หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

หนูน้อยชิงชิงลูกสินฝ่าป๊า-แนะนำตัวค่ะ

รูปภาพของ ชิงชิง

                            สวัสดีค่ะ อาปัก อาเม อาคิว อาสุก อากุง อาโก และ อาจี้ หนูได้รับคำแนะนำจาก สินฝ่าป่าป๊า ให้เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของชุมชนฮากกาของเรา หนูได้ เปิดอ่านตามคำสอนของป่าป๊ามาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้ หนูกำลังจะขึ้นชั้น ป.6 หนูไม่มีโอกาสได้เรียนโรงเรียนจีน เหมือนน้องสาว เพราะหนูอยู่เชียงราย ชั้น ป.1 ในเมืองเชียงรายไม่มีโรงเรียนจีน พอหนู จบ ป.1 พวกเราก็ได้ย้ายจากเชียงราย กลับมาอยู่เชียงใหม่ หนูเลยมาขึ้นชั้น ป.2 ที่เชียงใหม่ โดยไม่สามารถเข้าโรงเรียนจีนได้

                           แต่ทุกวัน นี้ ป่าป๊า ได้สอนความรู้เรื่องจีนให้หนู อยู่ทุกวัน หนูเริ่มมีความรู้สึกภาคภูมิใจ ในความเป็นเชื้อสายของคนจีน โดยเฉพาะชาวฮากกา แต่หนูก็ยังไม่รู้เรื่องมากนัก ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งหลายโปรดเมตตาหนูด้วย ต่อไปนี้ ถ้าหนูอยากรู้เรื่องอะไร หนูอาจจะไม่ถามป่าป๊า หนูจะเข้ามาเขียน ในชุมชน ของเรานะคะ ตอนนี้ หนูกำลังจะมีอายุ 12 ปี เข้าใจว่า เป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดหรือปล่าวคะ


รูปภาพของ อาฉี

ยินดีต้อนรับ

ยินดีต้อนรับครับ
นับเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเยาวชน ที่จะเป็นคลื่นลูกต่อๆไปสู่อนาคต
เห็นแล้ว น่าภูมิใจแทนเงียปาจริงๆ
รูปภาพของ วี่ฟัด

ฮวนยิง....ชิงชิง

                     ชิงชิงเพิ่งอายุเพียง 12 ขวบ ก็เริ่มมีแนวทางที่ถูกต้องและชัดเจนแล้ว เราลูกหลานจีนก็ต้องไปสู่แนวทางวัฒนธรรมแบบลูกหลานจีน เราไม่ใช่ลูกฝรั่งมังค่าจะได้ไปเห่อตามกระแสวัฒนธรรมตะวันตกให้มันมากมายนัก ( แต่ต้องรู้ไว้บ้าง )

                    ไหงกว่าจะเริ่มสู่แนวทางที่ถูกต้องชัดเจนก็ปาเข้าไปจนอายุ 30 กว่าแล้ว ก่อนหน้านั้นไม่สนใจอะไรเลยเกี่ยวกับจีน

                    " ฮากกาหงิ่นก้องฮากกาฟ้า " ประโยคนี้เป็นประโยคอมตะของชาวฮากกาที่พูดกันมานานแสนนาน ( แต่ไหงยังทำไม่ค่อยได้แต่จะพยายาม )

                       ในอนาคตไม่กี่ปีนี้จีนจะเป็นประเทศที่ทีเศรษฐกิจที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นกระแสวัฒนธรรมตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมและภาษาจีน จึงได้รับความสนใจไปทั่วโลก

                        บางทีไหงดู cctv แล้วเศร้าใจว่าทำไมคนตะวันตกหรือที่คนไทยเรียกว่า " พวกฝรั่ง " เขาพูดภาษาจีนกันได้ดีมาก แต่พวกเราละลูกหลานจีนแท้ๆ พูดกันไม่ได้เลย อันนี้เองจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ไหงต้องพยายามฝึกฝนภาษาจีนให้มากๆยิ่งขึ้น

                        ที่ไหงชอบไปเมืองจีนบ่อยๆเพราะต้องการฝึกภาษาจีนให้มากมาก จนครั้งหลังๆคนจีนชอบชมไหงว่าพูดภาษาจีนสำเนียงดีมาก (ในฐานะที่เป็นคนไทยพูดจีนนะ ) ขนาดมัคคุเทศยังถามไหงว่าไหงเคยมาเรียนภาษาจีนกลางมี่เมืองจีนหรือเปล่า ( ไหงไม่เคยเรียนภาษาจีนแบบเป็นทางการเลย เรียนด้วยตัวเองตลอด )

                        ตอนไหงเริ่งสนใจเรียนภาษาจีนใหม่ๆ ประมาณปี 2537 พอดีได้ครูดี กี่บอกว่าวิธีการพูดภาษาจีนให้ได้สำเนียงดีต้องรู้จักการพูดแบบดัดจริต สำเนียงถึงจะดี ประกอบกับไหงชอบดู cctv บ่อยๆ

                         ไหงจึงขอให้ชิงชิงฝีกภาษาจีนบ่อยๆ พูดบ่อยๆ พยายามคุยในครอบครัวด้วยภาษาจีนกลางบ่อยๆ พอได้ใช้บ่อยๆก็จะจำได้เอง ถ้าไม่ค่อยได้ใช้เดี๋ยวก็ลืม  ไหงมีหลานรักที่เคยไปเรียนภาษาจีนที่เซี่ยงไฮ้ ถ้าคุยกันก็จะคุยภาษาจีนกันตลอดเป็นการฝึกฝน

                          สุดท้ายนี้ไหงจึงขอให้ชิงชิง ซึ่งมีปาปาที่มีความเป็นปราชญ์ สูง นำพาชิงชิงสู่วัฒนธรรมอันสูงส่งของคนฮากกาคือการศึกษาหาความรู้สืบต่อไป

รูปภาพของ อาคม

ฟ้อนเหงียง ฟ้อนเหงียง แซ่อาม้อย

สวัสดีหลาน ชิงชิง เสียดายวันก่อนอาปักไม่ได้เจอ ชิงชิง เจอแต่น้องหยก และได้ให้หนังสือกับน้องหยกไว้เล่มหนึ่งแบ่งกันอ่านน่ะ
รูปภาพของ ชิงชิง

หนูได้รับหนังสือแล้วค่ะ

สวัสดีค่ะ   อาปักอาคมหนูได้รับหนังสือแล้วค่ะตอนนี้หนูกำลังอ่านอยู่แต่ยังไม่จบเล่ม

ก็ขอขอบคุณด้วยค่ะที่ซื้อมาให้หนูอ่าน

ขอบคุณค่ะ

 

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

สวัสดีจ้ะ หนูชิงชิง

ยินดีต้อนรับสมาชิกตัวน้อยๆ ของชุมชนเรา ขอให้หนูตั้งใจเรียนหนังสือ เป็นเด็กดี เชื่อฟังป่าป๊า หม่าม้านะครับSmile

รูปภาพของ ชิงชิง

หนูจะตั้ง

หนูจะตั้งใจเรียนหนังสือแล้วก็จะเชื่อฟังป่าป๊าปม่าป๊าค่า
รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

สวัสดีนู๋น้อย...ชิง ชิง

ยินดีต้อนรับนักเรียนตัวน้อยๆๆแบบ ชิง ชิง  เก่งมากที่โพสได้แบบนี้...พวกเรายินดีต้อนรับด้วยความเต็มใจ  และจะคอยชมผลงานที่ครอบครัวนู๋  นำมาให้พวกเราได้รับความรู้ต่อไป 

รูปภาพของ ชิงชิง

เขียนคำว่านู๋ผิดค่ะ

                                                   หนี่ห่าวค่ะ   เขียนคำว่านู๋ผิดหรือตั้งใตเขียนตามภาษาของวัยรุ่นไทยคะ               

            ขอบคุณที่เขียนให้หนูนะคะ(ข้างบนน่ะค่ะ)

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ภาษาการ์ตูน...แบบเด็กๆๆนะชิง ชิง

นู๋..ที่นิยมเขียนกัน   เป็นภาษาที่ดูเหมือนจะเก๋ไก๋...เหมาะกับการ์ตูนยุคเจนเนอร์

เรชั่นแบบหนู....ชิง ชิงเป็นเด็กเก่ง  และผู้ใหญ่เอ็นดู  จึงเปรียบภาษาให้สั้นและกัน

เองเป็น นู๋.....นิยมมากในปัจจุบัน.....

รูปภาพของ ชิงชิง

ช่ายค่ะ

คำว่า นู๋ นิยมมากในปัจจุบันทั้งในภาษาของวัยรุ่น  และดังที่อากูกล่าวมาค่ะ
รูปภาพของ มงคล

ภาษาแชท

ก็จริงที่ว่า วัยรุ่นปัจจุบันชอบใช้การสะกดอักษรที่สั้น หรือละบางอักษรไปไม่น้อย  และบางคำก็ใช้การลากเสียงให้ยาวขึ้น เช่น
หนู - นู๋
ใช่ - ช่าย
รู้ - รุ
ครับ - คับ , คร๊าบ..
คะ , ขา , ค่ะ - ค๊ะ , คระ , ฆะ , ขร่ะ , ฆร่ะ , ขรา
กว่า - กั่ว
กลุ้ม - กุ้ม
เดี๋ยว - เด๋ว
โกรธ - โกด
แล้ว - แร้ว
เปล่า - ป่าว, ป่ะ
ก็ -  ก้ ,ก้อ

อย่าว่าแต่ไทยเลย ฝรั่งก็มี (บางคำก็พอเข้าใจ บางคำฝรั่งก็อึ่ง) เช่น
ReHi - Hello Again
C - See
CU - See You/Ya
CUL8R - See You/Ya Later
CYA - See You/Ya
Y - Wh
AS - Age/Sex
ASL - Age/Sex/Location
ATM - At The Moment

ดังนั้น ในบางโอกาสที่จะใช้ภาษาแช็ท เพื่อสื่ออารมณ์ตามภาษาพูด หรือบางตัวก็สะดวกในการพิมพ์ย่อ จึงเป็นที่นิยมใน  Chat room หรือเจตนาจะสื่อเลียนภาษาพูดก็ใช้ได้ น่ารักสมวัย

แต่ข้อสำคัญ อย่าลืมที่จะรู้ว่า ตัวที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เพื่อเวลาที่ต้องการเขียนภาษาสื่อสารที่เป็นทางการ เขียนบทความให้ดูน่าชื่อถือ  แล้วใช้ภาษาที่ถูกต้องจะงามกว่า ถ้าใช้เผลอหลุดใช้ภาษาที่เคยเขียนเล่น ไปในเขียนจดหมายสมัครงาน แล้วผู้พิจารณาบางคนเขาไม่คิดว่าเป็นเพื่อนเล่น ก็คงเข้าใจผลตอบรับ แล้วมองคุณค่าของเราผิดไปจากตัวจริงที่ไม่ได้เจตนา เพราะการใช้ภาษา คือ หน้าตาอย่างหนึ่งของบุคคล ที่ไม่เคยพบปะกัน

ดังนั้น คิดว่าถ้าเราฝึกให้เขียนตัวที่ถูกต้องให้เคยชิน ผิดเพี้ยนให้น้อยที่สุดก่อน แล้วเวลาใช้งาน เราก็จะได้เปรียบคนอื่น ที่สามารถเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับกาลเทศะได้ดีกว่าคนที่รู้แต่ภาษาแสลงเท่านั้น  และถ้าภาษาแข็งแรงแล้วก็จะช่วยให้ไม่สับสนในการใช้งาน

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

ขอแจม ภาษาแชท

หุ หุ, คริ คริ (เสียงหัวเราะ)Laughing

ภาษาจีน

八八六 (ปาปาลิ่้ว - จีนกลาง) - 拜拜 (ไป้ไป้ แปลว่า บ๊าย บาย).

รูปภาพของ ชิงชิง

ขอบคุณที่เขียนภาษาจีนมาให้นะคะ

ขอบคุณที่เขียนภาษาจีนมาให้นะคะ
รูปภาพของ ชิงชิง

ช่ายค่ะ

                   อันนี้เห็นด้วยนะคะ
รูปภาพของ YupSinFa

มังกรสอนลูก

                  ชิงชิง ป่าป๊า เคยมีหนังสือรวมนิทานจีนอยู่เรื่องหนึ่ง เป็นหนังสือที่ดีมาก ๆ รวบรวมนิทานเกี่ยวกับ เรื่องราวของครอบครัวชาวจีน ที่สอนลูกหลาน ให้เป็นคนดี โดยผ่านการเล่าผ่านนิทาน น่าเสียดาย ที่หนังสือหายไป ไม่เป็นไร ป่าป้าจะพยายามหาซื้อเข้ามาใหม่ คงจะพบเจอสักวันหนึ่ง

                 ตามที่เราได้ตกลงกันว่า นอกเหนือจากที่ป่าป๊าถ่ายทอดความเป็นจีนโดยคำพูดระหว่างเราสองคน ภายในบ้านแล้ว เราตกลงกันว่า ป่าป๊า จะเขียนให้ลูกอ่าน ผ่านทางชุมชนของเรา เพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ ต่อเด็ก ๆ เยาวชนฮากการุ่นราวคราวเดียวกันกับลูก ซึ่งต่อไปป๊าจะเชิญชวนให้บรรดาลูกหลานของ อาปัก อาเม ทั้งหลาย ที่น่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลูก เข้ามาเป็นสมาชิกกันให้มาก ๆ แล้วพวกหนู ก็จะได้จับกลุ่มกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เป็นการหาความรู้รอบตัว ในเรื่องจีน ซึ่งมีมากมายมหาศาลไม่รู้จักจบสิ้น เหมือนเราว่ายวนอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แทนที่จะใช้เวลาว่าง นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน เล่นเกมส์ไปวัน ๆ

               วันนี้ป่าป๊า ขอเกริ่นเกี่ยวกับความเป็นจีน โดยจะพยายาม ให้ลูก อ่าน แล้วเข้าใจ โดยไม่ยาก เอาเป็นว่า เรามาเริ่มต้นกับการเริ่มของชนชาติจีน มาจนถึงยุคปัจจุบัน กันอย่างคร่าว ๆ ก็แล้วกันนะ

               ประวัติศาสตร์จีน และ อารยธรรมจีน โบราณ ย้อนหลังไปได้ ตั้งแต่ 5,000 ปีลงมา แรกเริ่ม เป็นตำนาน คือราชวงศ์เซี่ย ต่อมา ก็เป็นยุค อาณาจักร ซึ่งจีน ประกอบไปด้วยอาณาจักรต่าง ๆ เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อกัน แต่ละอาณาจักร ก็มี วัฒนธรรม ภาษาเขียน ภาษาพูดเป็นของตนเอง ยุค อาณาจักร นี้ แบ่ง ออกเป็น 2 ยุค คือ 1. ยุคชุน-ชิว หมายถึง ยุค ฤดูใบไม้ผลิ กับ ยุค ฤดูใบไม้ร่วง รายละเอียดเป็นอย่างไร หนูไม่ต้องใส่ใจ เพราะมันเกินกว่าที่หนูจะรับทราบได้ ต่อมาคือ 2. ยุคจ้านกว๋อ(เป็นภาษาจีนกลาง) แปลว่า ยุครณรัฐ-หมายถึงสงครามระหว่างรัฐ คือรัฐต่าง ๆ ล้วนต่อสู้รบกัน ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ จนกระทั่ง ฉินอิ๋งเจิ้ง เจ้าผู้ครองรัฐ ฉิน ได้ทำสงครามชนะทุกรัฐ แล้วรวบรวมทุก ๆ รัฐ รวมเป็นอาณาจักร จงกว๋อ อันยิ่งใหญ คำว่า "จงกว๋อ" หมายถึงศูนย์กลางอาณาจักรแห่งโลกใบนี้ (จงแปลว่า กลาง กว๋อ แปลว่า รัฐหรือประเทศ) ฉินอิ๋งเจิ้ง จึงปราบดาภิเษก ตั้งตัวเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งอาณาจักรจงกว๋อ ถือเป็นราชวงศ์แรก ของจีน ที่เป็นปึกแผ่น มีชื่อว่า ฉินสื่อหวงตี้ หรือจิ๋นซีฮ่องเต้ในภาษาแต้จิ๋ว เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงฉิน

                     ในอดีต ประวัติศาสตร์จีน ระบุว่า ฉินสื่อหวงตี้ เป็นจอมทรราชย์ (นักปกครองที่ไม่ดี-กดขี่ข่มเหง-ใช้อำนาจ) เป็นเผด็จการ คือมีการ ก่อสร้างกำแพงเมืองจีน หรือกำแพงหมื่นลี้ที่ยังคงตระหง่านอยู่จนถึงปัจจุบัน โดยใช้แรงงานคนนับหมื่นนับแสนและล้มตายจากการสร้างกำแพงหมื่นลี้นี้เป็นจำนวนมาก ฉินสื่อหวงตี้ ยังสั่งให้ ประหาร นักปราชญ์ ที่มีความเห็นขัดแย้งกับตนเอง และสั่งเผาตำราต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาของแต่ละรัฐ ให้หมด แล้วบังคับให้ใช้ตัวอักษรของรัฐฉิน เป็นตัวอักษรของจีน ที่มีวิวัฒนธนาการใช้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

                    ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์จีน ได้ชำระแล้ว ว่า ฉินสื่อหวงตี้ เป็นปฐมกษัตรย์แห่งราชวงค์แรกของจีนที่เป็นปึกแผ่นเป็นครั้งแรก ที่เป็นจอมกษัตริย์ สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงให้กับประชาชาติจีน เพราะไม่เช่นนั้น ประเทศจีน ก็คงจะเหมือนกับ ทวีปยุโรปในทุกวันนี้ ที่มีคนฝรั่งหน้าตาเหมือนกัน แทบจะแยกชาติไม่ออกว่าเป็นคนประเทศไหน ใช้อักษรโรมันเหมือนกันแต่ภาษาพูดไม่เหมือนกัน และแบ่งออกเป็นมากมายหลายประเทศ สรุปว่า หากไม่มีฉินสื่อหวงตี้ ก็ไม่มีประเทศจีน ที่เป็นปึกแผ่นอย่างทุกวันนี้ นับว่าเป็นบุญ ของประชาชาติจีน

                    เมื่อ 20 กว่าปีก่อน นอกเมือง ซีอาน ในมณฑลส่านซี ชาวนาจีนคนหนึ่งกำลังขุดดินเพื่อเพาะปลูก ได้ขุดพบหุ่นทหาร ที่มีความสมบูรณ์มาก จึงแจ้งต่อทางราชการ ได้ส่งนักธรณีวิทยา นักโบราณคดี และอื่น ๆ มาช่วยกันขุดค้น ผลปรากฏว่า ในใต้ผืนแผ่นดินนี้ กินพื้นที่ประมาณ นับหลายพันตารางเมตร พบหุ่นดินปั้นมากมายหลายร้อยหลายพันตัว อย่างสมบูรณ์มากที่สุด โดยเฉพาะ หุ่นทุกตัว มีใบหน้าไม่เหมือนกันเลยแม้แต่ตัวเดียว บางหุ่น ยังขี่ม้าศึกด้วย นอกเหนือจากหุ่นเหล่านี้ ยังพบโบราณวัตถุอันล้ำค่าหาประมาณราคาไม่ได้ คือ รถม้าทองคำทั้งคัน ในสภาพสมบูรณ์ 100% และวัตถุโบราณอีกมากมายหลายชิ้น จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สถานที่แห่งนี้ ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับที่มีความสำคัญมาก ๆ ของจีน

                    จากวิวัฒธนาการอันทันสมัยในปัจจุบันนี้ ทำให้ ประเทศจีน พอจะทราบแล้วว่า จุดฝังพระศพ ของฉินสื่อหวงตี้ อยู่ตรงจุดไหน ด้วยการถ่ายภาพทางดาวเทียม แต่บัดนี้ ทางรัฐบาลจีน ก็ยังมิได้ตัดสินใจขุดเข้าไปภายในบริเวณสุสานดังกล่าว เหตุผลคือ 1.เมื่อขุดเข้าไปพบสุสานหรือจุดฝังพระศพแล้ว โบราณวัติถุชิ้นสำคัญ ๆ ที่ถูกเก็บไว้ในใต้ดินมานานกว่า 3 พันกว่าปี จะเสื่อมสภาพจากการกระทบกับอากาศภายนอก จึงต้องยังคงค้นคิดหาวิธีป้องกัน กันอยู่ ไม่รู้ว่า ในช่วงชีวิตของเรา จะได้เห็นการขุดค้นที่ฝังพระศพของฉินสือหวงตี้ ได้หรือไม่ อีกอย่างคือ 2.เป็นที่ทราบกันดี และเกรงกันว่า ภายใต้หลุมศพของฉินสื่อหวงตี้ เต็มไปด้วยค่ายกล (ย้ำ-ค่ายกลจริง ๆ เหมือนกับที่เราดูในหนังจีน ค่ายกลนี้ยังพอป้องกันได้ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือ สารปรอท อันเป็นสารพิษที่มีความเป็นอันตรายต่อมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อนักโบราณคดี ขุดค้นเข้าไป ได้สัมผัสกับสารปรอท ที่มีอยู่รายรอบที่ฝังศพ เสมือนคูเมืองล้อมลอบกำแพงเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน ใครก็ตาม ที่เจอกับสารปรอท ก็จะต้องเดี้ยงทันที มะเร็งรับประทานลูกเดียว สารปรอท คือสารทางเคมีชนิดหนึ่ง ที่มีความคงอยู่ได้ชั่วกับชั่วกัลป์ เป็นของเหลวสีเงิน ถ้านึกไม่ออก ก็ลองนึกภาพค่ายกลในหนังจีนดูนะ

                  ขอเชิญชวนไท้ก๋าหยิ่น ที่มีลูกชายลูกสาว อายุ 12 ปีขึ้นไป หรือ ป.6 ถึง ม.3 ม.6 ให้เข้ามาเป็นสมาชิก ในกลุ่ม เชียงเหงียน เพื่อที่จะได้สัมผัสความเป็นจีน ความเป็นฮากการ่วมด้วยช่วยกันสอนบุตรหลานของเรา ให้ซึมซับถึงความเป็นฮากกาอันภาคภูมิใจ

              

รูปภาพของ ชิงชิง

ถามหน่อยป๊า

ป๊าทำไมรอบหลุมพระศพถึงต้องมีค่ายกลด้วยแล้วอีกอย่างพระศพที่ฝังไว้ใต้ดินก็มีเวลาสามพันกว่าปีแล้วพระศพไม่เน่าเหรอแล้วทำไมต้องใส่สารปรอทรอบพระศพด้วย

 

เงา เหงา เคี่ยง เคี่ยง

ขอให้หนู ชิง ชิง ทุกซู้เคี่ยงเคี่ยง เป็นที่รักของ ป่า ป๊า,หม่า ม้า ล่อโหม้ยคุณครูและเพื่อนๆด้วย ขอให้หนูทำเกรด 4 ได้ทุกวิชาเลยก็พอเนาะ...ภูมิใจในตัวหนูมาก  
รูปภาพของ ชิงชิง

ขอขอบคุณ คุณแจวขิ้นสุ้ย

ขอคุณค่ะที่อวยพรให้หนูค่ะหนูก็ได้4ทุกวิชานะคะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

รูปภาพของ วี่ฟัด

ไหงว๊าปุ้นหงี่ท่องชิงชิง

                        คนเราต้องสนใจและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ให้มากๆ เพราะประวัติศาสตร์ คือวิชาที่ทำให้เรารู้ความเป็นไปเป็นมาของสังคมมนุษย์นับตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เพื่อนำมาใคร่ครวญว่า เราจะไม่ทำความชั่วความเลว ซ้ำเติมสังคมมนุษย์ เหมือนกับในอดีต ตรงกันข้ามเราจะต้องแสวงหาฮีโร่ ผู้ทำความดีที่ช่วยผดุงสังคมมนุษย์ในอดีตมาเป็นแบบอย่าง

                        ถ้าเราไม่สนใจศึกษาประวิตติศาสตร์ เราจะเค้วงเลย จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้แบบอย่างความดีความชั่วของสังคมมนุษย์ในอดีต

                        สังคมไทยโดยเฉพาะคนไทยด้วยแล้วน้อยคนที่จะสนใจในประวัตติศาสตร์  จึงมักจะมีคนที่ไม่ค่อยรู้จักผิดชอบชั่วดี ( เค้วง ) เป็นมิจฉาฐิตถิอย่างแรง ลองคิดดูซิว่าถ้าคนในสังคมจำนวนมากพอสมควรที่มีแนวคิว่า " โกงได้ใครเข้ามาก็โกงหมดละ " โกงได้ขอให้มีผลงาน " แล้วอย่างนี้เราจะไปหวังอะไรกับสังคมไทยอีก

                          ไม่รู้เรื่องประวัตติศาสตร์ ไม่สนใจ ไม่เรียนรู้ เอาแต่ตัวรอดไปวันๆ ไม่ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น สังคมไทยจึงน่าจะเอวังในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน

รูปภาพของ วี่ฟัด

ไหงว๊าปุ้นหงีท่องชิงชิง # 2

                       ว่าด้วยการศึกษาประวัตติศาสตร์ ( ต่อ ) ไหงสนใจประวัตติศาสตร์มานานตั้งแต่เด็กๆ ติดตามอ่านนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นวารสารประวัติศาสตร์เล่มเดียวของไทยมาตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน ( กว่า 30 ปี แล้ว ) และเห็นว่าประวัติศาสตร์คือความจำเป็นของชีวิตไม่แพ้สาขาวิชาอื่นๆ เช่นวิทยาศาสตร์ ฯลฯ

                       ในสมัยก่อนเราจะมีเรียนวิชาประวัติศาสตร์ในระดับชั้นประถมถึงมัธยม แต่ปัจจุบันว่าสิ่งเหล่านี้กลับลดน้อยลงมากจนเหมือนกับว่าไม่มีเลย การศึกษาเล่าเรียนในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสนใจในประวัตติศาสตร์ เลยขอบอก

                       ถ้าเปรียบเทียบระหว่างคนไทยกับคนจีนที่ไหงสัมผัส คนจีนจะเป็นคนที่รู้ประวัติศาสตร์ของตนมากว่าคนไทยอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย คนจีนแม้จะเป็นคนที่มีอาชีพที่มีความรู้น้อย แต่เขาก็รู้จักประวัติศาสตร์กันอย่างดี คนขายของธรรมดาก็สามารถคุยประวัติศาสตร์จีนได้อย่างสนุกสนาน

                       หรือถ้าจะถามคนจีนรุ่นที่มีอายุสักประมาณ 20 ปีเศษๆว่ารู้จักจีนเรื่องการปฎิวัติวัฒนธรรมหรือในยุคจีนใหม่หรือไม่ เขารู้จักเป็นอย่างดี หรือจะถามแบบฮากกา ( หมอยแย้น ) นิยมอย่างที่ไหงชอบถามว่า หนี่รู้จัก " เย่เจี้ยนอิง " หรือไม่ ไหงจะบอกด้วยความภาคภูมิใจว่าสำหรับชาวฮากกาว่า " ทุกคนรู้จัก " ที่ไหงถามคนจีนในประเทศจีนมาไม่เคยไม่มีใครรู้จัก นี่เป็นเพราะคนจีนเขาสนใจประวัติศาสตร์ เขารับรู้ความสำคัญของประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์จึงสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศจีนอย่างคาดไม่ถึง เพราะคนเข้าใจในความเป็นมาและจะเป็นไปด้วยความมั่นคงชั่วนิจนิรันดร์ ( หยงหย่วน )

                     ตอนนี้เรามาพูดถึงคนไทยกับประวัติศาสตร์บ้าง คนไทยไม่สนใจประวัติศาสตร์ แต่ไหงจะขอพูดอย่างชัดเจนว่าว่า คนไทยเพิกเฉยต่อประวัติศาสตร์ ไม่ให้ความสำคัญ และคิดว่า ไม่จำเป็น เรื่องการกินการอยู่สำคัญกว่า ดังนั้นเมื่อคนไทยเชื่อว่าเรื่องการกินการอยู่สำคัญกว่าที่จะไปรับรู้เรื่องอื่นๆอีกให้รกสมอง ทุกคนจึงดำรงค์ชีวิตอยู่เพียงเพื่อให้ตัวเองเอาตัวรอด ครอบครัวรอดเท่านั้น ไม่คิดถึงสังคมส่วนรวมก็คือประเทศชาติ ดังนั้นเมื่อคนไทยทุกคนมีความเชื่อว่าเอาแค่ตัวเองรอดก็เพียงพอแล้ว สังคมไทยจึงมีลักษณะตัวใครตัวมัน คนไทยจึงถูกหลอกจากผู้ไม่หวังดีได้ง่ายเพราะคนไทยอ่อนแอ ไม่ยอมพึ่งตนเอง และมิได้สร้างปัญญาจากการศึกษาประวัติศาสตร์มาปกป้องคุ้มกันตัวและโดยส่วนรวมซึ่งก็หมายถึงชาตินั่นเอง

                    ประวัติศาสตร์คือวิชาว่าด้วยเรื่องราวในอดีตที่มาสอนคนในปัจจุบัน ว่าเราจะไม่กระทำความผิด ความชั่ว ให้ซ้ำรอยเหมือนในอดีตอีกจึงเป็นความจำเป็นที่ทุกคน ( เน้น-ทุกคน ) จะต้องเรียนรู้ เชื่อใหมว่าเมื่อมีคนรู้ว่าผมชอบศึกษาประวัติศาสตร์ มีคนไทย ( เน้น - คนไทย ) ที่มีความรู้ระดับปริญญาตรีมาถามผมว่า " ชอบอ่านประวัติศาสตร์เพื่อมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นหรือ " ผมอึ้ง ( กิมกี่ - ร้านทำผ้าเบรก ) เลยว่า คนไทยดูถูกวิชาประวัติศาสตร์เพียงนี้เชียวหรือ ผมจึงมองไม่เห็นอนาคตต่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของคนไทยไทย เพื่อหวังจะนำประวัติศาสตร์มาสร้างความแข็งแกร่งให้ทั้งตนเองและประเทศชาติ ...ไม่เห็นอนาคตแล้วจริง..จริงครับผม

รูปภาพของ ชิงชิง

เห็นด้วยกับวี่ฟัดปักมากกกกกกกกกค่ะ

หนูเห็นด้วยกับที่วี่ฟัดปักพูดค่ะเพราะหนูเห็นว่าคนไทยสมัยนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจ

เรื่องประวัติศาสตร์เลยเห็นมีแต่คนที่เขาสนใจแต่เรื่องการกินการอยู่เท่านั้นหนูก็ขอสนับสนุ่น

ให้คนไทยหันมาสนใจเรื่องประวัติศาสตร์บ้างค่ะ

รูปภาพของ YupSinFa

วี่ฟัดโก-ถูกต้องนะคร๊าบบบบบบ.....

                    ความคิดและทัศนคติ ของ วี่ฟัด โก คล้ายและเหมือนกันกับไหง หลายอย่าง ไหง เป็นคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ เป็นอย่างยิ่ง ทั้งประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์อเมริกา ประวัติศาสตร์ยุโรป และประวัติศาสตร์ไทย ขอเห็นด้วยกับวี่ฟัดโกว่า คนไทย หรือเด็กไทย ตั้งแต่อายุ 40 ปีลงมา(หมายถึงผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีนะ) มีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยน้อยมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ไหงคิดมานานแล้วว่า ประเทศไทย ขาดผู้นำที่ดีมาก ๆ ที่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของความเป็นชาตินิยม หรือ อย่างน้อย รัฐมนตรีศึกษาของไทย ที่ผ่านมา ในรอบ 10 ปีมานี้ ไม่ได้เรื่องเลยสักคน คนไทย เป็นชาติที่ไม่มีความเป็นชาตินิยม เหมือนกับ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ใกล้ที่สุดคือ เวียตนาม แม้แต่ลาว ไหงยังรู้สึกว่า เขารู้ประวัติศาสตร์ของเขา มากกว่าคนไทย

                 อีกประเด็นหนึ่ง เกี่ยวกับคนจีน เขาจะรู้ประวัติศาสตร์จีนของเขา อย่างดีและเข้าใจกัน เกือบทุกคนในจำนวน 1,200 ล้านกว่าคน ไม่ว่า เด็กวัยรุ่น หรือ คนแก่ที่ไม่ได้ผ่านการศึกษาจากโรงเรียน ไหงมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของคนจีนเช่นเดียวกับวี่ฟัดโก เพราะ ประเทศจีน เป็นต้นกำเนิดอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ โบราณ เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวจีน และประเทศจีนเช่นกัน ที่มีประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสมาหลายยุค หลายช่วง โดยเฉพาะ ช่วงโค่นล้มราชวงศ์ชิงได้ เข้าสู่ยุคขุนศึก เข้าสู่ยุคการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งโหดเหี้ยมอำมหิตไร้มนุษยธรรม เกินกว่าที่คนสามัญธรรมดาในโลกนี้ จะสามารถกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันได้ ผ่านสงครามจีน-ญี่ปุ่น ก็กลับมาถึงสงครามกลางเมืองอีก คอมมิวนิสต์ชนะกว๋อหมินต่าง สถาปนาจีนใหม่ ไปได้ 30 ปี ก็เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรม อันเลวร้ายขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้ เป็นความรู้สึก เป็นรอยแผล เป็นความทรงจำอันเจ็บปวด ของคนจีนในปัจจุบัน ที่มีอายุ 90 ปีลงมาถึงวัยรุ่น

                แต่ในปัจจุบัน ประเทศจีน ถือว่า ได้พ้นกรรมของประเทศแล้ว ได้เข้าสู่ยุคของความเจริญ การพัฒนาประเทศที่สำเร็จเรียบร้อย กลายเป็นมหาอำนาจ กลายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี สิ่งเหล่านี้ ประเทศจีนที่มีวันนี้ได้ นับว่าเป็น การทำงาน ของ รัฐบุรุษ มหาบุรุษ (ในมุมมองของไหง) อยู่ 4 ท่านนี้ ได้แก่ ท่านโจวเอินไหล ท่านหลิวส้าวฉี (สองท่านนี้ ไหงยืนยันว่า เป็นผู้คิดค้นสูตรการพัฒนาประเทศ สี่ทันสมัย ที่เติ้งเสี่ยวผิงรับมาปฏิบัติจนสำเร็จ-ด้วยการรู้กันระหว่าง ทั้งสองท่าน กับ เติ้งเสี่ยวผิง โดยที่ไม่ได้แพร่งพรายให้คนอื่นรู้ แม้แต่เหมาจู่สี ก็ยังไม่รู้เรื่อง จุดนี้เองที่เป็นจุดจบของ ท่าน หลิวส้าวฉี ประธานาธิบดีของประเทศ ที่ถูกกลุ่มเยาวชนเรดการ์ด รุมทำร้ายและทรมาณ ทั้ง ๆ ที่ท่านยังอยู่ในตำแหน่ง จนกระทั่งเสียชีวิตทั้งสามี-ภรรยาคือท่าน หวางกวางเหม่ย หลิวส้าวฉี ถูกใส่ข้อหา เป็นผู้มีแนวความคิดตามแนวทางทุนนิยม หมายเลข 1 ส่วนเติ้งเสี่ยวผิง เป็นผู้ที่มีแนวความคิดตามแนวทางทุนนิยม หมายเลข 2 แต่นับว่าเป็นบุญของประเทศจีน ที่ทำให้ เติ้งเสี่ยวผิง หลุดรอดมาได้ เป็นแมว 9 ชีวิต) อีก 2 ท่านคือ 3. ท่าน จอมพลยับเกี้ยนยิน ของพวกเรา ซึ่งท่านผู้นี้ ได้รับการฝากฝัง จากท่านโจวจ๋งหลี่ ก่อนที่ท่านจะอสัญญกรรม ให้ปราบแก๊งสี่คน และฝากฝังเติ้งเสี่ยวผิง และท่านก็สามารถทำได้สำเร็จ ส่งผลให้ 4. ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ได้ผงาดขึ้นมาบริหารประเทศ เป็นผู้นำสูงสุดของจีน (ในด้านพฤตินัย) ได้มีโอกาสเอาแผนงานนโยบาย 4 ทันสมัย ที่แอบคิดค้นกัน ระหว่าง ท่านโจว ท่านหลิว และท่านเติ้ง เอามาทำจนประสบผลสำเร็จ อย่างที่เราเห็นเป็นประเทศจีนจนกระทั่งทุกวันนี้

                  ความสามารถของเติ้งเสี่ยวผิง เป็นที่ยอมรับกันในระหว่างแกนนำผู้เริ่มก่อตั้งประเทศ บรรดาผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์กัน ทุก ๆ คน ตั้งแต่ประธานเหมาลงมา แม้ว่า ในระดับรุ่นแรก ของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน เติ้งเสี่ยวผิง จะมีอายุน้อยที่สุด แต่ความสามารถของเติ้ง ได้เข้าตาแกนนำทุกคน อย่างมิต้องสงสัย รวมถึงไว้เนื้อเชื่อใจว่า บุคคลคนนี้ จะสามารถนำประเทศจีน ไปสู่ความเจริญได้ หลังจากสิ้น เหมาจู่สี กับ โจวจ๋งหลี่ ท่านเติ้ง จึงนับว่า เป็นทายาทของท่านโจวจ๋งหลี่ กับท่านหลิวส้าวฉี อย่างแท้จริง (เหมาเจ๋อตงถึงแม้จะยอมรับในความสามารถของเติ้ง แต่เหมายังมีความระแวงเติ้ง ในระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรม)

                ขอเปรียบเทียบเหตุการณ์ของไทยเราในขณะนี้ กับกรณีเทียนอันเหมิน ในปี พ.ศ.2533 ที่เกิดเหตุการณ์คนรุ่นใหม่มารวมตัวกันที่จตุรัสเทียนอันเหมิน เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย มากันทีละกลุ่ม ๆ จนกระทั่งเต็มลานจตุรัสเทียนอันเหมินอยู่ราว ๆ สองแสนคน ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการปฏิวัติวัฒนธรรมอันเลวร้าย ไม่อาจสามารถควบคุมได้ เหมือนกับเยาวชนเรดการ์ด อีกทั้งการบริหารประเทศแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตามแบบคอมมิวนิสต์ ทำให้เติ้งเสี่ยวผิง ตัดสินใจ ปิดประเทศ 2 วัน 48 ชั่วโมง สั่งให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน เข้าสลายการชุมนุม กวาดล้างผู้ชุมนุมออกไปจนหมดจตุรัสเทียนอันเหมิน แล้วในวันที่ 3 เทียนอันเหมินก็ว่างปล่าว เข้าสู่ภาวะปกติดังเดิมเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น ต่างชาติ โดยเฉพาะอเมริกาได้แต่ด่าด่า และมองตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้ เพราะจีนบอกว่า ใครอย่ามายุ่งข้า เป็นกิจการภายในของประเทศจีน

                 ไหงนับถือเติ้งเสี่ยวผิงจริง ๆ ที่มีความสำเร็จเด็ดขาด เพราะไม่เช่นนั้น ประเทศจีนอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเห็นดังเช่นทุกวันนี้ ถ้าการเรียกร้องประชาธิปไตย ลามออกไปตามแต่ละมณฑล อะไรจะเกิดขึ้น??? จีนอาจจะแตก เป็นประเทศต่าง ๆ เหมือนยุโรปก็เป็นได้ ดังนี้น ด้วยความสำเร็จเด็ดขาดและรวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ คนสองแสนคน ก็อันตรธานหายไป (ส่วนจะไปอยู่ไหนนั้น ทุกท่านคงละไว้ในฐานที่เข้าใจ) คนสองแสนคน แลกกับ คน 1,100 ล้านคนในสมัยนั้น แลกกับความมั่นคงของชาติ แลกกับความรักชาติ ก็นับว่า เป็นเปอร์เซ็นต์ความเสียหายแค่เล็กน้อย ไหงถือว่า เติ้ง คงไม่บาปหรอก ได้บุญมากกว่า ที่สามารถทำประเทศชาติมีความมั่นคงเจริญงดงามดังเช่นในปัจจุบันนี้  เหตูการณ์บ้านเรานี้ ถ้า สมัย คมช.หรือ นายกอภิสิทธิ์ในเวลานี้ ทำอย่างเติ้งเสี่ยวผิงในเวลานั้นบ้าง ตอนนี้ ก็คงไม่ต้องมานั่งเถียงกันเกี่ยงกันอย่างวุ่นวายขายปลาช่อนหรอกนะไท้กาหยิ่น???

รูปภาพของ YupSinFa

เชิญชวนไท้กาหยิ่นโน้มน้าวลูก ๆ รุ่นเชียงเหงียนเข้ามาเป็นสมาชิก

                      ในชุมชนของเรา สมาชิกแต่ละท่าน ล้วนมีครอบครัว สมาชิกส่วนใหญ่ เป็นวัยกลางคน ซึ่งกำลังมีลูก ๆ ที่อยู่ในวัย 10 กว่าขวบขึ้นไป จนถึง เกือบ 20 (ไหงเข้าใจว่าอย่างนี้) แต่ก็มีบางท่าน ที่เป็นโสด ก็อาจจะแนะนำหลาน ๆ ให้เข้ามาได้ ดังที่ไหง ได้ใช้ชิงชิง ลูกสาวคนโตของไหง่ ที่อายุ 12 ปี อยู่ชั้น ป.6 ให้เข้ามาอ่าน ข้อความที่บรรดา อาปัก อาสุก อากู อากุง แต่ละท่าน เขียน เรื่องราวของจีน และ ฮากกา เพื่อปลูกฝังให้เด็ก เกิดความภาคภูมิใจ ในเชื้อสายและชาติกำเนิดของตนเอง

                     ต่อไป เมื่อ มีกลุ่ม เชียงเหงียน รุ่น สิบกว่าขวบ และ ไม่เกิน ยี่สิบปี พวกเขา ก็จะรวมกลุ่มกันได้เอง โดยธรรมชาติ เหมือนกับที่พวกเรา ในวัยกลางคน รวม ๆ แล้ว เกือบสิบกว่าท่าน (รวมไหงด้วย)

                     อีกทั้ง ยังมีกลุ่มยังบลัด คือพวกน้อง ๆ ที่อยู่ในช่วงวัย 20 กว่า ถึง 30 กว่า ๆ เท่าที่ทราบ ก็มี หนูต้นกล้าคนนึงล่ะ ที่เป็นผู้นำอยู่ คุณท้ายแถวก็คนนึง ที่น่าจะเป็นคนหนุ่มอยู่ (เอ พักนี้คุณท้ายแถวหายไปไหนหนอ?-คิดถึงจังเลย) และอีกหลาย ๆ ท่าน ไหงเชื่อว่า กลุ่มคนหนุ่ม ยี่สิบสามสิบกว่านี้ เป็นสมาชิกกลุ่มที่มีมากที่สุดในชุมชน เพียงแต่ว่า ไม่ได้เข้ามาบ่อย ๆ เหมือนกับพวกเรา ที่เป็นกลุ่มวัยกลางคน

                    เชิญนะครับ เชิญชวนลูก ๆ ของพวกเรา ที่มีวัยดังกล่าว สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้แล้ว มาเป็นสมาชิก โน้มน้าวใจเขาให้เข้ามาอ่าน สืบเสาะหาความรู้ เกี่ยวกับจีน-เกี่ยวกับฮากกา ใครไม่รู้ สามารถถามได้ ใครอยากรู้ สามารถถามได้ อย่างนี้ดีไหมครับ.

รูปภาพของ YupSinFa

ตอบชิงชิงจากป่าป๊า

                       ป๊าขอตอบเป็น 2 ประเด็น ตามคำถามที่ลูกถามมา อยู่ 2 ส่วน คือ

         1.ลูกถามว่า ทำไม พระศพถึงไม่เน่า ลูกรู้ได้อย่างไร ว่าพระศพไม่เน่า ป๊าไม่ได้เขียนไว้สักหน่อยว่า พระศพของฉินสื่อหวงตี้ ไม่เน่า แต่ป๊าขอชมชิงชิงว่า เข้าใจคิดและสังเกตุ คงจะจินตนาการว่า พระศพในสุสาน เหมือนกับ มัมมี่ของอียิปต์ (ซึ่งมันก็ประมาณร่วมสมัยเดียวกันหรืออียิปต์นานกว่าสักพันปี)

               เกี่ยวกับพระศพของฉินสื่อหวงตี้ ที่ป่าป๊าบอกว่า ในขณะนี้ รัฐบาลจีน ทราบพิกัดหรือจุดที่แน่ใจแล้วว่า ใต้พื้นพิภพตรงจุดนั้น เป็นสุสานที่ตั้งพระศพ ของ ฉินสื่อหวงตี้ จนป่านนี้ ยังไม่ได้มีการขุดเข้าไปเพื่อค้นหา ที่ตั้งโลงพระศพ จึงไม่มีใครทราบได้ว่า พระศพของฉินสื่อหวงตี้ ในตอนนี้ ซึ่งนอนอยู่ภายใต้สุสานผ่านมากว่า 2,200 กว่าปีนิดหน่อย จะมีสภาพเป็นอย่างไร นี้เป็นสิ่งที่น่าคิด?  ป๊าสมมุติว่า ถ้าเราขุดจนพบโลงพระศพ แล้วเปิดดู ความน่าจะเป็นหรือความเป็นไปได้ ที่ พระศพของฉินสื่อหวงตี้ อาจจะไม่เน่า คือเหลือเพียงหนังแห้งติดกระดูก ความเป็นไปได้อันนี้ ถ้าคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ อาจจะเกิดจากการที่พระศพ ได้ถูกอาบน้ำยา หรือสมุนไพร บางอย่าง (คล้าย ๆ กับที่ อียิปต์ทำมัมมี่ เพื่อไม่ให้ศพของกษัตริย์เน่า) หรือพระศพ ถูกเก็บไว้ในสุสานใต้ดิน ที่มีอุณหภูมิต่ำ ไม่มีความชื้น ไม่มีความร้อน ไม่มีปฏิกิริยาเคมีใด ๆ จุลินทรีย์ จึงไม่สามารถทำลายร่างกายได้ตามธรรมชาติ อันนี้ก็คงจะทำให้ ศพ ไม่เน่า ได้.

ขออธิบายเพิ่มเติมให้เข้าใจอีกอย่างหนึ่งและจะได้เชื่อมโยงไปในคำตอบข้อที่ 2. คือ สุสานหรือที่ฝังโลงพระศพของฉินสื่อหวงตี้ ไม่ได้หมายความว่า ขุดดินลงไปลึก ๆ แล้วเอาโลงศพวางลงไปแล้วถมดิน ไม่ใช่อย่างนั้นนะลูก มา ลูกมาดูคำตอบในข้อ 2 กัน

              2.ฉินสื่อหวงตี้ เป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชอาณาจักรฉิน ที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยของพระองค์ท่าน ถึงแม้ว่า จะเป็นองค์ท่านเพียงรัชกาลเดียว ก็เปลี่ยนอาณาจักรกลายเป็นราชวงศ์ฮั่น ไป (อายุขออาณาจักรฉิน ประมาณ ยี่สิบกว่าปี) ฉินสื่อหวงตี้ ได้เตรียมให้ทหารและคนงานก่อสร้างสุสานให้กับตัวเองก่อนหน้าที่จะ สวรรคต ไว้นานหลายปี (แต่ขณะเดียวกัน ฉินสื่อหวงตี้กลัวตายมาก ได้สั่งให้ขุนนางเสาะหาสมุนไพรอายุวัฒนะ ที่ทำให้ไม่ตาย ไปทั่วทุกที่แต่ก็ไม่พบและไม่มีสมุนไพรที่ว่านี้ ทุกคนจึงฝืนความตายไปไม่ได้)

              ดังนั้น สุสานของฉินสื่อหวงตี้ จึงมีการเขียนภาพเสมือนจริง (ตามจินตนาการของนักโบราณคดี และใกล้เคียงกับความเป็นจริง ของยุคสมัยนั้น หรือแม้กระทั่งการขุดพบสุสานของฮ่องเต้ในยุคสมัย ต่อ ๆ มา) ว่า สุสานของฉินสื่อหวงตี้ จะต้องมีความยิ่งใหญ่อลังการ มีการตั้งค่ายกล ไว้ เพื่อป้องกันพวกหัวขโมยหรือนักล่าสมบัติเข้าไปขุดค้น เพราะมีสมบัติที่มีค่ามหาศาลได้ถูกฝังรวมไว้ ตามแนวคิดของชาวจีนเพื่อให้ฮ่องเต้(หรือแม้กระทั่งคนธรรมดา) ได้นำไปใช้ในสวรรค์ นอกจากนี้ยังไม่พอ พื้นที่ตั้ง ของสุสาน ยังต้องเก็บไว้เป็นความลับ ดังนั้น จึงต้องมีขุนนาง เหล่าขันที นางสนม นางกำนัล ได้ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ภายในสุสานด้วย(พยายามนึกภาพให้ออกนะว่า ตัวสุสานเหมือนห้องใต้ดินที่อยู่ลึกลงไป อันมีขนาดใหญ่มหึมา และมีมากมายหลายห้อง ลึกลับซับซ้อน คล้ายกับพระราชวัง ที่อยู่บนดิน

                 ทีนี้เมื่อ มีสิ่งล้ำค่าต่าง ๆ มากมายมหาศาล ที่อยู่ภายในสุสานแล้ว ก็จึงต้องมีค่ายกล (อันนี้เป็นจินตนาการและข้อสันนิษฐานของนักโบราณคดี-ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและเป็นไปได้) ดังนั้น ค่ายกล จึงเป็นเสมือนสิ่งประดิษฐ์ หรือภูมิปัญญาของคนในยุคสมัยนั้น (ให้นึกภาพของเล่นที่ไขลานได้ตอนลูกแกะเอาลานข้างในออกมาดู) นั่นแหละ ค่ายกลอาจจะใช้วิธีการของฟันเฟืองซึ่งถ้ามีใครไปเปิดออก สลัก ที่ล๊อคไว้ ก็จะถูก คาย แล้วฟันเฟืองหรือลาน ก็จะทำงาน ทำให้เกิด......(ห่ากระสุน ห่าธนู หรือ ดินถล่ม หรือหอกพุ่งแทง หรือกระแสธารของ สารปรอท ซึ่งเป็นของเหลว)..........นี้คือจินตนาการนะ ความเป็นจริง ยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้ ว่ามันจะเป็นอย่างไร   แต่ความจริง ที่นักวิทยาศาสตร์ และ นัก ธรณีวิทยา และนักโบราณคดี ในประเทศจีน ทราบดีว่า จุดที่เป็นที่ตั้ง ของสุสานฉินสื่อหวงตี้ ที่อยู่ภายใต้พื้นดินนั้น มีสารปรอทอย่างแน่นอน และไม่ใช่มีน้อย ๆ นะ มีอยู่ในปริมาณมหาศาล นี้เอง เป็นเหตุผลสำคัญประการแรก ที่รัฐบาลจีน ยังไม่กล้าตัดสินใจขุดสุสานของฉินสื่อหวงตี้ เพราะสารปรอทดิบ ๆ ถ้ามนุษย์เราได้สัมผัส ทางผิวหนัง และ ทางการหายใจ จะเป็นอันตรายมาก อีกเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลยังไม่กล้าขุด เพราะ กลัวว่า มหาสมบัติต่าง ๆ ซึ่งถูกฝัง มา สองพันสองร้อยกว่าปีเมื่อกระทบกับแสง และอากาศ จะเสื่อมโทรม ดังนี้น จึงต้องคิดค้น หาวิธี ป้องกัน ทั้งสองอย่าง

                ที่ป่าป๊า ตอบมานี้ เป็นคำตอบ ที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง บวกกับ ความเข้าใจของป่าป๊า และเป็นคำตอบ ที่ลูกสามารถนำไปใช้ประดับความรู้ได้ เกี่ยวกับสารปรอทนั้น เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน  ส่วนเรื่องค่ายกล เป็นจินตนาการของป่าป๊า ที่ยืมมาจากหนังจีนอีกต่อหนึ่งแต่หนังจีน ก็สร้าง บนพื้นฐานของความเป็นไปได้ ที่นักโบราณคดี สันนิษฐานไว้ เช่นกัน

               หวังว่าลูก คงจะเข้าใจแล้วนะ วันหลังมีอะไรสนุก ๆ จะเขียนให้อ่านอีก เอ้า!  เด็ก ๆ มีเรื่องสงสัยอะไรเกี่ยวกับจีน ถามสินฝ่าสุก ได้เน้อ...

หมายเหตุ-สุสานของฉินสื่อหวงตี้ ที่ขุดได้ตอนแรก ที่พบรถม้า และ หุ่นทหาร เท่าคนจริง นับร้อย ๆ ตัว นั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสุสานเท่านั้นนะลูก หาใช่ตัวสุสานที่แท้จริงไม่ ถ้าพูดไปเปรียบเสมือน กองทัพทหาร ที่เป็นฝ่ายหน้า คือทำหน้าที่เฝ้า ตัวสุสานที่แท้จริงยังไงละลูก...

รูปภาพของ YupSinFa

ฮยุ๋งโกครับขอความช่วยเหลือหน่อย

                หงี คงจะได้อ่านที่ไหงเขียนตอบชิงชิง เกี่ยวกับ สุสานฉินสื่อหวงตี้แล้วนะครับ ไหงขอรบกวนอาโก กรุณาหารูปภาพ ของ พิพิธภัณฑ์ หุ่นจำลอง ของสุสานฉินสื่อหวงตี้ใส่ให้หลานดูหน่อยได้ไหมครับ มีภาพของ โบราณวัตถุต่าง ๆ ด้วยนะครับ ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดคือ รถม้าจำลอง ทองสัมฤทธิ์ เท่าขนาดของจริง

               อาโกเก่งทางด้านนี้ กรุณาช่วยหน่อยนะครับ ตอเซี้ย-สินฝ่า

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

พิพิธภัณฑ์หุ่นจำลองของสุสานฉินสื่อหวงตี้

รูปภาพของ วี่ฟัด

ป้ายชื่อปิงหมาหย่ง เป็นลายมือของท่านจอมพลเย่เจี้ยนอิง

                    ตามประวัติท่านจอมพลเย่เจี้ยนอิงเป็นผู้ไปเปิดปออู๋กว่านนี้และได้ฝากลายมือไว้โดยเขียนชื่อปิงหมาหย่งนี้ไว้ด้วย

                     ช่วยเสาะแสวงหาในอินเตอร์เน็ตให้ไหงที เพราะไหงเคยเห็น แต่ไหงยังไม่เคยไป คิดว่าอยากจะไปในไม่ช้านี้ เพราะไหงอยากไปดูลายมือของท่านจอมพลเย่เจี้ยนอิง อันเป็นที่รักของลูกหลานชาวฮากกาหมอยแย้นอย่างไหงที่สุด

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

ป้ายชื่อพิพิธภัณฑ์ฯ

รูปภาพของ tonkla

อยากไปตรงนี้นานแล้วค่ะ

ไม่ไหม ไม่ไหว ยิ่งดูยิ่งอยากไปค่ะ พี่จ๊องหยิ่งฮยุ๋งเคยไปมาเเล้วใช่ไหมคะ น่าอิจฉาจังเลย หนูอ่านเรื่องราวมาหลายเล่มพอสมควร ยิ่งเห็นภาพนี้ยิ่งอยากไปค่ะ

ต้องไปให้ได้

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

ยังไม่เคยไป

ยังไม่เคยไปเหมือนกันครับ

เคยดูหนังเรื่อง The Myth ดาบทะลุฟ้า ฟัดทะลุเวลา (ชื่อจีน 神话)ของเฉินหลงหรือยัง เค้าถ่ายทอดสุสานของจักรพรรดิ์ฉินสื่อออกมาเป็นภาพยนตร์ได้สวยงามเชียวครับ.

รูปภาพของ ชิงชิง

ชิงชิงขอขอบพระคุณอาฮยุ๋งปักมากๆค่ะ

ขอบคุณอาฮยุ๋งปักที่ทำให้หนูได้เห็นภาพพิพิธภัณฑ์หุ่นนักรบฉินสื่อหวงตี้มากๆค่ะ (ต่อไปนี้เป็นข้อเขียนของสินฝ่าป่าป๊านะคะ)

            อั้นตอเซี้ย ครับ อาฮยุ๋งโก ขอบรรยายเพิ่มเติมให้เด็ก ๆ ดูอีกหน่อย ลูก ๆ เห็นไหมว่า สิ่งที่ประเทศจีนค้นพบ มันยิ่งใหญ่โตอลังการ แค่ไหน หนู ๆ เห็นไหมลูก ว่า รถม้าที่อยู่ในรูปภาพ ที่อาปัก เอามาให้ดูนั้น เป็นรถม้าแบบในสมัยของ ราชวงศ์ฉิน ของฉินสื่อหวงตี้ ทำด้วยทองคำ (หรือทองสัมฤทธิ์-อาสุกหรือป่าป๊าก็ลืมไปแล้ว) แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ รถม้าคันนี้ มีขนาดเท่าของจริง เท่าคนจริง และ เท่า ม้าจริง มูลค่า ประเมินไม่ได้ หมายความว่า ไม่สามารถตีค่าเป็นราคาได้เพราะมันสูงมากมายมหาศาล----เป็นยังไงบ้าง ความภูมิใจและความยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน

            คุณูปการของฉินสื่อหวงตี้ คือ เป็นผู้มีชัยชนะเหนือรัฐอื่น ๆ ทั่วทุกรัฐในอดีตของจีน กว่า 7 รัฐ แล้ว ยุบรวมเป็นราชอาณาจักรฉิน(ก็คือจีน) เพียงหนึ่งเดียว สั่งเผาทำลายตำราของรัฐอื่น ๆ บังคับให้ใช้ตัวอักษร ฉิน ให้เหมือนกัน เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็คือที่มาของตัวอักษรจีนอย่างในปัจจุบัน ที่ได้ปรับปรุงเป็นอักษรจีนใหม่ ถ้าไม่มีฉินสื่อหวงตี้ ประเทศจีน คงจะเหมือนกับทวีปยุโรป ที่มีประเทศเล็กประเทศใหญ่ อยู่รวมกันหลาย ๆ ประเทศ

รูปภาพของ YupSinFa

เรียนwebmaster

                    ไหงให้ชิงชิงใส่รูปของตัวเองลงไปในบัญชีผู้ใช้ของเขา ซึ่ง ได้ก๊อปปี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตามขั้นตอน แต่ไม่ทราบว่า ทำไมรูปถึงไม่ขึ้นไปแสดงที่ บล๊อคของเขา ขอความกรุณาช่วยเหลือด้วยคร้บ-ตอเซี้ย-สินฝ่า
รูปภาพของ webmaster

ลองดูอีกที

ลองดูอีกทีนะ เท่าที่มาตรวจสอบดู ก็เห็นมีไฟล์เข้าไปแล้ว เลยทดสอบ Create thumbnail (96x96) ก็ผ่านเลย ทดสอบทำเป็น Logo  ให้ ถ้าอยากเปลียนนแก้เองได้เลย

ทำถึงขั้นตอนไหน แล้วติดปัญหาใดช่วยแจ้งด้วย จะช่วยแก้ไขให้ครับ

(คำแนะนำสำหรับรูปที่จะนำมาทำ logo ส่วนตัว ควรตัดให้เป็นภาพจัตุรัส มาก่อน เพื่อภาพจะได้ไม่เสียสัดส่วน)

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ชิง ชิง ถ่ายภาพกิจกรรมลงด้วยนะ

ชิง ชิง คงมีกิจกรรมหลายอย่าง    เพราะเชียงใหม่นะมีวัฒนธรรมมากมาย ชิง

ชิงมีภาพให้ป่าป๊า    นำมาลงให้พวกเราดูด้วยนะ    มีรูปหลานทั้งสองคนพี่

น้อง  รุ่นใหม่ที่เข้ามาสืบสานกันไม่ขาดตอน    แล้วเราจะรอนะเจ้า

รูปภาพของ ชิงชิง

หนูก็มีกิจกรรมหลายอย่างค่ะ

              ถ้าหนูไปทำกิจกรรมต่างๆแล้ว  ถ้ามีโอกาสจะถ่ายรูปมาให้ดูค่ะ

แล้วก็จะเอารูปของน้องหยกมาลงให้ดูกันด้วยนะคะ

 

รูปภาพของ tonkla

เปิดเทอมเมื่อไรคะน้องชิงชิง

วันนี้น่าจะเปิดเทอมเเล้วสิ น้องของพี่เค้าก็เปิดเทอมวันนี้เหมือนกัน น้องชิงชิงพิมพ์คอมเก่งจังเลย ตอนเด็กๆนะ พี่ยังเล่นกระโดดโลดเต้นอยู่เลย ไม่ได้มาพิมพ์อย่างนี้หรอกนะคะ ช่วงนี้ฝนตกหนักมาก โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ต้องกินข้าวเยอะๆ (ไม่รู้ว่าเกี่ยวไรกัน) ฮ่ะๆ กินเยอะๆจะได้ตัวโตเท่ากันไงล่ะ

เมื่อวานผ่านแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โอ้มายก้อด ควันขโมงเป็นระยะๆ พี่นึกว่าพี่เป็นนางเอกซะอีก ที่ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากลัวๆหน่อยแล้วจะมีพระเอกมาช่วยเหลือ แอบขำนะจ๊ะ แต่ว่ามานึกอีกที อันนี้ของจริงนี่นา ไปให้ไว ไปให้ไว ตื่นเต้นจริงเลย

แล้วคุยกันต่อนะจ๊ะ

พี่สาว 

 

รูปภาพของ ชิงชิง

ตอบค่ะตอบนะคะ

  โรงเรียนของหนูเปิดตั้งแต่วันที่10/05/53น่ะค่ะ

ก็มีอยู่วันหนึ่งนะคะ( วันอาทิตย์มั้งคะถ้าจำไม่ผิดนะคะ )ที่เชียงใหม่ที่บ้านหนูฝนตกหนักมาก

แต่หนูก็ชอบมากค่ะ  พี่สาวก็ระวังตัวนะคะอย่าไปยุ่งกับกลุ่มคนพวกนั้นหรือระวังตัวไว้หน่อยก็ดีค่ะจะได้ไม่โดนลูกหลงน่ะค่ะ   น้องสาวพี่เปิดเทอมเมื่อไหร่คะ   พี่สาวอายุเท่าไหร่คะ         

หนู12ปีนี้นะคะ  บ๊ายบายแล้วคุยกันใหม่นะคะ

                       18/05/53

 

น้องชิงชิง

รูปภาพของ วี่ฟัด

ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดและชีวิตของข้าพเจ้า

                        วันนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดที่ทำให้ข้าพเจ้ามีแนวทางความคิดและการดำเนินชีวิตของข้าพเจ้าเพื่อให้บุคคลทั่วไปและชิงชิงได้รับรู้ ว่าการที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอข้อเขียนต่างๆในเว็ปนี้นั้นใครคือผู้ทรงอิทธิพลในแนวทางความคิดของข้าพเจ้า

                         1. ท่านพุทธทาสภิกขุ ข้าพเจ้าสนใจติดตามงานเขียนของทานพุทธทาสมาตั้งแต่ข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมต้นอยู่เลย ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านประกาศเปิดสวนโมกข์เพื่อสอนหลักธรรมในชั้นโลกุตรให้แก่สาธุชน ซึ่งพระตามวัดต่างๆโดยทั่วไป มักจะดูถูกสติปัญญาของศาสนิกชนทั่วไปบอกกับญาติโยมแค่ชั้รระดับโลกียธรรม ( ศิลห้าพอแล้วโยม ) โดยไม่นำหลักธรรมชั้นสูงซึ่งเป็นเพชรของศาสนาพุทธมานำเสนอ เช่นกฎพระไตรลักษณ์ กฎปฏิจสมุปบาท และกฎอิทัปปัจจตา มานำเสนอต่อสังคมเหมือนท่านพุทธทาส ที่กล้าหาญนำหลักธรรมชั้นสูงมานำเสนอ

                          2. พระพรหมคุณาภรณ์ ( ป.อ.ปยุตโต ) ปราชญ์ของวงการพุทธศาสนาของประเทศไทย ท่านได้รจนาหนังสือพุทธธรรม ซึ่งเดิมเป็นเล่มเล็กๆ ซึ่งท่านเขียนครั้งแรกซึ่งข้าพเจ้าได้ติดตามงานเขียนพุทธรรมของท่านมาตั้งแต่นั้นเป็นระยะเวลากว่า 30 ปี มาแล้ว ปัจจุบันหนังสือพุทธธรรม เป็นฉบับขยายความเล่มใหญ่มากใช้หนุนหัวนอนได้สบาย

                          3.  ส. ศิวรักษ์ ท่านอาจารย์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นนักคิดนักเขียนที่ตรงไปตรงมา ( ซึ่งความตรงไปตรงมานี้คือสันดานของข้าพเจ้าโดยตรง ) กล้าวิพากษ์วิจารย์สังคมโดยนำหลักพุทธธรรมของพระพุทธเจ้ามาจับได้อย่างน่าเชื่อถือ ถือว่าเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งของสังคมไทย ที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ความไม่ถูกต้อง ( เหมือนข้าพเจ้าอีกแล้ว )

                          4. ดร. เอ็มเบ็ดก้า ดอกเตอร์เอ็มเบ็ดก้าเป็นชาวอินเดีย เป็นผู้ร่างกฎหมายรัฐธรรมมนูญของอินเดีย  เมื่อประมาณเกือบ 30 ปี ก่อนข้าพเจ้าได้ซื้อหนังสืออัตชีวประวัติของดอกเตอร์เอ็มเบ็ดก้า และเมื่อได้อ่านก็ทำให้ข้าพเจ้าชื่นชอบในอัตชีวประวัติของท่านดอกเตอร์เอ็มเบ็ดก้ามาก  

                        ดอกเตอร์เอ็มเบ็ดก้า เป็นคนอินเดียซี่งเกิดมาในวรรณจันฑาณ แต่สามารถเรียนจนจบการศึกษา เนติบัณฑิตยอังกฤษ และปริญญาเอกจากอีโคโนมิคสคูลออฟลอนดอน เอ็มเบ็ดก้าเป็นบุคคลร่วมสมัยกับ มหาตม คานที แต่เอ็มเบ็ดก้าไม่ได้ต่อต้านอังกฤษเหมือนคานที แต่จะเข้ากับอังกฤษและคอยเจรจาเพื่อให้อังกฤษปลดปล่อยอินเดีย เอ็มเบ็ดก้า มีการศึกษาที่ดีจากประเทศอังกฤษ จึงเป็นคนอินเดียที่อังกฤษเชื่อถือมาก ว่ากันว่าการที่อังกฤษปลดปล่อยอินเดียนั้นเป็นฝีมือของเอ็มเบ็ดก้ามากกว่าคานทีเสียอีก ถ้าถามข้าพเจ้าว่าระหว่างคานทีกับเอ็นเบ็ดก้า ข้าพเจ้านับถือและชื่นชอบใครมากกว่ากัน  ข้าพเจ้าขอพูดได้เต็มปากว่า " เอ็มเบ็ดก้า " อย่างแน่นอน ปัจจุบัน คานทีเป็นเพียงสัญญลักษณ์ที่นักชุมนุมมักนำมาใช้เป็นข้ออ้างเท่านั้นแต่ไม่ทำแบบคานที

                        ในฐานะที่ ดร.เอ็มเบ็ดก้า เป็นคนในวรรณจันฑาณ จึงทำให้เอ็มเบ็ดก้าต่อสู้เพื่อคนจันฑาณในประเทศอินเดีย อย่างแท้จริง และที่สำคัญคือ ดร.เอ็มเบ็ดก้าเห็นว่าศาสนาฮินดู ไม่ให้ความสำคัญและไม่ยอมให้สิทธิ์ในทางสังคม เอ็มเบ็ดก้าจึงนำคนจัณฑาณ หลายล้านคนเปลี่ยนศาสนามานับถือศาสนาพุทธ จนในปัจจุบันในอินเดียวมีคนจันฑาณมานับถือศาสนาพุทธหลายสิบล้านคน

                        เอ็มเบ็ดก้าจึงเป็นบุคคลในดวงใจของข้าพเจ้ามากว่า 30 ปีแล้ว ปัจจุบันหนังสืออัตชีวประวัติของเอ็มเบ็ดก้าซึ่งข้าพเจ้าได้ซื้อมากว่า30 ปี คือหนังสือที่ข้าพเจ้ารักมากที่สุดเล่มหนึ่ง ถ้าวันใหนท้อแท้ ท้อถอยข้าพเจ้าจะนำหนังสือมาอ่านอย่างชื่นใจ

                        5. จอมพลเย่เจี้ยนอิง ในฐานะลูกหลานชาวฮากกาหมอยแย้น ท่านเย่เจี้ยนอิงคือบุคคลอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า บิดาข้าพเจ้าซึ่งเดินทางจากหมอยแย้นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยได้เคยพูดถึงท่านเย่เจี้ยนอิง บ่อยๆด้วยความภาคถูมิใจเสมอตอนที่ข้าพเจ้ายังเล็กๆอยู่

                         จนเมื่อข้าพเจ้าได้เติบโตข้าพเจ้าได้มีโอกาศได้เดินทางไปหมอยแย้นบ่อยๆ ทุกครั้งที่ได้ไปหมอยแย้นข้าพเจ้าจะต้องหาโอกาศไปเยี่ยมท่านเย่เจี้ยนอิงที่บ้านเกิดซึ่งทำเป็นป่ออู๋ก่วนของท่าน ท่านจึงเปรียบเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้าพเจ้า ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นลูกหลานของชาวฮากกาหมอยแย้น การไปแต่ละครั้งข้าพเจ้าจะเดินชม การที่ผู้คนบุคคลสำคัญของประเทศจีน ยกย่องเชิดชูท่านอย่างไม่รู้เบื่อ ท่านเย่เจี้ยนอิงจึงเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางแนวความคิดของความรักชาติของข้าพเจ้าอย่างแท้จริง

                           ข้าพเจ้าจึงอยากบอกว่าท่านเหล่านี้คือบุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิดและชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อยากให้ชิงชิง ได้ลองศึกษาและชิงชิงลองหาบุคคลที่น่าเชื่อถือมาเป็นแบบอย่าง เพื่อชีวิตจะได้ไม่ลอยๆ ไม่รู้จุดหมายปลายทาง แต่ข้าพเจ้ารู้ถึงจุดหมายปลายทางของข้าพเจ้าแล้วซึ่งก็คือ " ธรรม " ของพระพุทธองค์นั่นเอง

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal