หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

ขึ้นเขียงผ่าตัด ~ หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

วันที่เจ็ดพฤศจิกายนปีนี้ เป็นครั้งแรกของชีวิตที่ต้องขึ้นเตียงให้หมอผ่าหน้าผาก เพื่อนำเจ้าซีสต์น้อยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาสิงร่างกายออกเสีย มันมาอาศัยอยู่ด้วยนานประมาณปลายปีที่แล้ว ตอนนั้นขยี้เจอที่หน้าผากขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว คิดว่าเป็นตุ่มอะไรหว่า ก็ไม่ได้สนใจ ปล่อยให้มันอยู่เรื่อยไป เวลาล่วงเลยจนวันที่หกเดือนนี้ รู้สึกมึนหัว ได้ใช้น้ำมันหม่องโป๊ยเซียนทาถูทาถูที่ขมับ ทาไปทามาปรากฏว่าไปถูถูกเจ้าซีสต์น้อยเข้าให้อย่างจัง คราวนี้มันไม่น้อยเหมือนเก่าแล้ว มันเจริญเติบโตขึ้นอย่างน่าฉงนเท่าเม็ดถั่วเหลืองขนาดใหญ่ รู้สึกเจ็บนิดๆ เฮ้ย นี่มันก้อนเนื้ออะไรหว่า หรือกูเป็นมะเร็ง ชิบหายแล้ว ไม่ได้การ รีบแจ้นไปโรงพยาบาลให้แพทย์ดู หมอบอกว่าเป็นก้อนเนื้อซีสต์ เกิดขึ้นเองได้ตลอดเวลา ไม่เลือกที่เลือกวัย ทารกหรือแก่เฒ่าเหลาเย่แค่ไหน ไม่มียกเว้น ไม่มีอันตราย แต่ควรผ่าออก เพราะมันสามารถเจริญเติบโตได้เรื่อยๆไม่มีขีดจำกัด โตเท่าเม็ดทุเรียนก็เคยผ่ามาแล้ว ถ้าพร้อมบ่ายนี้จะผ่าให้ ไม่ต้องคิดเป็นคำรบสอง ตอบรับทันควัน ผ่าโลดครับ

เที่ยงครี่ง ขึ้นไปที่ชั้นสามตามพยาบาลนัดหมาย เพื่อเตรียมตัวเข้าห้องผ่าตัด ตามระเบียบต้องถอดเสื้อผ้าออกหมดชนิดล่อนจ้อน แล้วใส่เสื้อคนไข้พร้อมสวมหมวกของโรงพยาบาลแทน เสร็จแล้วพยาบาลให้นั่งรถเข็นเข็นเข้าห้องผ่าตัด สังเกตห้องผ่าตัดมีเตียง มีดหมอ โคมไฟขนาดใหญ่อยู่ข้างบนหัว แพทย์ผ่าตัดและนางพยาบาลสองสามคน เมื่อนอนราบกับเตียง ต้องหลับตาปี๋ เพราะโคมไฟถูกเปิดสว่างมาก หลับตาแล้วเปลือกตานี้แดงฉาน ขืนไม่หลับตาอาจมีตาบอด ที่ต้นขาซ้ายถูกพันธนาการเย็นวาบ ผ้าถูกนำมาปิดหน้าปิดตา เหลือไว้แต่หน้าผาก วินาทีชำแหละเริ่มต้นแล้ว อันดับแรกฉีดยาชา ได้ยินหมอบอกเบาๆ เจ็บหน่อยนะ แล้วลงมือแทง โอ๊ะเจ็บจริง พยายามกลั้นลมหายใจ บีบมืออย่างแรง ปล่อยใจให้ว่าง นึกเสียว่าเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา เรานี้มาถึงขั้นเจ็บตามสัจธรรมแล้ว ปล่อยวางปล่อยว่าง นับเวลาในใจได้ร่วมสามสิบวินาทีแห่งความเจ็บปวด ก่อนค่อยๆหายปวดด้วยฤทธิ์ยาชา เสร็จแล้วหมอต่อด้วยการลงมีดกรีดที่หน้าผาก ขั้นตอนนี้ยิ้มออกหน่อยเพราะไม่เจ็บแล้ว หมอกระซิบเบาๆว่า ถ้าเจ็บให้รีบบอกนะ พยาบาลก็ช่วยถามเป็นระยะ ความรู้สึกตอนถูกผ่า คล้ายมีอะไรมาขีดที่หน้าผาก แหวกเนื้อหนัง ใช้มีดขอดคว้านเนื้อซีสต์ รู้สึกมีเสียงกึกกึก ทำอยู่นานพอสมควร จนรู้สึกว่าคว้านออกมาแล้ว ทำความสะอาดบาดแผล ใส่ยา ใช้เข็มแทงเย็บแผล ดึงด้ายไหมจนรู้สึกหน้าตึง แปะผ้าก๊อซ ปิดทับด้วยพลาสเตอร์ เสร็จแล้วเข็นกลับมายังจุดเดิม กำชับว่าระหว่างนี้เจ็ดวัน ห้ามโดนน้ำเด็ดขาด เดี๋ยวแผลเน่าน้ำหนองขึ้น รวมเวลาผ่าตัดประมาณครึ่งชั่วโมง สถานการณ์ตอนนี้ รู้สึกดีใจโล่งอก เสร็จซะที จากนั้น ลงไปรับยาฆ่าเชื้อยี่ห้อ Gpo mox สองแผงยี่สิบเม็ด กินครั้งละสองเม็ดเช้าเย็น กำชับต้องกินให้หมด และยา Para gpo ยากินเวลาปวด ต้องมาทำแผลทุกวัน ถามค่ารักษาเท่าไหร่ครับ คำตอบที่ได้รับถึงกับอึ้งทึ่งงง ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ หมายความว่าไง อ๋อหมายความว่าบริการฟรีซิคะ เกิดมาก็เพิ่งได้เจอฟรีนี่ละ แสนซึ้งใจ และแล้ว วันที่สิบสี่ครบเจ็ดวัน ก็ได้ให้พยาบาลตัดไหมเย็บเรียบร้อย ลาก่อนเจ้าซีสต์น้อย ชั่วชีวิตนี้ เราอย่าได้พานพบกันอีกเลย

ซีสต์ (Cyst) หมายถึงถุงน้ำหรือก้อนตุ่มไตที่ผิดปกติ มักเป็นเนื้องอกไม่ร้าย (ไม่เป็นมะเร็ง) ประเภทหนึ่ง มีลักษณะเป็นถุง ภายในอาจบรรจุอากาศ ของเหลว ไขมัน หรือเซลล์ผิวหนัง เช่นกระดูก ฟัน ลูกตา เล็บ หรือเส้นผมเป็นต้น ซีสต์เกิดขึ้นได้ในหลายๆตำแหน่งของร่างกาย ที่พบบ่อยคือ ที่บริเวณเต้านม เปลือกตา รังไข่ นิ้วมือ แขน ขา ไต และใต้ผิวหนังส่วนต่างๆ ซีสต์มีหลายชนิด เรียกแตกต่างกันตามลักษณะการเกิด ตำแหน่งที่เกิด และลักษณะของซีสต์เช่น

-เดอร์มอยด์ซีสต์ (Dermoid cyst หรือ Teratoma) เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่จัดวางอยู่ผิดตำแหน่งตั้งแต่พัฒนาการขั้นแรกของทารกในครรภ์ มักพบเส้นผม เล็บ กระดูก ไขมันอยู่ภายใน

-ชอคโกแล็ตซีสต์ (Chocolate cyst หรือ Endometriosis) คือซีสต์ที่ภายในบรรจุของเหลวสีน้ำตาลคล้ายชอคโกแล็ต ซึ่งจริงๆแล้วคือ เยื่อบุมดลูกที่เป็นเลือดประจำเดือนเก่าๆ ซึ่งไหลย้อนกลับผ่านท่อนำไข่ ไปฝังอยู่ในส่วนต่างๆเช่น รังไข่ มดลูก และนอกมดลูก

-ฟังชันนัลซีสต์ (Functional cyst) คือ ซีสต์ที่สามารถยุบฝ่อหายไปเองได้ เมื่ออยู่ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโต

ที่มา:วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี เรื่องซีสต์

เด็กทารกเป็นซีสต์ที่หน้าผาก

ซีสต์ที่ถูกผ่าออกมา

โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโรอุทิศ ตั้งอยู่ที่เลขที่ ๖ ถนนหนองแขม-ศรีนวล ๑ แขวงหนองแขม เขตหนองแขม ก่อตั้งขึ้นโดยพระครูสุนทรธรรมวิมล (หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร) มีวัตถุประสงค์สร้างโรงพยาบาลเพื่อประโยชน์แก่ชุมชนในพื้นที่ ๔ อำเภอและ ๓ จังหวัด ที่ดินบริเวณที่ก่อสร้างเป็นโรงพยาบาลทั้งหมดจำนวน ๖ ไร่ ๗๒ ตารางวา ได้รับบริจาคจากคุณเสาวนีย์ วิไลจิตต์ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนจากผู้มีจิตศรัทธาบริจาคเป็นเงิน วัสดุก่อสร้างและอื่นๆ

ปัจจุบันหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโร อดีตสุภาพบุรุษเสือดำ เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีนวลธรรมวิมล เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร แม้จะมีอายุมากแล้ว แต่สุขภาพยังแข็งแรง และมักได้รับเชิญเป็นประธานในพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกับเสือใบและเสือมเหศวรเสมอๆ และได้บริจาคทรัพย์เพื่อการสาธารณประโยชน์ต่างๆ เช่นก่อสร้างโรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร อุทิศ ที่เขตหนองแขม ด้วยเงินกว่า ๖๗ ล้านบาท

ที่มา:วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (พระทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร)

โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโรอุทิศ

เรื่องราวเพิ่มเติม:

เสือดำ

เป็นจอมโจรชื่อดังในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมยุคกับเสือใบ และเสือมเหศวร มีชื่อจริงว่าระพิน ได้ชื่อว่าเสือดำจากการสวมชุดดำเวลาออกปล้น และใช้ปืนคู่ เวลาออกปล้นจะประกาศให้เจ้าทรัพย์รู้ล่วงหน้าและปล้นด้วยความสุภาพ นิยมปล้นแต่คนรวยให้คนยากจน และบริจาคให้เป็นสาธารณประโยชน์ จนได้รับฉายาว่า "สุภาพบุรุษเสือดำ"

ปัจจุบันบวชเป็นพระได้ฉายาว่าหลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินฺธโร ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระสงฆ์ระดับเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงด้านขมังเวทย์หลายท่าน เช่นหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จังหวัดนครปฐม หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม จังหวัดสมุทรสงคราม สำนักเขาอ้อ จังหวัดพัทลุง เป็นต้นได้ย้อนให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่เส้นทางสายโจร ช่วงนั้นออกปล้นเรื่อยมา จนมาพบกับเสือมเหศวรและเสือใบ ซึ่งหัวอกเดียวกัน เพราะทั้งสองถูกโจรปล้นบ้านและต้องการแก้แค้น จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร ขณะนั้นสมุนยังไม่มี จึงแยกทางกันไปสร้างชื่อเพื่อหาลูกน้อง จนมีลูกน้องติดตาม ๕๐ ถึง ๖๐ คน จึงตั้งเป็นซุ้มเสือดำ

เมื่อบ้านมีกฏบ้าน เมืองมีกฏเมือง ชุมโจรก็มีกฏของชุมโจร ในการปล้นมีกฎเหล็กว่า ต้องปล้นแบบผู้ดีคือ จะออกปล้นช่วงต้นเดือนและปลายเดือน ก่อนเข้าปล้นจะประกาศล่วงหน้าว่าจะปล้นที่ไหน วันและเวลาใด เพื่อให้เจ้าทรัพย์เตรียมตัวไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาก็มาปล้น สมัยนั้นใช้ม้าเป็นพาหนะ มีปืน ๒ กระบอกและกระสอบใส่ทรัพย์สินคนละใบ ก่อนลงมือจะยิงปืนขึ้นฟ้า ๓ นัดเป็น สัญญาณเตือนให้คนในหมู่บ้านรู้ว่ามาปล้นแล้ว จากนั้นจะนำกระสอบไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านนำทรัพย์สินมาใส่ไว้ให้เองโดยสมัครใจ และไม่เอาทั้งหมด เช่นผู้ใดมีเงิน ๑๐ บาท ก็จะเอาแค่ ๕ บาทเท่านั้น เวลาทำงานหรือฤกษ์ปล้นคือ ตั้งแต่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า จนถึงแสงอาทิตย์ขึ้นเหนือฟ้าอีกครั้ง ก็เก็บกระสอบกลับออกไป กฏเหล็กที่สำคัญที่สุดของซุ้มเสือดำคือ ห้ามข่มขู่หรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ นอกจากเจ้าทรัพย์จะฮึดสู้ทำร้ายก่อน นอกจากนั้นสมุนทุกคนต้องอยู่ในศีลธรรม ห้ามยุ่งเกี่ยวกับสาวในหมู่บ้าน ห้ามปล้นโรงสีข้าวเด็ดขาด เพราะจะทำให้ไม่มีข้าวกิน ห้ามปล้นตลาดสด เพราะเป็นจุดรวมของเด็ก คนแก่และคนทั่วไป ถ้าพบลูกน้องคนใดทำผิดกฎ จะฆ่าทิ้งทันที เพราะถือว่าผิดสัจจะของกลุ่มโจร ส่วนทรัพย์สินที่ปล้นมาจะแบ่งเป็น ๕ ส่วน คือ ๑.ค่าอาหาร ๒.ค่ากระสุนปืน ๓.แบ่งไว้ช่วยเหลือคนจน ๔.ช่วยเหลือโรงเรียน ๕.ช่วยเหลือวัด พื้นที่ปล้นอยู่ใน ๓ จังหวัด คืออุทัยธานี สุพรรณบุรีและชัยนาท โดยแบ่งโซนกันระหว่างเสือใบ และเสือมเหศวร ช่วงว่างจากการปล้นจะพาลูกน้องเข้าป่าตัดต้นไม้ไปสร้างบ้านให้คนจนฟรี เพื่อตอบแทนคุณ พร้อมทั้งมอบวัวที่ปล้นมาให้อีกครอบครัวละ ๑ คู่ อดีตเสือดำเล่าถึงเส้นทางสายโจรที่รุ่งโรจน์ของเขา ซึ่งพฤติกรรมดูคล้ายโรบินฮู๊ดส์

เส้นทางสายโจรของเสือดำและเหล่าสมุนรุ่งโรจน์และโรยด้วยกลีบกุหลาบมาตลอด จนกระทั่งการมาถึงของขุนพันธ์ เส้นทางสายโจรของพวกเขาก็เริ่มตีบตัน อดีตเสือดำเล่าถึงชีวิตในช่วงต่อมาว่า ช่วงปี ๒๔๙๕ ถึง ๒๔๙๙ ทางการเริ่มปราบปรามกลุ่มโจรอย่างหนัก เรา ๓ เสือ คือเสือดำ-เสือใบ-เสือมเหศวร เป็นที่ต้องการตัวของทางการมาก มี ค่าหัวคนละหลายหมื่นบาท การปล้นเริ่มมีอุปสรรค บางครั้งถึงขั้นต้อง ดวลปืนกับตำรวจ แต่ก็อยู่รอดปลอดภัยมาตลอดเพราะมีวิชาอาคมที่เรียนรู้มาจากครูบาอาจารย์ จนมาวันหนึ่งมีโอกาสได้ดวลปืนกับขุนพันธ์ที่ยกกำลังมาดักจับที่จังหวัดชัยนาท ครั้งนั้นต่างคนต่างมีวิชาอาคมทั้งคู่ ทำอะไรกันไม่ได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขุนพันธ์ได้นำกำลังออกไล่ล่าดวลปืนกันอีกหลายครั้ง จนสุดท้ายขุนพันธ์ได้นัดคุยกันอย่างลูกผู้ชายว่า ต่างคนต่างมีอาคม คงทำอะไรกันไม่ได้ จึงขอให้เลิกเป็นโจร หยุดปล้น ถ้าหยุดตำรวจจะยกเลิกการจับกุมทุกหมายจับ แต่ต้องกลับตัวเป็นคนดีและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ก็กลับมานอนคิดอยู่ ๓ วัน เราปล้นมา ๒๐ ปี ไม่มีอะไรดีขึ้น จึงตัดสินใจกลับใจหยุดเป็นโจร แบ่งเงินให้ลูกน้อง แล้วแยกย้ายกันไปทำมาหากินอย่างถูกกฎหมาย และได้ขอบวชกับพลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์ อธิบดีกรมตำรวจในยุคนั้น เพื่อหวังว่าบุญจากการบวชจะทดแทนสิ่งที่ได้ทำผิดไปได้บ้าง และเคยใช้ชีวิตช่วงหนึ่งจำพรรษาที่อินเดียและออสเตรเลีย รวมถึงได้เข้าศึกษาที่นั้นจนกระทั่งได้รับปริญญาเอก ๔ สาขา ต่อมาเข้าศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ได้รับปริญญาเอกอีกสาขาหนึ่งด้วย อนึ่ง เรื่องราวของเสือดำ ได้รับการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องฟ้าทะลายโจรเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๓ ผู้รับบทเสือดำคือชาติชาย งามสรรพ์

เสือใบ

เสือร้ายนามกระเดื่องที่ชื่อเสือใบหรือนายใบ สะอาดดี เล่าถึงอดีตว่า ก่อนเป็นโจรก็เป็นชาวนา บ้านอยู่ จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงปี ๒๔๘๗ ขณะนั้นอายุประมาณ ๓๐ ปี ที่บ้านถูกโจรวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้ามาขโมยควาย ตอนนั้นไม่คิดแค้นอะไร เพราะไม่มีการเสียเลือดเนื้อ แต่อีก ๕ เดือนต่อมา โจรกลุ่มเดิมได้ย้อนกลับมาปล้นที่บ้านอีกครั้ง คราวนี้ได้ฉุดน้องเมียไปด้วย จึงแค้นมาก คว้าปืนลูกซองออกตามล่าโจรและตามน้องเมียกลับคืนมา สุดท้ายฆ่าโจรตายไป ๒ ศพ ถูกตำรวจตามจับ จึงหนีออกจากบ้านเข้าสู่เส้นทางสายโจร มาอาศัยในป่าแถบ จังหวัดอ่างทอง เพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุมของตำรวจ เมื่อไม่มีเงินซื้อข้าวก็ออกปล้น จนมีชื่อเสียงในวงการโจร มีลูกน้องเพิ่มขึ้นถึง ๔๐ คน หลังจากนั้นก็เข้าไปอยู่ในสังกัดซุ้มเสือดำ เป็นหนึ่งในสี่เสือที่ทางการต้องการตัวมากที่สุด

เสือใบบอกว่า พื้นที่ปล้นจะอยู่ในเขตจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี และชัยนาท ส่วนสุพรรณบุรีจะไม่ปล้น เพราะเป็นเขตอิทธิพลของเสือดำ ถือเป็นเขตเดียวกันจะไม่เข้าไปรบกวน โดยเลือกปล้นเฉพาะ คนรวยหน้าเลือด ที่ได้เงินมาจากการโกงคนจน คนรวยที่มีคุณธรรมช่วยเหลือชาวบ้านเราจะไม่ปล้น และการปล้นแต่ละครั้ง จะไม่เอาทรัพย์สินหมด เอาครึ่งเดียว ใช้วิธีปล้นแบบขอเจ้าทรัพย์ สิ่งไหนเจ้าทรัพย์ไม่ให้ก็ไม่เอาและห้ามทำร้ายเจ้าทรัพย์เด็ดขาด ยกเว้นขัดขืนต่อสู้ เมื่อปล้นมาได้จะนำทรัพย์สินบางส่วนไปให้คนจน จนกระทั่งถูกตำรวจจับ ตำรวจผู้ปราบเสือใบชื่อผู้กองยอดยิ่ง สุวรรณากร และศาลตัดสินประหารชีวิต แต่รับสารภาพ ศาลจึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ต่อมาได้รับการอภัยโทษเหลือจำคุก ๒๐ ปี ขณะถูกคุมขังมีพฤติกรรมดี โดยวันหนึ่งมีนักโทษชายคนหนึ่งใช้มีดจะทำร้ายผู้คุม ผมเห็นจึงเข้าไปช่วยเหลือ เลยได้ลดโทษออกมาจากคุก แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง อดีตเสือใบกล่าว พร้อมให้ข้อคิดถึงเยาวชนรุ่นหลังว่า อยากให้ลูกหลานที่เกเร ให้รู้ว่าการเป็นโจรเป็นเสือมันไม่ดี เพราะต้องอยู่แบบหลบซ่อนตัวตลอดเวลา และทรัพย์สินที่ปล้นมาอยู่ไม่ได้นาน จึงอยากจะให้ทุกคนตั้งใจทำงาน ขยันหมั่นเพียรเข้าไว้ อยากได้อะไรก็ค่อยเก็บหอมรอมริบ สักวันหนึ่งก็จะได้สิ่งที่ต้องการเอง

เสือมเหศวร

มีชื่อจริงว่าศวร เภรีวงษ์ เป็นชาวจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นจอมโจรชื่อดังในแถบภาคกลางหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ร่วมสมัยกับเสือดำและเสือใบ โดยเสือมเหศวร แต่เดิมเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาๆที่ถูกอำนาจรัฐรังแกและถูกใส่ความว่าฆ่าพ่อตัวเอง จึงจับปืนขึ้นต่อสู้และกลายมาเป็นจอมโจรชื่อดังในที่สุด โดยได้ชื่อว่ามเหศวรจากการแขวนพระเครื่องมเหศวรไว้ที่คอ ซึ่งได้ชื่อว่าช่วยให้แคล้วคลาดปลอดภัย เวลาออกปล้นจะปล้นด้วยความโหดเหี้ยม จนได้รับฉายาว่า จอมโจรมเหศวร เคยโดนตำรวจยิงที่ลำตัวและศีรษะหลายนัด แต่ไม่เข้าเสือมเหศวรถูกปราบโดยขุนพันธรักษ์ราชเดช ซึ่งขุนพันธ์ฯเป็นผู้เกลี้ยกล่อมให้เสือมเหศวรมอบตัว หลังจากได้รับโทษในเรือนจำแล้ว เสือมเหศวรก็ได้บวชเป็นพระและบวชเป็นพราหมณ์มาจนถึงปัจจุบัน แม้มีอายุกว่า ๙๐ ปีแล้ว แต่เสือมเหศวรก็ยังมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง เป็นที่เล่าลือว่าเป็นบุคคลจอมขมังเวทย์ มีชาวบ้านและผู้ที่เชื่อถือแวะเวียยนมาพบปะพูดคุยเสมอๆ ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นผู้ทำพิธีปลุกเสกจตุคามรามเทพรุ่นเซ็นเสือมเหศวรของวัดแสวงหา จังหวัดอ่างทองด้วย เรื่องราวของเสือมเหศวร เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วสองครั้ง คนแรกที่รับบทเสือมเหศวรคือมิตร ชัยบัญชา และเสือมหเศวรคนที่สองคือสมบัติ เมทะนี

อ้างอิงจาก ชำนาญ ไชยศร

พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช มือปราบหนังเหนียวเมืองคอน

รูปจากซ้ายอดีตเสือเมเหศวร-เสือดำ-เสือใบ ในบัจจุบัน


ขอให้หายไวๆ

          ไหง่ขออุทิศบุญกุศลที่ปฏิบัติอยู่ปริวาสธรรม บรรยายธรรม 2 วัน คือ 7-8 พ.ย.นี้ ให้แด่จองกว๊านหมิ่นโก ได้หายไว อย่าได้มีโรคภัยใดมาแผวพานอีก

          ( คาถาสําหรับคนวัยเกษียณ กินอาหารโปรตีน เกลือ แป้ง นํ้าตาล เท่าที่จําเป็น กินอาหารประเภทวิตามิน เกลือแร่ให้มาก เช่นพืชผักผลไม้ แบบโยคะบริโภค)

รูปภาพของ จองกว๊านหมิ่น

น้อมรับและขอบคุณ

ขอบคุณในความห่วงใยของหงิ่วโกจริงๆ ขอน้อมรับบุญกุศลและคำแนะนำไว้ปฏิบัติครับผม ว่าแต่อาถรรพ์ตุตันฯเมื่อไหร่จะลงต่อ อยากอ่านเต็มทนแล้ว

รูปภาพของ อิชยา

อดีตเสือม

อดีตเสือมเหศวร

ได้สินชีวิตแล้ว .. เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้...อายุ ๑๐๑ ปี...ที่จังหวัดชัยนาท

" นายศวร เภรีวงษ์ หรือ เสือมเหศวร จอมโจรชื่อดังของประเทศไทย เสียชีวิตลงแล้วในวัย 101 ปี ด้วยโรคชรา
โดยญาติได้ตั้งศพที่บ้านเลขที่ 204 หมู่ 5 ต.ไพรนกยูง อ.หันคา จ.ชัยนาท
โดยจะกำหนดสวดพระอภิธรรม วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้.. ที่วัดไพรนกยูง "

.... นายสันติสุข เภรีวงษ์ บุตรชายคนเล็กวัย 49 ปี และเป็นสมาชิก อบต. ไพรนกยูง เปิดเผยว่า เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว หลังจากที่บิดาเลิกเป็นเสือ ก็ได้มาทำอาชีพทำไร่มันสำปะหลังที่ จ.ชัยนาท ขณะเดียวกันก็มีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจโตและโรคไต ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อายุมากขึ้น ทำให้บิดาไม่ยอมรับประทานอาหาร ก่อนที่ช่วงเช้าวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เมื่อบิดาล้างหน้า ทาแป้ง แต่งตัวเสร็จ ก็เกิดอาการเป็นลมล้มฟุบไป จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลหันคา แล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมา..
รูปภาพของ วี่ฟัด

ป้จจุบันเสื่อมกว่า

เห็นเจ้อิสของเราตั้งหัวข้อประเด็นเกี่ยวกับเสือสางในอดีตว่า " อดีตเสื่อม " ทำให้ไหง่ตะขิดตะขวงใจมาก เจ้อิสอาจเป็นคนกทม.ที่ไม่เข้าใจชีวิตความเป็นไปของคนในชนบทในอดีตหรืออาจจะพูดแบบเชิงวิชาการได้ว่า เจ้อิสไม่เข้าใจบริบททางสังคมของคนชนบทในอดีต

  พวกเสือพวกสางในอดีตส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากความอยุติธรรมในสังคมคล้ายกับที่เจ้อิสกับพรรคพวกเจ้อิสพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้คนเพียงคนเดียวนั่นแหละ บริบททางสังคมชนบทในสมัยก่อนความหมายความเข้าใจระหว่างราชการกับชาวบ้าน มันยังเป็นแบบเจ้านายกับขี้ข้า แต่มาในยุคนี้มันไม่ใช่แล้วบทบาทของทางราชการจะเป็าลักษณะแบบผู้รับใช้เสียมากกว่า ดังนั้นในอดีตเมื่อชาวบ้านไม่ได้รับการดูแลจากทางราชการที่ดีพอแถมยังถูกกดขี่ข่มเหงอีกชาวบ้านเลยพยายามหาทางออกด้วยตัวเองคือการพึ่งพาตัวเองหรืออาจจะมาต่อสู้กับทางราชการได้

 ที่จริงเสือดำ เสือมเหศวร นี่ยังดูเป็นปัจเจก แต่ในยุคหลังครามโลกครั้งที่สอง  ( หลังปี 2489 ) จะมีพวกเสือจัดตั้งเป็นองค์กรเป็นกลุ่มก้อน แบบในระแวกบ้านไหง่ ( อำเอปากท่อ ) ในช่วงปี 2490 จะมีองค์กรโจรอยู่กลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า " เสือบ้านกอไผ่ " ที่ดำรงค์ตนแบบโรบินฮูด ( ในสมัยแรกๆ ) คือปล้นคนรวยมาช่วยคนจน แต่พอมีกลุ่มคนไม่ดีไม่มีอุดมการณ์เข้ามาร่วมองค์กรมากๆความโลภทำให้องค์กรโจรพังสลาย โดยก่อนช่วงพังสลายถูกปราบปรามนั้นกลุ่มโจรได้ไปจับบาทหลวงชาวอิตาลี่ที่สำนักวาติกันส่งมาประจำโบชถ์ที่อำเภอวัดเพลงมาเรียกค่าไถ่ในราคา 1 ล้านบาท ( ในสมัยเมื่อปี 2490 คิดดูซิว่าเยอะขนาดใหน ) จนรัฐบาลไทยถูกสำนักวาติกันกดดันให้ปราบปราม

  เมื่อสิบกว่าปีก่อนไหง่เคยทำวิจัยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของอำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรีได้ไปคุยกับคนที่เกี่ยวข้องมามากจนเข้าใจบริบททางสังคมของคนชนบทในสมัยก่อนนั้นดี  และเรื่องนี้คนในระแวกท้องถิ่นเขาก็เล่าสืบต่อๆกันมาระหว่างรุ่นต่อรุ่น แม้กระทั้งไท้ปักไหง่ก็รู้จักกับพวกเสือดีเพราะพวกเสือเขาก็ต้องมาซื้ข้าวของเครื่องใช้ในตลาด ดังนั้นในสมัยนั้นมันไม่ได้เป็น " อดีตเสื่อม " แบบที่เจ้อิสคิดหรอกแต่ปัจจุบันสิน่ากลัวมันเสื่อมกว่าหลายเท่านัก คิดดูเหนี่ยวไก่แค่สามสิบบาทยังถูกลักเลยเจ้อิส

รูปภาพของ อิชยา

ไม่ได้ตั้งหัวข้อ

ขอแก้ข้อกล่าวหานิดค่ะโก๊วี่ฝัด

หัวข้อคือ "อดีตเสือมเหศวรเสียชีวิต"...แต่เนื่องจากแถบนำเรื่องตัดคำเหลือแค่ "อดีตเสือม" ... ไม่ใช่อดีตเสื่อม  ไม่มีไม้เอกนะค่ะ

ถ้าโก๊อ่านเนื้อเรื่องจะเห็นว่าเป็นการแจ้งข่าวการตายเท่านั้น......ไม่มีเจตนาอื่นใด

และก็ไม่เข้าใจกับประโยคที่ว่า "เจ้อิสกับพรรคพวกเจ้อิสพยายามเรียกร้องความยุติธรรมให้คนเพียงคนเดียวนั่นแหละ...."  

หมายความว่ายังไงกันไหง่กับพรรคพวกที่ไหน...และเรียกร้องความยุติธรรมของเรื่องอะไร....เพื่อใครหรือ?????

ถึงไหง่จะเกิดที่กรุงเทพฯ...และไม่ทันยุคพวกเสือสางเหล่านี้...แต่ในบริบทของความเป็นอยู่ภายใต้การกดขี่...เอารัดเอาเปรียบ..ข่มเหงคนที่ด้อยกว่านั้น...ไหง่ก็ได้รับรู้สภาพและคำสอนจากอาเม้ไหง่ว่า " มีเรื่องกับตำรวจกินขี้ดีกว่า"...

ไหง่คนเรียนน้อย  หูตาคับแคบ..ได้แต่วิจารณ์ตัวเองคนเดียว...สบายใจกว่ากันเยอะเลย 

รูปภาพของ นายวีรพนธ์

ดำ หัวแพร จอมโจรคนดียวในแผ่นดินที่มีอนุสาวรีย์

 ดำ หัวแพร

จอมโจรคนดียวในแผ่นดินที่มีอนุสาวรีย์







เดือนที่แล้วมีโอกาสไปทำงานที่พัทลุง ได้ยินมานานว่าโจรผู้นี้โด่งดังนัก

ถึงกับมีคนกราบไหว้ ครั้งหนึ่งเป็นแก็งใหญ่ตั้งตัวเองเป็นท่านขุนชื่อ



ขุนอัสดงไพรวัน

แห่งชุมโจรบ้านดอนทราย ใกล้อำเภอทะเลน้อย

ขนาดท้าตำรวจในสมัย ร.6 ยิง แต่มีสัจจะไม่ทำร้ายเด็กและผู้หญิง



อาวุธที่น่ากลัวของดำ หัวแพร คือ พร้าลืมงอในภาพ

เอาไว้เชือดคอเหยื่อ







พาพวกไปยางแคแต่กลางวัน
ยิงนายยกพลัดตกลงกับที่
อ้ายปากดีฆ่าให้ตายอย่าไว้หมัน
เอาลืมงอเชือดคอเสียเร็วพลัน
คนทั้งนั้นสากลัวไปทั่วเมือง




ท้ายที่สุด เจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรี มอบดาบอาญาสิทธิไปปราบจนได้

แต่ดำ หัวแพรที่บาดเจ็บไม่ยอมมอบตัว แต่ผูกคอตายหนีอาญา



ภายหลังมีคนทำรูปปั้นนี้ตั้งไว้หน้าเรือนจำพัทลุง

ทั้งนักโทษ ทั้งผู้ตุมต่างนับถือกลัวยืนตากแดดถึงกับทำหลังคาให้ 



ว่ากันว่าทางการชักรำคาญ เลยทำพิธีแห่เอาไปที้งทะเลเสียเลย

โดยแห่รอบเมืองประจานแล้วล่ามโซ่ให้เหมือนนักโทษ

ตอนแห่มีทั้งพายุเกรี้ยวกราดสมเป็นโจรใจหาญ



ส่วนรูปปั้นที่ถ่ายมาให้ดูนี้ จะทำใหม่หรือไรก็ไม่ทราบ

ชาวบ้านว่าครูใหญ่ รรใ ที่ควนขนุน แหล่งชุมโจรเก่า

เห็นว่ายังไง ดำ หัวแพร ก็คือประวัติศาสตร์ท้องถิ่น

จึงเก็บรูปปั้นนี้เอาไว้ในสวนท้าย รร







ไปตามหาห่างจากตัวเมืองเลยห้างโลตัสสัก 5 กม อยู่ทางซ้าย

ระหว่างหลัก 80 – 81 เส้นไปทุ่งสง









ถามหา รร ปัญญาวุธ แยกตรงข้าม สนง. อบต. แพรกษา

 

  

 

 
ชุมโจรบ้านดอนทราย : ประวัติดำหัวแพร

ชุมโจรบ้านดอนทราย :ประวัติดำหัวแพร

            จังหวัดพัทลุง ในสมัยแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เกิดชุมโจร ชื่อดัง ทั้งประเภทนักเลงหัวไม้ และระดับขุนโจรใจดำเหี้ยมโหด สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน ประมาณนับได้ไม่น้อยกว่า 30 คน ในจำนวนนี้ปรากฏชื่อดังที่สุดในก๊กโจรด้วยกันได้แก่ รุ่งดอนทราย เป็นหัวหน้า และดำหัวแพรเป็นระดับรอง มีสมญานามเรียกว่า “ ขุนอัสดงไพรวัน “ เลียนแบบ บรรดาศักดิ์ ขุนนาง จากการสืบทราบประวัติส่วนตัว ของดำหัวแพร เกิดที่บ้านข่อยม้า ( ตำบลชะม่วง ) เขตอำเภอควนขนุน ประมาณ ปี พศ. 2428 – 2429 ชีวิตเบื้องต้นไม่มีใครทราบ รู้เพียงแต่ว่ามีนิสัยเป็นนักเลงหัวไม้ ไม่กลัวใคร ตั้งตัวเป็นโจรครบถ้วนสมบูรณ์แบบนับแต่อายุย่างเข้าเบญจเพศเป็นต้นมา

                  การที่โจรหลายกลุ่มมารวมตัวกัน โดยเฉพาะหัวหน้าโจร รุ่งดอนทราย ได้ปฏิบัติการทำลายล้าง ปล้นจี้ ฆ่าเจ้าทรัพย์ จนกระทั่งบังอาจท้าทายเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ดวลปืนกันก็เป็นเรื่องหนักใจเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่น้อย นายแก้ว บัวขาว หรือ แก้ว เหงือก ได้แต่งกลอนเล่าสภาพบ้านเมืองสมัยนั้นว่า 

“ขอแถลงแจ้งเรื่องเมืองลุง
มีนายรุ่ง ดอนทรายหัวไม้ใหญ
ประพฤติแต่การชั่ว
ไม่กลัวใคร ทั้ง กำนัน ผู้ใหญ่ ไม่นำพา
มันยกตัวเป็นใหญ่อยู่ในท
ี ถือว่ามีอำนาจ วาสนา
เที่ยวดุร้ายลำพองถึงวัดวา
ชาวประชาราษฎรพาร้อนใจ
……………ฯลฯ……………………

                  สาเหตุที่มาของชุมโจรในพื้นที่จังหวัดพัทลุง มีผู้วิเคราะห์ว่าเกิดจากสภาพบ้านเมือง โดยสรุปคือ

                  1. ความหย่อนยานของอำนาจรัฐ โดยเฉพาะในระดับพื้นที่ไม่อาจให้ความคุ้มครองชาวบ้านได้ เป็นเหตุให้แต่ละชุมชนพยายามสร้างอิทธิพลเพื่อคุ้มครองหมู่บ้านตนเอง
                  2. วัฒนธรรมการยกย่องคนมีอิทธิพล เป็นนักเลง หรือร่ำรวย มากกว่าการยกย่องคนพอมีพอกิน แต่เป็นคนดีมีศีลธรรม กลุ่มนักเลงลืมตัวจนกระทั่งประพฤติตนเยี่ยงโจรในเวลาต่อมา
                  3. ค่านิยมคนพัทลุงในยุคนั้นมีว่า “ เมียฉุด วัวลัก” ยังคงอยู่ในใจชาวบ้านเพราะคนพวกนี้สามารถพาพี่น้อง ครอบครัวให้อยู่รอด ปลอดภัยได้ จึงเท่ากับเป็นการยกย่องคนชั่วไปในตัว

                  เมื่อรุ่ง ดอนทรายประกาศตัวให้ความคุ้มครองชาวบ้าน ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าพึ่งพาอำนาจรัฐ ประกาศิตขุนโจรถึงตายทุกคน รุ่งดอนทรายถึงกับสร้างปืนปลอกเงินเป็นเครื่องหมายประจำตัวหัวหน้า การสั่งการใดๆ หากไม่ได้ด้วยตนเอง ก็จะมอบปืนปลอกเงินถือไปแทนตัวได้ ใครจะมาอ้างคำสั่ง ถ้าไม่มีปืนดังกล่าวแสดงว่าไม่ต้องฟัง

                   ฟัง
รุ่ง ดอนทราย ร่วมกับดำหัวแพร ประกาศตนเพื่อแสวงหาแนวร่วมเข้ามาเป็นพวกพ้อง เรียกว่า 
“ สัจจะโจร ” กำหนดให้ทุกคนถือปฎิบัติอย่างเคร่งครัด 3 ประการคือ
1. ห้ามทำร้ายเจ้าทรัพย์ที่ไม่ต่อสู้ ขัดขวางการปล้น
2. การปล้นแต่ละครั้ง จะเก็บเฉพาะทรัพย์สินที่เก็บไว้เท่านั้น เช่น เสื้อผ้า เงินทอง ทรัพย์สินที่ติดตัว ห้ามเด็ดขาด
3. ไม่ทำร้าย สตรีเพศ และเด็ก บ้านหลังใดที่เคยให้การช่วยเหลือ พักพิง หลบแดด หลบฝน หรือร่มเงา จะไม่ทำการปล้นอย่างเด็ดขาด

                  คุณแม่ ของผู้เขียน ( อายุ 98 ปี ถึงแก่กรรมปี 2541 ) เล่าให้ฟังว่า กลุ่ม โจร รุ่งดอนทราย ประกาศล่วงหน้าว่าจะปล้นบ้านคุณตา ( ขณะนั้นเป็นผู้ใหญ่บ้าน ) ฤกษ์โจรตอนหัวค่ำ ได้ชักชวน ดำหัวแพร มาร่วมปล้นด้วย ก่อนปล้นได้ปลูกสร้าง ปะรำหน้าบ้านสูงเมตรเศษ แต่เมื่อดำหัวแพรรู้ว่าเป็นบ้านที่ตนเคยหลบแดด หลบฝน ถึงกับประกาศปฏิเสธการปล้นทันที เรื่องของดำหัวแพรคุณแม่จึงรู้จักเป็นส่วนตัวดีพอสมควร

                  ประมาณปี 2462 รุ่งดอนทรายถูกฆ่าตาย บางกระแสว่าเป็นไข้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่นำศพไปมัดกับต้นตาลที่วัดกุฎ ( วัดสุวรรณวิชัย อ. ควนขนุน ) หลังจากนั้น ดำ หัวแพรได้สืบตำแหน่งหัวหน้าโจร เต็มรูปแบบ เขาได้แผ่อิทธิพลไปทั่วหมู่บ้าน อำเภอตลอดจนต่างจังหวัดใกล้เคียง 
เอกลักษณ์ ที่เป็นส่วนตัว ดำหัวแพรมีอาวุธ พร้าลืมงอ ปลายสุดถึงด้ามพร้ายาวประมาณ 120 ซม. ตัวพร้าเป็นเหล็กกล้าคมกริบ ท่าแบกพร้าตรงกลางวางบนบ่า ด้ามชิดลำตัว คมพร้าบังหูมิดพอดี ไม่มีใครโดยเฉพาะชาวบ้านแบกพร้าทำนองนี้ เพราะกลัวเขาจะว่าเป็นพวกโจรดำหัวแพร พร้าลืมงอด้ามนั้น ชื่อว่า “ อ้ายใจดำ ” ดำหัวแพรใช้เชือดคอศัตรูเมื่อล้มลงทุกครั้งไป 

                ก่อนสิ้นชื่อดำหัวแพร ทางราชการโดย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลฑิคัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ อุปถัมภ์มลฑลปักษ์ใต้ กล่าวกันว่าทรงมีพระราชอำนาจเบ็ดเสร็จคือ “ มือขวาถือหวาย มือซ้ายถือถุงเงิน ” ทรงอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอนเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้กลางสนาม ทรงรับสั่งให้นายพันตำรวจโท พระวิชัยประชาบาล ( บุญโกย เอโกบล ) ผู้บังคับการตำรวจภูธรมณฑลนครศรีธรรมราช 

                 เป็นผู้อำนวยการปราบโจรในท้องที่จังหวัดพัทลุง เริ่มต้นโดยจัดกลุ่มชาวบ้านที่อาสาสมัครร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ดูแลความสงบสุขของหมู่บ้าน และประกาศให้โจรอาชีพและระดับนักเลงหัวไม้ธรรมดาเข้ามามอบตัวสะสางยกเว้นคดีให้ ทำหน้าที่ฝึกแถว ฝึกยุทธวิธีการรบ เฝ้าเวรยาม ตลอดจนการหาข่าวรายงานทางราชการ เรื่องนี้กล่าวกันว่า พระวิชัยฯ รู้เรื่องต่างๆของโจรในพื้นที่ได้ดีมาก จนชาวบ้านเข้าใจว่าท่าน หูทิพย์ – ตาทิพย์ ครั้งหนึ่งรู้ว่า ดำหัวแพรกับเพื่อนร่วมวงกินหวาก ( กะแช่ ) ที่บ้านหนองคลอด ( หนองช้างคลอด ) ทุ่งหัวคด ( ตำบลโตนดด้วน) จึงมอบหมายให้ เจ้าหน้าที่ 3 นายไปจับกุมคือ สตต. สิริ แสงอุไร , สตต. นำ นาคะวิโรจน์ และพลตำรวจ ร่วง สามารถ พร้อมอาวุธครบมือไปล้อมจับ ดำหัวแพร ทั้งสองฝ่ายสู้รบยิงปืนเป็นสามารถ จนเวลาพลบค่ำ เล่ากันว่า สตต. สิริ ยิงจนกระสุนเหลือนัดเดียว จึงแกล้งล้มลง ดำหัวแพรเข้าใจว่าเป็นปืนที่ตนยิง จึงวิ่งตะลุยเข้าไปส่งเสียง “ ปีบ” อ้ายเสือ เป็นเสียงตะโกนหวังข่มคู่ต่อสู้ ถือพร้าลืมงอเข้าไปเชียดคอ ทันใดนั้นเสียงปืนนัดสุดท้ายดังก้องถูกตรงปลายคางดำหัวแพรล้มลง ทั้งเจ้าหน้าที่ และฝ่ายโจรวุ่นไม่รู้ใครเป็นใคร สมุนดำหัวแพรคนหนึ่งประคองหัวหน้าหนีนำร่างไปซ่อนไว้ที่กอไผ่

                เพื่อเยียวและส่งอาหาร รุ่งเช้าพบว่าดำหัวแพรผูกคอตาย แต่ผู้เขียนยังจำคำบอกเล่าคุณแม่ ที่แต่งเป็นเพลงกล่อมเด็ก ความตอนหนึ่งว่า

“ สิบตรีนำเหอ ยิงดำหัวแพร
ที่หนองช้างคลอด ออกไปสามวา นอนตั้งท่าหงูนหมาน “ ( ท่าหนุมาน )

                มีหลักฐานปรากฎ ตามราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 38 วันที่ 8 พฤษภาคม 2464 หน้า 316 ประกาศขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นความดีความชอบเจ้าหน้าที่ 3 นายดังนี้ 
จ่านายสิบตำรวจ สิริ แสงอุไร ได้รับพระราชทานเหรียญทองช้างเผือก
นายสิบตำรวจโท นำ นาคะวิโรจน์ ได้รับพระราชทานเหรียญทองมงกุฏไทย
ว่าที่สิบตำรวจตรี ร่วง สามารถ ได้รับพระราชทานเหรียญทองมงกุฏไทย 

                ศพของดำหัวแพร ได้ถูกนำไปผูกมัดกับต้นตาลที่วัดกุฎ ประจานไม่ให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง ตลอดจนเป็นการเรียกขวัญชาวบ้าน ให้รู้ถึงการสิ้นชื่อขุนโจรดำหัวแพร ประมาณปี 2462 เช่นกัน ส่วนเรื่องรูปปั้นที่เป็นข่าวนั้น อาจารย์ เทพ บุณยประสาท อดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพัทลุง เคยเล่าว่าสมัยพระคณาศัยสุนทร เจ้าเมืองพัทลุง สร้างพระพุทธรูปไว้ที่ถ้ำเขากัง ( ใกล้โรงพยาบาลพัทลุง) บังเอิญปูนเหลือจึงสั่งให้ช่างปั้นรูปผู้ร้าย เรียกว่า “ อ้ายจังกั้ง” ( คนเกเร ) มีข้อความที่ฐานรูปปั้นว่า “อย่าเอาอย่างไอ้จังกั้งโว๊ย” มีรูปปั้นที่บริเวณเขา วังเนียง ( ปัจจุบันเป็นสวนสาธารณะเทศบาล) ได้มีผู้เขียนว่า “ รูปดำหัวแพร “ กลายเป็นความเข้าใจผิดว่าเมืองพัทลุงสร้างอนุสาวรีย์โจร จนเกิดกระแสต่อต้านจากบางกลุ่มคน แต่บางกลุ่มยังสนับสนุนให้คงรูปปั้นไว้ ขณะเขียนต้นฉบับนี้ 

                อาจารย์สมคิด ทองสง ได้นำรูปปั้นไปเก็บไว้ที่ที่ดินส่วนตัว ใกล้ๆ โรงเรียนปัญญาวุธ เป็นการชั่วคราว
ชีวิตครอบครัวของดำหัวแพร ทราบว่ามีภรรยาที่เป็นตัวตน 3 คนชื่อ นางผลี้ นางร่ม ทั้งสองคนไม่ทายาท คนที่สามชื่อนางจัน มีลูกสาว 1 คน ปัจจุบันยังคงมีชีวิต แต่ไม่ทราบประวัติของบิดา เพราะเสียชีวิตตั้งแต่มีอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น ส่วนคำว่า “ หัวแพร” คุณแม่ผู้เขียนเล่าว่า
เพราะผมดำคล้ายขนกา เป็นคนร่างสูงใหญ่ ผมดำเป็นลอนผิดจากชาวบ้านทั่วไป บางกระแสกล่าวว่า มีผ้าแพรสีดำโพกหัว เป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะผ้าแพรอย่างดีนี้จะใช้เวลาคัดเลือด / ห้ามเลือดได้อีกด้วย

ที่มา  http://www.clipmass.com/story/12315 ขอขอบคุณ

รูปภาพของ นายวีรพนธ์

ขุนโจร ดำหัวแพร

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal