หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

วิธีคิดหาเหตุผลของคนไทย

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

"กระบวนการวิธีคิดหาเหตุผลของคนไทย มีลักษณะยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ได้รับรู้ ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไรแล้ว การจะแยกแยะว่าสิ่งไหนเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ได้รับรู้มานั้น ตรงกับความเชื่อของตัวเองหรือเปล่า

 

ถ้าตรงกับสิ่งที่ตัวเองเชื่ออยู่ก่อนแล้วก็จะยอมรับว่าจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อก็จะไม่ยอมรับ และใครที่มีความคิดความเห็นไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ จะยัดเยียดความผิดไปให้กับอีกฝ่าย พร้อมกับผลักให้คนที่คิดต่าง เชื่อต่างให้เป็นศัตรู เป็นฝ่ายตรงข้าม

 

ประกอบกับคนไทยมีนิสัยไม่ชอบ ให้ตรรกะความคิดแบบซับซ้อน นิยมให้ตรรกะความคิดอธิบายเหตุผลแบบง่ายๆ อย่างเชื่อว่ารวยแล้วไม่โกง ใช้เหตุผลง่ายๆ คนรวยมีเงินแล้วจะโกงไปทำไม หรือเกิดน้ำท่วมมักจะแก้ปัญหาง่ายๆ ด้วยการเอาดินมาถม ไม่ใช้ตรรกะความคิดที่ซับซ้อน มองให้ละเอียดมากขึ้นว่า น้ำท่วมเกิดจากสาเหตุใดแน่ เอาดินมาถมแล้วจะแก้ปัญหาได้หรือเปล่า"

 

ด้วยมีความคิดหาเหตุผลแบบง่ายๆ ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ไม่ยอมรับความเห็นที่แตกต่างเป็นทุนเดิม...เลยเป็นคุณสมบัติพร้อมที่จะแบ่ง สีแบ่งข้าง

 

เหตุการณ์ความขัดแย้งเผาบ้านเผาเมืองที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ปฏิเสธไม่ได้ มาจากความขัดแย้งแย่งชิงผลประโยชน์ในทางการเมือง

 

แต่ด้วยสังคมไทย ความแตกต่างทางกายภาพไม่มีให้เห็นชัดเจน เพื่อหาความแตกต่างที่เป็นรูปธรรมภายนอกชัดเจน...การกำหนดสี เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างจึงเกิดขึ้น

 

ความแตกต่างภายนอกมีให้เห็น บวกผสมกับกระบวนการวิธีคิดแบบไทยๆ ใครคิดเหมือน เชื่อเหมือนเป็นพวก...ใครคิดต่าง เห็นต่าง เชื่อต่างเป็นศัตรู

 

และเมื่อชอบคิดง่ายๆ ไม่ซับซ้อน...เลยทำให้สังคมนี้ มีที่ให้ผู้คนยืนได้อยู่ 2 จุด

 

ไม่สีเหลือง ก็ต้องเป็นสีแดง

 

จะหลากสี หรือสีอื่น...เมื่อไม่ใช่แดง มันก็ต้องเป็นเหลือง อย่างไม่ต้องสงสัย

 

"ทั้งที่ความจริงของสังคมไทย ไม่ได้มีแค่ 2 สี เรามีสารพัดสี สารพัดกลุ่ม สารพัดความเห็นที่ต่างกัน แม้กระทั่งในสีเหลือง สีแดงที่ชุมนุมต่างก็มีสารพัดสี สารพัดกลุ่มผสมปนเปอยู่ในสีนั้นๆ ทั้งสิ้น

 

เสื้อเหลืองก็มีคนรวยคนจน เสื้อแดงมีทั้งจนและรวยไม่ต่างกัน และในสารพัดกลุ่มที่ถูกยัดเยียดให้เป็นสีนั้นสีนี้ ใช่ว่าจะเห็นตรงกันไปทุกเรื่อง

 

ถ้าจะอธิบายให้เห็นภาพชัด การแบ่งสีแบ่งข้างที่เกิดขึ้น เปรียบสังคมไทยได้กับร้านสะดวกซื้อ คนที่เลือกเดินเข้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกซื้อเครื่องดื่มยี่ห้อนั้น  ยี่ห้อเดียวเหมือนกันทุกคน"

 

ถึงจะเดินเข้าร้านเดียวกัน ทุกคนมีสิทธิคิดต่าง เห็นต่าง เลือกสินค้าต่างกันได้

 

แต่ทำไมต้องไปขีดเส้นบีบบังคับ เข้าร้านนี้ต้องซื้อเครื่องดื่มยี่ห้อนั้นกันทุกคน...ซื้อไม่เหมือนกัน ไม่ใช่พวกอย่างนั้นหรือ

 

เพราะวิธีคิดง่ายๆ สรุปง่ายๆ แบบนี้แหละ...คนไทยถึงต้องมาทะเลาะกัน บ้านเมืองแตกแยก

 

ทั้งที่ศัตรูที่มาทะเลาะกับเรานั้น...ไม่ใช่ใครไหนอื่น

 

เราคิดไปเอง เชื่อไปเอง สร้างศัตรูขึ้นมาเอง เพื่อให้ทะเลาะกับตัวเอง...ตรรกะนี้เป็นความจริงตรงกับที่เราเชื่อหรือไม่

 

ก็ต้องคิดกันเอง.

 

โดย ดร.เอกพันธุ์ ปิณฑวณิช นักวิชาการประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล

 

ที่มา: ไทยรัฐ, 22 มิ.ย. 2553


รูปภาพของ วี่ฟัด

อุปสรรคในการหาเหตุผลของคนไทย

                       ถ้าจะถามว่าคนไทยบางทีไม่ค่อยมีเหตุผล ชอบตัดสินอะไร อะไร โดยใช้ตัวเองเป็นที่ตั้งนั้นไม่ยาก เพราะคนไทยไม่ค่อยใช้ปัญญานั่นเอง ( ที่จริงก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้ว ( ปัญญาน๊ะ)) ประกอบกับความเห็นแก่ตัวเข้าไปอีกก็โป๊ะเช๊ะเลย บางคนถามว่าโอ๊ยคนไทยเดี๋ยวนี้เรียนกันมากมาย จบระดับปริญญากันมากมายแล้วยังหาว่าไม่มีปัญญาอีกเหรอถ้าจะบอกว่า วิชา ( ความรู้ ) นะมีแน่ ( เรียนมันก็ต้องรู้จริงมะ ) แต่ที่ไม่ค่อยมีนะคือ วิชชา ( ปัญญา ) ถ้าจะบอกว่าคนไทยโง่เดี๋ยวจะหาว่ารุนแรงไป แต่จริงๆนะโง่จริงขอบอก ( วิชชาจารณสัมปันโน สุขโตโลกวิฑู )

                       พุทธศาสนาท่านสอนให้เรามีปัญญาในการหาเหตุผลอย่างเป็นระบบ สร้างวิธีคิดด้วยปัญญาแบบพุทธธรรม ที่เด่นชัดคือหลักของ " โยนิโสมนสิการ "   โยนิ - แหล่งเกิด แหล่งกำเหนิด ต้นเหตุ ต้นเค้า คำเดียวกับคำว่า โยนี - ซึ่งก็คือแหล่งเกิดเช่นเดียวกัน   มนสิการ - การคิดแบบแยบยล แยบคายด้วยการใช้ปัญญาไตร่ตรอง พระพุทธเจ้ารู้ว่าคนนะเกิดมาก็มีทุกข์ แล้วทำไมถึงมีทุกข์ละ ท่านก็ใช้หลักนี้คิดไปถึงต้นเหตุแห่งปัญหาที่มาในเรื่องความทุกข์ ท่านก็เลยสรุปว่า อ่อ ความทุกข์เกิดจาก สองทาง คือ 1. ความทุกข์ที่เกิดจากสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ คือกฏธรรมชาตินั่นเอง เช่นกฏพระไตรลักษณ์ ( อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา )  2. ความทุกข์เกิดจากสิ่งที่เราควบคุมได้ ซึ่งก็คือ กิเลส ตัณหา อุปปาทาน นั่นเอง

                   ความทุกข์ในระดับกฎธรรมชาติ เราต้องรู้เท่าทันมันเพราะเราไม่สามารถกำหนดควบคุมมันได้ เช่นที่ท่านบอว่า " ทุกขังปริญญายัง "ซึ่งก็คือ ความทุกข์เราจะต้องรู้ว่าอะไรคือทุกข์ แต่อย่าไปเป็นทุกข์

                   ส่วนความทุกข์ในระดับควบคุมได้ เราจะต้องควบคุม กิเลส ตัณหา อุปปาทานให้ดี ( ถ้าไม่มีโดยสิ้นเชิงนั่นแหละเขาเรียกว่า " นิพพาน " เชียวนา )

                    สรุปคนไทยเดี๋ยวนี้ถ้าจะบอกว่าโง่ก็ยังไม่ผิดนัก ไม่มีปัญญา ไม่ใช้ปัญญา ( ในเมื่อไม่มีแล้วจะเอาที่ใหนมาใช้ ) เก่งแต่ในเรื่องไม่เข้าท่า ไอ้เรื่องที่พอจะเข้าท่าเข้าทางไม่เอาใหน แล้วเมื่อไรจะได้ไปฟุตบอลโลกฟะ ( ชาตินี้ตูจะได้เห็นป่าวว๊ะ )

รูปภาพของ YupSinFa

เพิ่งมาอ่านพบแล้วถูกใจ

                ข้อความที่อาฮยุ๋งโก ดึงออกมาจากบทความของไทยรัฐ ที่อาจารย์ท่านหนึ่งเขียนมานั้น อ่านดูแล้ว ตรงกับที่ท่านเขียนอย่างถูกต้องที่สุด

                อ่านแล้ว พลันนึกถึงคำสอนของพระพุทธองค์ เกี่ยวกับ โยนิโสมนสิการ คือ อย่าเชื่อ 10 อย่าง (ขอประทานอภัยไม่ได้หาข้อมูลว่ามีอะไรบ้าง) สรุปว่า จงเชื่อในสิ่งที่ตนได้พิสูจน์ หรือ ได้ เห็น แล้ว ด้วยตัวเอง เช่น ธรรมะ ในพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็น "ปัจจัตตังเวทิตัปโภวิญญูหิ." คือ ผู้ที่รู้ก็สามารถรู้ได้ เฉพาะตน คือ ศึกษา และ เข้าถึง จึงรู้ได้ ด้วยตนเอง ซึ่งปัจจุบัน ธรรมอภิญญาต่าง ๆ ที่ผู้บรรลุได้ ในแต่ละขั้น ไหงเชื่อว่า มีมากมายหลายองค์ ดังเช่น หลวงปู่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ท่านหลวงปู่ทวด(ช้างให้) หลวงปู่สมเด็จโต หลวงปู่มั่น ภูริฑัตโต หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่สิม พุทธาจาโร หลวงปู้ครูบาหล้าตาทิพย์ ฯลฯ ซึ่งท่านเหล่านี้ได้ดับขันท์ ไปแล้ว พูดตรง ๆ ว่า "นิพพาน" ไปแล้ว

                แต่ในทุกวันนี้ ไหงยังเชื่อว่า ยังมีพระภิษุสงฆ์ อีกมากมายหลายองค์ รวมถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่รักยิ่งของเรา แต่ละท่าน และพระองค์ท่าน ต่างรู้กันได้เฉพาะพระองค์ เท่านั้น ในหลวงของพวกเรา วงการพระเครื่อง เขาเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า พระองค์ท่าน "ทรงอภิญญาอย่างสูงยิ่ง"

               เขียนเรื่องความคิดของคนไทย กลายมาเป็นหลักศาสนาพุทธ ไป เสีย นึกว่าเป็นของแถมนะครับ

               เคยได้ยินพวกฝรั่งเขาพูดถึงคนไทยว่า "ดินแดนสุวรรณภูมิหรือแหลมทองนี้นั้น ช่างเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว เป็นที่ประจักษ์เลื่องลือมากไปไกลทั่วโลก จนแม้แต่กระทั่งถึงบรรพบุรุษของพวกเราต่างพากันหอบเสื่อผืนหมอนใบนอนใต้ท้องเรือสำเภามาขึ้นแผ่นดินที่ปากน้ำเจ้าพระยา มากมาย รุ่นแล้ว รุ่นเล่า อันเนื่องมาจากการบอกต่อ ๆ กันไป อ้าว หลุดอีกแล้ว ฝรั่ง เขา พูดว่า พระเจ้าทรงประทานทรัพยากรอันล้ำค่า ให้แก่ดินแดนแหลมทองแห่งนี้ แต่พระเจ้า ทรงพลาด คือ การ ประทานให้ "คนไทย" มาอยู่ในดินแดนแหลมทองจึงเป็นที่น่าเสียดาย ว่า ดินแดนแหลมทองนี้ไม่พัฒนาไปตามที่ควรจะเป็น"  อะไรทำนองนี้

              ขอประทานโทษนะครับ ที่เอาคำพูดของคนอื่น มาว่า บ้านเมืองของเรา แต่มันก็ได้สะท้อนความเป็นจริง และเป็นกระจก ที่ต้องให้คนไทยส่อง ให้เห็น

              นานมากแล้ว ไทยเคยเจริญกว่า ญี่ปุ่น (หลังสงครามโลกครั้งที่2นะ) เจริญกว่าเกาหลีใต้ เจริญกว่า ไต้หวัน เจริญกว่า มาเลเซีย เจริญกว่า อินโดนีเซีย เจริญกว่าเวียตนาม แต่เดี๋ยวนี้ อินโดนีเซีย กับ เวียตนาม ได้มีความเจริญทัดเทียมกับเราแล้ว แถมล้ำหน้าไปอีกแล้วด้วย ตอนนี้เรา เท่าเทียมกับฟิลิปปินส์ ไม่แน่ ลูกของท่านคอราซอน ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่เชื้อสายฮากกาเหมือนพวกเรา จะนำพาฟิลิปปินส์ เจริญรุ่งเรื่องขึ้นก็เป็นไปได้ หลังถูกอาโรโยครองตำแหน่งถึง 9 ปี โดยไม่มีการพัฒนาขึ้นเลย

             เขาว่า ตอนนี้ ลาวมีความเจริญกว่าไทย แล้วนะครับ ในด้านจิตใจ และ การอนุรักษ์ ครับผม

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal