่อุบัติ จิตสงบ จักไม่สนใจเรื่องทั้งปวง ผู้ที่มีอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ จักไม่ยุติกลางคัน


47.เงียบลง ท่านจึงจะคิดได้  ถ้าท่านไม่เงียบ ท่านจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่ผู้อื่นพูดกับท่าน 

    เพราะว่าใจของท่าน พะวงอยู่กับสิ่งที่ท่านคิดว่ารู้แล้ว  เรียนรู้ที่จะฟัง ฟังด้วยหัวใจของท่าน

48.การสร้างเนื้อสร้างตัว เป็นเรื่องลำบาก การธำรงไว้ซึ่งความสำเร็จ ยิ่งลำบาก  ผู้ที่รู้ว่าลำบาก จักไม่ลำบาก

49.การสร้างให้สมบูรณ์ เวลาร้อยปีก็ยังไม่พอ การทำลาย ใช้เวลาวันเดียวก็เกินพอ

50.ความหิว แก้ด้วยอาหาร ความเขลา แก้ด้วยการศึกษา


http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=yyswim&month=23-06-2008&group=9&gblog=8

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กวีเต๋าเถาหยวนหมิง


รูปหน้าปกหนังสือ กวีเต๋าเถาหยวนหมิง

ซิเซโร (Cicero) เขียนจดหมายถึง ขงจื๋อ (Confucius) ผู้นิพนธ์ คัมภีร์อี้จิง (I-Ching) แต่ขงจื๋อ ตอบจดหมายช้า เพราะสมัยก่อนยังไม่มี E-mail   ขงจื๋อ เขียนจดหมายตอบ ซิเซโร ไว้ว่า "เทียนโหย่วเต๋าเจ๋อเจี้ยน เทียนอู๋เต๋าเจ๋ออิ่น" : ยามที่ฟ้าอยู่ในมรรค (บ้านเมืองอยู่ในภาวะปกติสุข) นักปราชญ์ก็จงแสดงตนให้ปรากฎ เมื่อใดที่ฟ้าไร้มรรค (เกิดกลียุคในรัฐ) นักปราชญ์ก็จงหลบซ่อนตน  "เทียนตี้เสียน เสียนเจ๋ออิ่น" : ฟ้าดินไร้ซึ่งสิ่งที่ควรจะทำ (เกิดทุรยศในบ้านเมือง) นักปราชญ์จงปลีกตัวไปหลบซ่อน "ต๋าเจ่อจี้เทียนเซี่ย ผินเจ่อตู๋ซ่านฉีเซิน" หากประสบความสำเร็จก็จงหวนคืนกลับมาช่วยเหลือสรรพสิ่งใต้ฟากฟ้า หากยังยากจนหนทางอยู่ ก็จงพยายามรักษาตัวรอดเอาไว้ก่อนเถิด แนวคิดของ ขงจื๋อ มีอิทธิพลอย่างมาต่อนักปราชญ์ในยุคต่อๆ มา หนึ่งในนักปราชญ์ที่ดำเนินรอยตามปรัชญาของ ขงจื๋อ ก็คือ เถาหยวนหมิง  (ปล. เรื่องจริงก็คือ ซิเซโร ไม่ได้เขียน จม. ถึง ขงจื๊อ เป็นมุขตลกของผู้เขียน)

(ซิเซโร เป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่สุดของกรุงโรมซึ่งพยายามรักษาสาธารณรัฐไว้ แต่ไม่สำเร็จ จนต้องเสียชีวิตไปพร้อมกับการล่มสลายของประชาธิปไตย นอกจากนี้แล้ว เขายังเป็นนักกฎหมายคนสำคัญของยุคสมัย และเป็นคนมีวาทศิลป์ที่หาตัวจับได้ยาก เขาเป็นเพื่อนรักกับอัตติกัส  (Atticus) ซึ่งเกิดก่อนเขา 3 ปี แต่อัตติกัสเห็นพิษภัยของการเมือง จึงหนีไปอยู่ที่กรุงเอเทนส์ ทั้งยังเปลี่ยนชื่อเสียงเสียด้วย จึงร่ำรวยและมีชีวิตราบรื่นมาโดยตลอด ทั้งยังรู้จักปรับตัวให้เข้าได้กับสภาพการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปเรื่อย โดยมีชีวิตยืนยาวกว่าซิเซโร คือตายอย่างธรรมดาสามัญหลังสหายรัก 8 ปี (ที่มา ประวัติ ซิเซโร โดยอนุทินคุณ ครูมิม @12261)  

เถาหยวนหมิง เป็นกวีเอกในสมัยราชวงศ์ตงจิ้น (ค.ศ.356-427) เป็นที่ยกย่องกันว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคหลังราชวงศ์ฮั่นแลก่อนราชวงศ์ถัง เป็นชาวมณฑลเจียงซี อยู่เมืองจิวเจียง เคยรับราชการแล้วออกมาใช้ชีวิตชาวนาอย่างสันโดษที่ตีนเขาหลูซาน ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ต้องการคำนับขุนนางที่ยศสูงกว่า งานกวีที่มีชื่อเสียงมากคือ ธารดอกท้อ (เถาฮวาเหวียน) อันเป็นดินแดนในอุดมคติ ซึ่งก็คือสังคมนิยมเพ้อฝัน หรือ Utopia นั่นเอง เรื่องมีอยู่ว่าชาวประมงคนหนึ่งได้พลัดหลงเข้าไปในดินแดนดอกท้อ ไปพบโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งตัดขาดจากโลกภายนอก ประชาชนในดินแดนแห่งนี้ปลูกข้าวเลี้ยงหม่อนพึ่งตนเอง ปราศจากการกดขี่ขูดรีดใดๆ ต่างคนต่างทำงานมีฐานะเท่าเทียมกัน ปราศจากความเดือดร้อนยุ่งยากจากโลกภายนอก (กวีเต๋าเถาหยวนหมิง หน้า 13)

ฤดูดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ 405  เถาหยวนหมิงได้ไปเป็นผู้ว่าการอำเภอเผิงเจ๋อ ที่ห่างจากบ้านเกิดของตนไม่ไกลนัก และในฤดูหนาวปีเดียวกัน  ผู้บังคับบัญชาของเขาได้ส่งผู้ตรวจการคนหนึ่งมาดูงาน  ผู้ตรวจการคนนี้เป็นคนไม่สุภาพและยังหยิ่งยโส พอเขาเดินทางถึงเขตอำเภอเผิงเจ๋อก็ส่งคนมาสั่งให้นายอำเภอมาเข้าพบเขา   เถาหยวนหมิงได้ข่าวแม้ในใจจะดูถูกคนประเภทที่อาศัยชื่อของผู้บังคับบัญชามาออกคำสั่งก็ตามแต่ยังคงรีบออกเดินทาง  ทว่าคนรับใช้ของเขารีบทักท้วงเถาหยวนหมิงว่า ”การเข้าพบผู้ตรวจการท่านนี้ต้องระวังแต่งกายให้เรียบร้อย  และยังต้องมีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน  มิฉะนั้น  เขาจะต้องใส่ร้ายท่านต่อผู้บังคับบัญชาของท่านแน่ๆ”  เถาหยวนหมิง ผู้มีจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร  ถอนใจยาวกล่าวว่า”ข้าพเจ้ายอมอดตาย  ก็จะไม่ค้อมคำนับเพื่อเบี้ยหวัดข้าวห้าโต่วและคนต่ำช้าสามานย์เช่นนี้”  (หนึ่งโต่วเท่ากับสิบลิตร) พูดจบเขาได้เขียนหนังสือลาออกจากตำแหน่งทันที  ลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอที่ดำรงอยู่กว่า ๘๐ วัน  จากนั้นเถาหยวนหมิงไม่กลับเข้ารับราชการอีกเลย (ที่มา http://thai.cri.cn/chinaabc/chapter16/chapter160404.htm)


เหมาเจ๋อตง นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของจีนเคยเขียนบทกวีพาดพิงไปถึง เถาหยวนหมิงและสวนดอกท้อของท่าน บทกวีชิ้นนี้ชื่อ "ขึ้นหลูซาน" เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2502 สำนวนแปลของ ทวีป วรดิลก (นามปาก ทวีปวร)

ท่านเถาหยวนหมิงไปไหน    มุ่งสู่สถานใดในหน
ดินแดนดอกท้อสถิตยล      ไถนาได้ผลหรือไร  (กวีเต๋าเถาหยวนหมิง หน้า 12)

คืนสู่ชนบท
เถาหยวนหมิง แต่ง
โชติช่วง นาดอน แปล
เนารัตน์  พงษ์ไพบูลย์ ร้อยกรอง


ข้ามิอาจปล่อยตัวตามกระแส                   ด้วยธาตแท้ข้ารักอยู่ภูดอยผา
เคยหลงเข้าข่ายโลกีย์นานปีมา                ถึงสิบสามปีพาข้าหลงไป
นกในกรงถวิลหาถิ่นป่าเก่า                      ปลาสระเล่าถวิลหาสาครใหญ่
บัดนี้ข้าเบิกร้างถางถิ่นไพร                      ดังเคยให้คำมั่นจักหันคืน      

อยู่กับที่กระผีกริ้น ผืนดินข้า                    กระท่อมหญ้าหลังน้อยก็พลอยชื่น
หลิวครึ้มลานหลังร่มคลุมห่มพื้น               ลานหน้ารื่นสาลี่ท้อ ลออราย
หมู่บ้านห่างห่างอยู่ดูตะคุ่ม                      ควันจับกลุ่มเคลื่อนคล้อยค่อยลอยหาย
เสียงหมาเห่าอยู่ตามตรอกซอกทางกราย  ไก่ขันเจื้อยแจ้วกระจายปลายหม่อนนั้น

บ้านห่างร้าง อลวลสับสนกระแส               ห้องโล่งแต่ปิติหฤหรรษ์
นกน้อยถูกขังกรงมานานครัน                  บัดนี้ผันคืนรังอีกครั้งครา
ชนบทไร้บันเทิงเริงสถาน                        ทุกตรอกย่านไร้จอแจรถแห่หา
ยามกลางวันหับประตูไม่ตรูตรา                ห้องว่างเปล่าไม่ต้องมาคอยห่วงใย

ความเป็นอยู่ในหมู่บ้านนั้นธรรมดา           คนแหวกหญ้าหาสู่อยู่ชิดใกล้
ไม่ต้องมีทีท่ามายาใด                             ยามพบหน้าปราศรัยไร่หม่อนปอ
ทั้งต้นหม่อนต้นปอก็เริ่มใหญ่                   ดินข้าไถข้าถากมากแล้วหนอ
กลัวหิมะเหมยร้ายทำลายกอ                    เหลือแต่ตอตายเห็นเป็นพงร้าง

ปลูกถั่วอยู่เชิงหลูซานงานเหนื่อยยาก       ถั่วไม่มากแต่หญ้าดกรกเหลือถาง
ออกดายหญ้าแต่รุ่งตะวันลาง                  แบกจอบพลางจูงจันทร์กลับบ้านเรือน
ทางแคบไม้ครึ้มคร่าหญ้ารกรื้น                หมอกค่ำคืนชื้นเสื้อชื้นเหงือเปื้อน
เปื้อนไปเถิดเปื้อนเปรอะเปื้อนเลอะเลือน     ไม่กระเทือนปณิธานอันมั่นคง

ห่างป่าเขาลำเนาไพรไปนานนม              บัดนี้ข้าได้มาชมไพรระหง
กับลูกหลานฝ่าไปในไพรพง                    เที่ยวดั้นดงถึงสถานหมู่บ้านร้าง
เดินเวียนวนด้นอยู่ในสุสาน                      แล ทำเลหย่อมย่านอันกว้างขวาง
ยังเห็นซากบ่อเก่าเตาไฟวาง                   แลเศษไผ่หม่อนค้างอยู่กลางคัน

ลองถามคนตัดฟืนช่วยยืนชี้                    คนเหล่านี้หนีไปที่ไหนนั่น
คนตัดฟืนตอบคำที่ถามพลัน                   เขาทั้งนั้นตายหมดไม่เหลือเลย    
จริงดั่งคำ "สามสิบปีทุกที่เปลี่ยน"            ไม่ผิดเพี้ยนเลยสักนิด นิจจาเอ๋ย
ชีวิตคนดั่งมายามายั่วเย้ย                      แล้วลงเอยสู่ความว่างเช่นดังนี้

ถือไม้เท้าย่ำทางอย่างหมองหม่น             เดินวกวนตามทางหว่างวิถี
ถึงธารติ้นรื่นพักวักวารี                           พอล้างเท้าเข้าถึงที่กระท่อมทับ
เอาเหล้าหมักออกมากรองร้องทักเพื่อน    เมื่อตาวันผันเผื่อนเลื่อนห้องหับ
จุดคบไต้ต่างเทียนเวียนไหววับ               โอราตรีมีแต่ลับล่วงเร็วจริง
       

(จากหนังสือ กวีเต๋าเถาหยวนหมิง โดย ทองแถม นาถจำนง หน้า  118-120)   



ภาพวาด เถาหมิงกับดอกเบญจมาศ ฝีมือ สือเถา พ.ศ.2184-2260  (กวีเต๋าเถาหยวนหมิง หน้า 8)

หมวดหมู่: ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา
คำสำคัญ: เถาหยวนหมิง
สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการ 
สร้าง: พ. 02 ก.ค. 2551 @ 21:27 แก้ไข: จ. 26 ม.ค. 2552 @ 09:40

 

 


 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal