( เนื่องในวันครบรอบที่เว๊ปไซต์ชุมชนคนฮากกาได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาถึงกำหนดครบห้าปี ในวาระนี้ไหง่จึงขอถือโอกาศนำเรื่องราวของการเดินทางไปอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เป็นจำนวนถึง 3 ครั้ง 3 ครา ภายในช่วงระยะเวลาเพียงเดือนเศษเท่านั้น โดยขอตั้งชื่อแบบหวือหวาหน่อยในสไตย์ของไหง่เองว่า " มีอะไรในกอไผ่(เบ)ตง " )
คำว่า " เบตง " มาจากภาษามาลายูว่า " Betong " ถ้าจะให้คนไทยทั่วไปเดาว่าคำว่า " เบตง " แปลว่าอะไรนั้นไหง่คิดว่าคงไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจได้ ในภาษามาลายูคำว่า " เบตง " หมายถึง " ต้นไผ่ " ซึ่งในภาษาไทยของเราก็มีคำว่า " ไผ่ตง " อยู่แล้ว แต่ไหง่จะไม่เขียนเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเบตงว่าเป็นมาอย่างไร หรือมีประชากรกี่คน มีเนื้อที่เท่าไร มีกี่ตำบล ไหง่ว่าไปหาจากกูเกิลได้ไม่ยากเกินไป แต่ไหง่่อยากจะเขียนเล่าจากประสบการณ์การเดินทางของไหง่โดยเอาการเดินทางทั้งสามครั้งมาจับผสมกันจนเป็นเนื้อเดียวกันในครั้งเดียวกันเลยครับ
ตู้ไปรษณีย์ ( ของจริง )บริเวณหอนาฬิกากลางเมืองเบตง อันเป็นสัญลักษณ์ของเบตงมานานแสนนานแล้ว บริเวณนี้แหละครับพอสักหกโมงเย็นกว่าๆเกือบทุ่ม จะมีนกนางแอ่นไม่รู้มาจากใหนบินมาเกาะสายไฟฟ้า เป็นแสนๆตัว เรียกว่าบริเวณสายไฟฟ้าจากสี่แยกนี้ในรัสมี 1 กิโลเมตร จะมีนกนางแอ่นเกาะชิดติดกันเป็นตับกันไปเลย
จุดเริ่มต้นเดินทางของไหง่เริ่มที่สถานีรถไฟราชบุรี
ถ้าเมื่อสักประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2555 มาถามไหง่ว่าเคยเดินทางไปใต้ไกลที่สุดแค่ใหน ไหง่จะตอบได้เลยว่าก็แค่จังหวัดชุมพรเท่านั้น และก็ไม่เคยนึกเคยฝันว่าจะได้ลงไปไกลกว่านั้นเมื่อไร โกอาคมชักชวนให้ไปหาดใหญ่มานานแล้วแต่ก็ไม่มีโอกาศไปเสียที ไหง่ยังคิดๆเลยว่าสงสัยคงจะได้ไปหาดใหญ่ก็คงประชุมฮากกามิตรสัมพันธ์ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในปี 2556 แหงๆ
แต่ปรากฏว่างานเข้าช่วงเดือนมิถุนายน , กรกฎาคม 2555 ได้มีโอกาศไปจังหวัสงขลาถึงสองครั้ง และยังมีโอกศได้ไปเที่ยวยันปีนังกับโกอาคม ซึ่งไหง่ได้กลับมาเขียนเล่าเรื่องปีนังเป็นที่สนุกสนาน และได้พบกับคนฮากกาคนสำคัญคือ กู้เทียนฟัด
พอกลับมาจากปีนังแล้วไหง่คิดว่าคงเป็นปีหน้าตอนประชุมมิตรสัมพันธ์ของฮากกาที่หาดใหญ่หละมั้งถึงจะได้ไปทางใต้อีก แต่ปรากฏว่างานเข้าอีก มีความจำเป็นที่จะต้องเดินทางไปศาลจังหวัเบตงถึงสามครั้ง ที่จริงคดีนี้ไหง่ทราบมาตั้งแต่ช่วงต้นๆปีแล้วแหละ และรอๆอยู่ว่าทางโน้นเขาจะฟ้องเมื่อไร และเราได้ให้คำปรึกษาเขามาตลอด พอทางเบตงเขาฟ้องมาจริงๆแล้ว จะให้ไหง่ปฏิเสธก็กระไรอยู่ ถ้าทำอย่างนั้นมันเหมือนไม่ค่อยรับผิดชอบเท่าไร ซึ่งปรกติไหง่มิใช่คนเช่นนั้น ซึ่งก็มีหลายๆคนมาถามไหง่ว่า ไกลขนาดนั้นทำไมต้องไปด้วย ไม่ปฏิเสธเขาไปหละ ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าว เขาให้ความไว้วางใจกับไหง่มาตลอดแล้วจะใจจืดใจดำปฏิเสธกระนั้นหรือ
อำเภอเบตง จังหวัดยะลา อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาตใต้ พอบอกว่าจะไปสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนทางภาคกลางโดยทั่วๆไปคงขี้หดตดหายกลัวที่จะเดินทางไปแน่ๆใช่ใหมครับ ไหง่ก็กลัวเหมือนกัน ดังนั้นก่อนการเดินทางไหง่ก็ก็จะต้องตรวจสอบการเดินทางทางอินเตอร์เน็ตว่าเบตงมันไปทางใหนได้บ้างที่ปลอดภัยที่สุด แม้แต่ไหง่ก็เคยมาสอบถามทางเว๊ปชุมชนคนฮากกานี้แล้ว เลยเป็นอันว่า ไหง่เลยตกลงเดินทางโดยทางรถไฟ ไปลงหาดใหญ่ และเดินทางโดยรถตู้ไปเบตง โดยผ่านเข้าทางมาเลเซีย
มีคนถามกันมากว่าทำใมไม่บินไปลงหาดใหญ่แทนที่จะนั่งรถไฟ ไหง่ว่าถ้าคนอยู่กรุงเทพฯ คงจะสดวกดีที่จะนั่งเครื่องบิน แต่อยู่ราชบุรีจะต้องเดินทางจากราชบุรีไปสนามบินคงใช้เวลาสักสองสามชั่วโมง และพอกลับก็จะต้องเดินทางจากกรุงเทพกลับมาราชบุรี ไหง่คิดว่าคงไม่สะดวกด้วยประการทั้งปวง จึงขอนั่งรถไฟตู้นอนจากสถานีราชบุรี ไปลงหาดใหญ่ดีกว่า นอนไปสบายๆ เช้าตื่นมาก็ถึงพอดี คือรถไฟสายกรุงเทพ - บัตเตอร์เวิร์ด หรือรถด่วนพิเศษระหว่างประเทศ สาย 35 มาถึงราชบุรี ประมาณ 6 โมงเย็น พอหกโมงกว่าถึงเจ็ดโมงเช้าวันรุ่งขึ้นก็ไปถึงหาดใหญ่แล้วครับ
ตอนนี้แค่นี้ก่อนแล้วไหง่จะกลับมาเขียนเล่าเป็นตอนๆคิดว่าคงจะมีข้อมูลมาเขียนเล่าราวๆสัก 10 ตอน จากการไปมา 3 ครั้ง นี่แค่เกริ่นๆก็หมดไปตอนหนึ่งแล้วครับไท้กาหงื่น
มีอะไรในกอไผ่(เบ)ตง 2 - ผ่านแดนมาเล
เมื่อวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม 2555 คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นัดหมายกันที่สำนักงานเขตตลิ่งชัน มาทำอะไรกันไหง่จะไม่ขอกล่าวถึง จึงเป็นอันว่าปิดคดีที่เบตงลงได้ ทีนี้ไหง่จะได้มาเล่าเรื่องมีอะไรในกอไผ่(เบ)ตงโดยไม่ต้องมาห่วงพะวงอะไรอีกแล้ว
ไหง่เคยเล่าเอาไว้แล้วว่าการเดินทางของไหง่เริ่มด้วยรถไฟสายกรุงเทพ - บัตเตอร์เวิร์ด จากสถานีรถไฟราชบุรีไปลงที่สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ ซึ่งก่อนเดินทางในครั้งนี้ถ้าถามไหง่ว่าเคยเดินทางโดยทางรถไฟในประเทศไทยครั้งสุดท้ายเมื่อไร บอกตรงๆว่าไหง่ยังนึกไม่ออกเลย แต่ที่พอนึกออกก็คงจะสักสามสิบปีมาแล้วเคยโดยสารตู้นอนจากลำปางมากรุงเทพ แต่ถ้าในระยะไม่ไกลมากนักไหง่เคยเดินทางโดยรถไฟในเมืองจีนหลายครั้งทั้งจากเซินเจิ้นไปหมอยแย้น , จากซัวเถาไปหมอยแย้น , จากเซี้ยงไฮ้ไปซูโจว ฯลฯ
ระยะทางจากราชบุรีไปหาดใหญ่โดยทางรถไฟเป็นระยะทางประมาณเก้าร้อยกิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเกือบสิบสองชั่วโมง การใช้เวลามากๆในการเดินทางโดยรถไฟเป็นสิ่งที่ไหง่ชอบที่สุดเพราะจะได้มีเวลาอ่านหนังสือซึ่งเป็นสิ่งที่ไหง่โปรดปราณที่สุด ที่จริงไหง่เป็น " Reader " มากกว่า " traveller " ตามที่เต้นเจี้ยนหมิงบอก
การเดินทางไปเบตงทั้งสามครั้งโดยรถไฟของไหง่ ไหง่อ่านหนังสือจบไปหลายเล่ม ที่ปรกติไม่ค่อยมีเวลาอ่านเท่าไรนัก ไหง่ได้อ่านหนังสือกำลังภายในที่อาหงิ่วโกเคยแปลเอาไว้นานแล้วจบไปเล่มหนึ่งชื่อว่า " ยิ้มในคมกระบี่ " เป็นหนังสือกำลังภายในของโกวเล้งเล่มเดียวที่ไหง่อ่านแล้วรู้เรื่อง ซึ่งปรกติไหง่จะอ่านนิยายกำลังภายในไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร เพราะสำนวนสวิงสวายของมัน
พอมาถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ในตอนเช้าวันอาทิตย์ระหว่างหกโมงครึ่งถึงเจ็ดโมงแล้วแต่ว่ารถไฟจะเสียเวลามากน้อยแค่ใหน ไหง่จะต้องไปกินข้าวเช้าที่ร้านตืนฮวนเกี้ยมฉ่ายข้างๆโรงแรมแหลมทองไม่ไกลจากสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ทุกครั้ง เช้าวันอาทิตย์แบบนี้ที่ร้านตือฮวนเกี่ยมฉ่ายจะมีคนมาเลเซียที่เดินทางมาท่องเที่ยวหาดใหญ่เต็มไปหมดส่งเสียงทั้งภาษากวางตุง ฮกเกี้ยน ผู่ทงฮั่ว
พอกินข้าวจนอิ่มหนำสำราญดีแล้วไหง่ก็จะเดินข้ามถนนมาอีกฟากหนึ่งเพื่อมาขึ้นรถตู้ " เบตงทัวร์ " เพื่อไปอำเภอเบตง จังหวัดยะลา
การเดินทางไปเบตงเขามีให้เลือกทั้งไปทางยะลา หรือจะไปทางมาเลเซีย ไหง่คนต่างถิ่นพกความปอดกระเส่ามาเต็มกระเป๋าจึงขอเลือกเข้าไปทางมาเลเซียแทน ซึ่งค่าโดยสารไม่ว่าจะไปทางยะลาหรือจะไปทางมาเลเซียก็สองร้อยห้าสิบบาทเหมือนกัน แต่ว่าการเดินทางเข้าทางมาเลเซียจะต้องมีหนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตนะครับถึงจะไปได้ ถ้าใครไม่มีพาสปอร์ตก็ต้องเดินทางไปทางยะลาเพียงทางเดียวครับผม
ที่ทำการชั่วคราวของด่านประกอบ ด่านชายแดนไทยมาเลเซีย
เก้าโมงเช้ารถตู้ก็ออกเดินทางจากหาดใหญ่ไปเบตง ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็มาถึง " ด่านประกอบ " ซึ่งเป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองแห่งใหม่นอกเหนือจากด่านสะเดา ด่านนี้ตั้งอยู่ที่ตำบลประกอบ อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา เขาจึงเรียกชื่อด่านว่าด่านประกอบ ด่านทางฝั่งไทยยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอยู่เลยครับ เลยไม่ค่อยสะดวกนัก ส่วนด่านทางฝั่งประเทศมาเลเซียเขาสร้างเสร็จสมบูรณ์สวยงามสะดวกสบายมาก
เวลาเราผ่านด่านทางฝั่งไทยเราก็ต้องเอาหนังสือเดินทางไปประทับตราโดยเขาจะไม่ตรวจกระเป๋าสัมภาระของเรา แต่พอเข้าไปในฝั่งมาเลเซียเราจะต้องขนกระเป๋าเข้าเครื่องสะแกนเหมือนเราเดินทางโดยเครื่องบินนั่นแหละครับ ถ้าอิมมิเกรชั่นของมาเลเซียเขาสงสัยว่ามีอะไรในกระเป๋าเขาอาจให้เปิดให้ดูก็ได้ ดังน้นการไปเบตงแบบมีสัมภาระมากๆและสุ่มเสี่ยงต่อการถูกตรวจตราเขาก็มักจะไม่เดินทางมาทางนี้จะไปทางยะลาปรกติดีกว่า
เขตแดนของประเทศมาเลเซียที่ติดทั้งทางด่าสะเดาและด่านประกอบคือรัฐเคดาห์ของมาเลเซีย รัฐเคดาห์นี้พวกเราคนไทยจะรู้จักดีในนามของ " รัฐไทรบุรี " ซึงเคยอยู่ในความครอบครองของประเทศไทยมาก่อน ดังนั้นในย่านนี้จึงมีคนไทยตกค้างอยู่หลายแสนคน
พอรถตู้ผ่านเข้าไปในเขตของรัฐเคดาห์หรือไทยบุรีมาไม่ถึงชั่วโมงก็จะถึงเมืองๆหนึ่งมีชื่อว่า " เมืองเซะ ( sik ) " ที่จริง sik น่าจะอ่านว่า ซิค แต่ในภาษามาลายูต้องอ่านว่า เซะ คล้ายๆกับ balik pulau ที่ต้องอ่านว่า บาเละ ปูเลา ( อยู่ในปีนังที่ไหง่เคยเล่าให้ฟังมาแล้ว )
วัดเตราะปาดัง วัดไทยในเมืองเซะ รัฐเคดาห์ ในประเทศมาเลเซีย หน้าตาไม่ต่างจากวัดในประเทศไทยเลยครับ
เมืองเซะ ( sik ) นี่แหละครับที่มีคนไทยตกค้างอยู่มาก สองข้างทางที่ผ่านเมืองนี้ก็จะมีวัดไทยเป็นระยะๆไปตลอด
วันนั้นคนขับรถตู้เขาได้พาเข้าไปในวัดแห่งหนึงชื่อว่า " วัดเตราะปาดัง " มองอย่างไรๆก็เหมือนกับวัดในประเทศไทยไม่มีผิด
นี่แหละครับลุงจิ้ม คนไทยพลัดถิ่น คนไทยแท้ๆพูดภาษาปักษ์ใต้ขัดแจ๋ว แต่ต้องไปเป็นพลเมืองของประเทศมาเลเซีย ถ่ายที่หน้าบ้านของแก บ้านไทยสไตย์ปักษ์ใต้แท้ๆ หลังนี้ลุงบอกว่าสร้างมาร้อยกว่าปีแล้วครับ
แล้วคนขับรถตู้ก็ไปจอดที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งลักษณะของบ้านเหมือนกับบ้านไทยทางปักษใต้ไม่มีผิด และที่ในตัวบ้านไหง่เห็นมีสุนัขนอนอยู่หลายตัว ไหง่รู้ได้ทันทีเลยว่าบ้านนี้ต้องไม่ใช้บ้านคนมุสลิมแน่ๆ เพราะคนมุสลิมเขาจะไม่เลี้ยงสุนัขอย่างเด็ดขาด
พอรถตู้ที่ไง่นั่งมาเข้าไปในเขตรั้วบ้านก็พบลุงคนหนึ่งพูดภาษาปักษใต้แหล่งใต้เหมือนคนแถวๆสงขลา นครไม่มีผิด ลุงคนนี้เขามีนามว่าลุงจิ้ม ลุงจิ้มนี่แหละคือคนไทยพลัดถิ่นที่อยู่ดีๆก็มาเป็นคนมาเลเซียตั้งแต่ครั้งที่เราเสียดินแดน ไทรบุรี กลันตัง ตรังกานู ให้กับอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้ง ร.ศ. 112
ตู้ที่เห็นขาวๆนี่แหละครับเป็นตู้เย็นในเนื้อหมูป่าเพื่อจำหน่ายให้ลูกค้า ที่แวะเวียนเข้ามาซื้อ และยังไปส่งให้ลูกค้าอีกด้วย ด้านหลังลุงแกเห็นรูปหลวงพ่อคูณ นั่งยองๆ ใหมครับ
ตอนแรกไหง่คิดว่ารถตู้มันจะเข้ามาทำไม ไหง่จึงถึงบางอ้อว่าคนขับรถตู้มาซื้อเนื้อหมูป่าเพื่อเอาไปขายที่เบตง ลุงจิ้มเขาเป็นเอเย่นต์รับซื้อหมูป่าที่คนมุสลิมยิงหมูป่าที่มากินเมล็ดปาร์มในสวนปาร์ม พอยิงแล้วไม่กินเพราะกินไม่ได้แต่เอามาขายให้ลุงจิ้ม ลุงจิ้มจึงตังตนเป็นเอเย่นต์ส่งเนื้อหมูป่าทั้งมาเลและประเทศไทยเสียเลย
ที่เห็นใส่เสื้อลายๆ นี่แหละครับคนขับรถตู้ แอบมาซื้อเนื้อหมูป่าไปใ้หเมียขายที่เบตง ซื้อที่นี่กิโลละ 80 บาท ไปขายที่เบตงโลละ 160 บาท กำไรเป็นเท่าตัว
ต้องยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่าในเขตมาลเซียป่าไม้ยังอุดมสมบูรณ์มาก ถนนเส้นที่ผ่านจะไปเบตงเป็นถนนที่ผ่านเขาไปในเขตป่าดงดิบของมาเลก็ว่าได้ ที่นี่กฏหมายเขาแรงคงไม่มีใครกล้าตัดต้นไม้ จึงมีสัตว์ป่าเยอะไปด้วย แต่ว่าหมูป่าไหง่ว่าใครยิงเขาคงไม่ว่าเพราะคนมุสลิมคงไม่ชอบสัตว์ประเภทหมูอยู่แล้ว
วันนี้แค่นี้ก่อนครับแล้วติดตามตอนต่อไป
มีอะไรในกอไผ่(เบ)ตง 3 - ศรีวิชัย มาลายู รัฐปัตตานี
ก่อนที่จะผ่านแดนมาเลเซียแล้ววกกลับเข้าสู่อำเภอเบตง ไหง่อยากให้ไท้กาหงิ่นสร้างความเข้าใจเรื่อง อาณาจักรศรีวิชัยซึ่งเป็นพื้นฐานของรัฐปัตตานีซึ่งเดิมนับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน แต่ทำใมต้องกลับมาเปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนามุสลิมได้อย่างไร จากปาฐกถาธรรมของท่านเจ้าคุณพระพรหมณ์คุณาภรณ์ ( ป.อ. ปยุตโต )
ปาฐกถาธรรมของท่านเจ้าคุณพระพรหมณ์คุณาภรณ์ ( ป.อ. ปยุตโต ) อันนี้ไหง่เคยฟังมาหลายปีแล้ว เพราะปรกติไหง่เป็นคนชอบฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่แล้ว โดยเฉพาะตอนขับรถฟังเพลินขับรถถึงใหนถึงกัน ตอนปีใหม่ไหง่กะจะขับรถไปเที่ยวจังหวัดน่าน คงต้องโหลด ปาฐกถาธรรมแบบ MP 3 ของท่านไปเยอะๆ เรียกว่าฟังเพลินขับเพลินทีเดียวเชียวแหละครับไท้กาหงิ่น
ยังมีคนไม่รู้ไม่เข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของรัฐปัตตานี อาณาจักรศรีวิชัย มาลายูอีกมากมาย ซึ่งท่านเจ้าคุณพระพรหมณ์คุณาภรณ์ ( ป.อ. ปยุตโต ) ท่านเป็นนักอ่าน นักค้นคว้า แล้วนำมาเล่าให้ญาติโยมฟังอย่างสนุกสนาน
ยังมีคนที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับภาษามาลายูอีกมากว่าความเป็นมาของภาษามาลายู ภาษามาลายูเป็นภาษาเก่าแก่ดั้งเดิมของอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีศาสนาพุทธแบบมหายาน เป็นศาสนาประจำอาณาจักร ภาษามาลายูจึงมีภาษาบาลี สันสกฤษ ปะปนอยู่ในภาษามาลายูกว่าครึ่ง
แต่เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงทำให้คนที่ไม่รู้ไม่เข้าใจแอบอ้างว่า " ภาษามาลายูเป็นภาษาของคนมุสลิม ภาษาไทยเป็นภาษาของคนพุทธ " ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด อาจกล่าวได้ว่า " ภาษามาลายูเป็นภาษาของคนศรีวิชัยที่นับถือศาสนาพุทธมหายาน "
ทำความเข้าใจกันก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อครับไท้กาหงิ่น
มีอะไรในกอไผ่(เบ)ตง 4 - กลับสู่เบตง
เดี๋ยวนี้เว๊ปชุมชนคนฮากกาหายไปใหนกันหมด หรือว่าไกล้ปีใหม่วันหยุดยาวเดินทางออกไปเที่ยวปีใหม่กันหมด ในเว๊ปชุมชนฯเลยคล้ายๆกับเฟชบุ๊คไปแล้วมีคนคุยกันไปคุยกันมาอยู่สองคน อย่าให้เหมือนเว๊ปข้างเคียงหละ ถามเองตอบเอง พูดเองเออเอง ซึ่งใครๆเขาก็รู้ว่าเป็นคนคนเดียวกัน ในเว๊ปชุมชนความห่างในการเขียนกระทู้ก็ห่างกันเป็นสิบชั่วโมงขึ้นไปถึงจะมีคนเข้ามาตอบกระทู้สักครั้งหนึ่ง
ช่วงปีใหม่วันหยุดไหง่ยังไปใหนไม่ได้เพราะติดเป็นกรรมการงานงิ้วส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ในตัวเมืองราชบุรีหรือที่ภาษาแต้จิ๋วเขาเรียกว่างิ้วเสี่ยเซ้งหรือเซี่ยเสิ่น ( 谢神 ) หรืองิ้วขอบคุณเทพเจ้า ไหง่เป็นเถ่านั้งกรรมการที่จะต้องไปนั่งรับแขกที่มาไหว้เจ้าในงานงิ้ว งานงิ้วเสร็จก็คืนวันที่ 31 ธ.ค. 55 ส่งท้ายปีเก่าพอดี เรียกว่าเค้าดาวน์กันหน้าโรงงิ้วกันเลยทีเดียวเชียวหละครับไท้กาหงิ่น ไหง่จะไปได้ก็ต้องเป็นวันที่ 2 ม.ค. 56 เลยจะถือโอกาศขับรถไปรับลมหนาวที่จังหวัดน่าน เมืองทางเหนือเพียงเมืองเดียวที่ไหง่ก็ยังไม่เคยไปเลย จึงอยากไปมาก จึงถือโอกาศไปในวันที่ 2 - 5 ม.ค. 56 นี้
ทีนี้ก็กลับมาเล่าเรื่องการเดินทางไปเบตงของไหง่ต่อกันดีกว่าครับไท้กา ตามที่ไหง่ได้นำปาฐกถากรรมที่ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ที่ท่านได้เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของอาณาจักรศรีวิชัย จนมาถึงมลายู คงทำให้ไท้กาหงิ่น รู้เข้าใจเรื่องราวของสามจังหวัดชายแดนขึ้นอีกมากใช่ใหมครับไท้กา
คิดๆดูก็ออกจะประหลาดอยู่เหมือนกันน๊ะครับไหง่ว๊า จะเดินทางไปในสถานที่ของประเทศไทยแท้ๆ แต่ต้องเดินทางออกจากประเทศก่อนแล้วค่อย " วกกลับสู่ไทย " อีกครั้งหนึ่ง แปลกแต่จริง
ระยะทางจากหาดใหญ่ไปอำเภอเบตงไม่ว่าจะไปทางผ่านจังหวัดยะลา หรือเข้าทางมาเลเซียเข้าเบตง ระยะทางคงจะไม่มากน้อยกว่ากันเท่าไรนัก ไปทางมาเลเซียไหง่คิดว่าอาจใกล้กว่าไม่น่าเกินสามสิบสี่สิบกิโล แต่ทางมาเลรถวิ่งสะดวกสบายกว่าไม่ต้องวิ่งโค้งไปโค้งมาเป็นร้อยๆพันๆโค้งเหมือนกับทางผ่านยะลา - บันนังสตาร์ - ธารโต
ตอนขากลับไหง่เคยกลับมาทางจังหวัดยะลาเหมือนกันการวิ่งโค้งไปโค้งมาจากเบตงเอาเรื่องเหมือนกันนะครับ รู้สึกคลื่นใส้นิดๆเหมือนกัน ต้องมาหาซื้อยาดมมาดมตอนที่รถมาจอดที่สถานีขนส่งจังหวัดยะลา ไหง่เคยไปปาย แม่ฮ่องสอนหลายครั้งก็ยังไม่รู้สึกแบบนี้เลยครับ
ค่าโดยสารรถตู้จากหาดใหญ่ไปเบตงไม่ว่าทางมาเลหรือทางไทยจะอยู่ที่ 250 บาท เหมือนกันแล้วแต่จะเลือก และรถตู้เบตงทัวร์นี้ดีอยู่อย่างคือพอถึงกำหนดตามเวลา รถจะออกเดินทางทันทีไม่ว่าจะมีคนโดยการกี่คนก็ตาม ที่ไหง่เดินทางไปเบตงทั้งสามครั้งมีคนโดยสารแค่ไม่เกินห้าคนสักครั้ง คงสงสัยว่าคนโดยสารน้อยๆแค่นี้รถตู้อยู่ได้อย่างไรใช่ใหมครับ ตอนแรกไหง่ก็สงสัยเหมือนกัน แต่ตอมาไหง่ก็หายสงสัยก็เพราะค่าน้ำมันในมาเลฯแค่ลิตรละ 18 บาทไงครับถึงอยู่ได้
สภาพปั๋มน้ำมันเล็กๆที่รถตู้ไปเติมน้ำมัน
รถตู้มาจอดเติมน้ำมันมาเลฯลิตรละ 18 บาท ถึงอยู่ได้ ถ้าเติมน้ำมันไทยมีผู้โดยสารแค่สี่คนห้าคนบอกได้เลยเจ๋งครับไท้กา
ปั๋มน้ำมันในมาเลใกล้ๆเมืองเซะก็มีหนังสือพิมพ์ภาษามลายูขายด้วยครับ
การที่รถตู้มาเติมน้ำมันในปั๋มของมาเลฯนอกจากจะได้ราคาน้ำมันถูกกว่าเมืองไทยเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว ยังเป็นที่ให้ผู้โดยสารรถตู้ได้พักผ่อยอริยบทเข้าห้องน้ำห้องท่าได้อีกด้วย ปั๋มที่ไปแวะนี้เป็นปั๋มเล็กๆแต่ห้องน้ำสะอาดมากเลยครับ ไหง่คิดว่าเพราะคนมุสลิมให้ความสำคัญในการขับถ่ายมาก การเข้าห้องน้ำห้องท่าของเขาต้องชำระล้างทำความสะอาดอย่างพิถีพิถัน คนมุสลิมจึงให้ความสำคัญในเรื่องความสะอาดของห้องน้ำมาก
เรื่องนั่งรถตู้แล้วแวะเข้าห้องน้ำแล้วไหง่ยังแค้นปั๋มน้ำมันในประเทศจีนไม่หาย มีอยู่ครั้งหนึ่งสักประมาณสี่ห้าปีมาแล้ว ไหง่กับโกสมจิตรไปหมอยแย้นในช่วงเดียวกัน เลยนัดเช่ารถตู้จากหมอยแย้นไปเที่ยวถู่โหลวด้วยกันซึ่งเป็นการไปเที่ยวถู่โหลวครั้งแรกของไหง่ ขากลับคนขับรถตู้แวะปั๋มน้ำมันจะให้พวกเราเข้าห้องน้ำกัน น่าจะเป็นปั๋มแถวๆไท้ปู ปรากฏว่าเด็กปั๋มมันมาไล่พวกเรา บอกว่าไม่เติมน้ำมันห้ามขี้โว้ย โอ้โหใจดำจริงๆเลยต้องไปตายเอาดาบหน้าทุลักทุเลจริงๆ
การเดินทางเข้าเบตงใช้เวลาจากหาดใหญ่ประมาณ 4 ชั่วโมง จากหาดใหญ่ถึงด่านประกอบใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จากด่านประกอบผ่านมาเลฯถึงเบตงใช้เวลาอีก 3 ชั่วโมง รวมเป็น 4 ชั่วโมงพอดี พอผ่านเมืองเซะ เข้าเบริ่ง ( Bering ) ก็ใกล้ถึงเบตงแล้วครับไท้กา
เมืองเบริ่งจัดว่าเป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่เราผ่านจะไปเบตง จากเบริ่งไปเบตงคงสักยี่สิบกิโลกว่าๆ ก็จะถึงเบตงใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง พอไปถึงเบริ่งก็ใกล้จะถึงด่านของมาเลซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของด่านศุลกากรเบตงในเขตของประเทศไทย
พอเข้ามาที่จะออกกลับสู่ประเทศไทยเราก็ต้องประทับตราหนังสือเดินทางออกจากประเทศมาเลเซียอีก ไหง่เพิ่งเคยเข้าประเทศมาเลเซียครั้งแรกก็ครั้งที่โกอาคมพาไหง่ไปปีนัง พอได้ไปเบตงอีกสามครั้งเข้าๆออกๆทั้งไปและกลับหลายๆครั้ง ในพาสปอร์ตของไหง่จึงมีตราประทับเข้าแดนมาเลเซียปาเข้าไปห้าหกครั้งแล้วครับ
ด่านศุลกากรเบตง วกกลับเข้าประเทศไทยแล้วจ้า
แล้วก็กลับเข้าสู่ประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง ไหง่เขียนผ่านไปสี่ตอน นับแต่นี้ต่อไปจะมีเรื่องเกี่ยวกับฮากกาเบตงล้วนๆ ถ้าจะพูดไปอาจกล่าวได้ว่า " ถ้าห้วยกระบอกคือดินแดนของคนฟุ้งซุ้น เบตงก็คือดินแดนของคนหมอยแย้น "
แล้วค่อยมาว่ากันถึงเรื่องคนฮากกาหมอยแย้นในเบตงในตอนต่อไป โดยเฉพาะคนซีหย่อง หรืออาจกล่าวได้ว่า " เบตงคือซีหย่องทางตอนใต้ " ก็ได้ ( ซีหย่องเป็นชื่อตำบลหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของหมอยแย้น )
มีอะไรในกอไผ่(เบ)ตง - ความรู้เรื่องอาณาจักรลังกาสุกะ
อาณาจักรลังกาสุกะ อาณาจักรโบราณทางภาคใต้
อาณาจักรลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ 7–11) อาณาจักรลังกาสุกะแห่งนี้ได ้ตั้งขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรร ษที่ 7 แล้วเจริญรุ่งเรืองในพุทธศต วรรษที่ 11 ขณะที่อาณาจักรฟูนันเริ่มเส ื่อมอำนาจลง อาณาจักรลังกาสุกะตั้งอยู่ท างใต้ของอาณาจักรตามพรลิงก์ ในคาบสมุทรมลายู บริเวณมัสยิดแห่งกรือเซะ ในบริเวณที่ปัจจุบันอยู่ระห ว่างอำเภอเมืองปัตตานีกับอำ เภอยะหริ่ง และบริเวณอำเภอยะรัง ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปัตตานี พวกชวาเรียก “นครกีรติกามา” มีอาณาเขตครอบคลุมถึงทางเหน ือตะกั่วป่าและตรัง ทางใต้ตลอดแหลมมลายู ลังกาสุกะมีการติดต่อกับจีน ใน พ.ศ. 1052 ตามจดหมายเหตุจีนระบุว่า
“เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอ บ กษัตริย์ประทับอยู่บนกูบช้า งมีหลังคาทำด้วยผ้าสีขาว แวดล้อมด้วยองครักษ์ที่มีท่ าทางดุร้าย และทหารตีกลองถือธงสีต่าง ๆ ประชาชนทั้งชายหญิงไว้ผมปล่ อยยาว ใส่เสื้อไม่มีแขน” อาณาจักรลังกาสุกะนี้ ถูกอาณาจักรฟูนันโจมตีในพุท ธศตวรรษที่ 11 แล้วกลายเป็นเมืองขึ้นต่อมา
พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์จีน ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน กรุงปักกิ่ง มีภาพปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุ ราชวงศ์เหลียง หรือเหลียงชู ของจีน (พ.ศ. 1045-พ.ศ. 1106) บุคคลในภาพชื่อ อชิตะ (จีนออกเสียงเป็น อาเซ่อตัว) เป็นราชทูตจากประเทศลังกาสุ กะ (จีนออกเสียงเป็น หลังหยาสิ้ว บางแหล่งเรียก หลาง หย่า ซุ่ย) มีคำบรรยายภาพว่า "เป็นคนหัวหยิกหยอง น่ากลัว นุ่งผ้า โจงกระเบน ห่มสไบเฉียง สวมกำไลที่ข้อเท้าทั้งสอง ผิวค่อนข้างดำ"
โดยเดินทางไปเยือนราชสำนักจ ีนในปี พ.ศ. 1058 สมัยพระเจ้าอู่ตี้ฮ่องเต้แห ่งราชวงศ์เหลียง ทางการจีนได้เขียนภาพ อาเซ่อตัว ไว้เป็นที่ระลึกพระเจ้าแผ่น ดินแห่งลังกาสุกะในเวลานั้น ทรงพระนามว่า ผอเจี่ยต้าตัว หรือ ภัคทัตตเหลียงชู ซึ่งตรงกับรัชสมัย พระเจ้าภัคทัต (ประมาณ พ.ศ. 1060)
勿洞 คั่นรายการ
พอดีมีคนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับเบตง ซึ่งเป็นคนเบตงโดยกำเหนิด คือเหล่าซือสุวรรณา แห่งศูนย์ภาษาจีนฟิวเจอร์ซี เหล่าซือสุวรรณา เป๋นคนเชื้อสายฮากกาหม่อยแ้ย้น เกิดที่เบตง ที่หมู่บ้านกิโลเมตรที่ 4 พูดภาษาฮากกาได้เป็นภาษาแรกก่อนจะพูดภาษาไทยเสียอีก
ไหง่ไปพบว่าเหล่าซือสุวรรณาได้เขียนเรื่องราวของเบตงที่ได้กลับไปเยี่ยมเยือนเมื่อเร็วๆนี้และได้ไปพบ อาจารย์หลูกัวะชื่อ (盧國治先生) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนภาษาจีนคนแรกของเหล่าซืือ และบังเอิญว่าตอนที่ไหง่ไปที่เบตง อาโกดอกเตอร์โกศล กู้สกุลชัย ก็พาไหง่ไปคาราวะหลูกัวะซือเหล่าซิือเหมือนกัน
จึงขอนำบร๊อกของเหล่าซือสุวรรณามาให้ไท้กาได้ติดตามชมด้วยครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=845529
對聨 ของ 盧國治先生
อ่านแล้วดี
อ่านแล้วดีมากๆๆๆครับผมก็อยู่เบตงอาปาไหง่มาจากเม่อยเยียนผมไปมาหลายครั้งแล้วโดยเดินทางจากกทม_ฮ่องกง_เม่อยเยียน(ทางรถบัส๕ชั่วโมง)/ขอบคุณที่เขียนเรื่องเบตงให้ระลึกถึง
ที่จริงยังไม่จบ
ต้องบอกว่าขอบคุณมากเลยครับที่ติดตามแต่ที่จริงยังไม่จบยังติดเรื่องของดอกเตอร์โกศล กู้สกุชัยอยู่อีกเรื่องที่อยากเล่านี่ปล่อยให้ล่วงเลยมาร่วมปีคงจะต้องเขียนให้จบในเร็วๆนี้
ดอกเตอร์โกศล กู้สกุลชัย
ซ้ายสุดนี่แหละครับดอกเตอร์โกศล กู้สกุลชัย ตอนชวนไหง่มากินติ่มซำกับอาหรู่โก ตรงข้ามไทยโฮเตล โรงแรมที่ไหง่ไปพัก
ดร.โกศล กู้สกุลชัย นามสกุลท่านก็บอกอยู่แล้วว่าเซี้ยงกู้แน่ๆ ท่านจึงเป็นผู้เซี้ยงเดียวกับอาจารย์นภดล ชวารกร นายกสมาคมเหมยเซี่ยน ดร.โกศล ท่านก็เป็นกรรมการอยู่ในสมาคมเหมยเซี่ยนเช่นกัน เพราะบรรพชนของท่านก็เป็นคนเหมยเซี่ยน
ดร.โกศล ท่านก็คล้ายกับคนในระแวกจังหวัดที่อยู่ทางภาคใต้ที่ติดกับมาเลเซียคือจะใช้ภาษาจีนได้ดีเป็นพิเศษ ตอนท่านหนุ่มๆท่านจึงเดินทางจากเบตงมาทำอาชีพไกด์จีนในกรุงเทพ เรียกว่าคนเบตงมาดำรงค์อาชีพไกด์มากมาย ตอนไหง่ขึ้นรถไปเบตงพบคนเบตงมีอาชีพไกด์เดินทางมาเยี่ยมบ้านอยู่มากมาย
โรงแรมไทยโฮเตล ราคาไม่แพงคืนละ 700-800 บาท คืนวันศุกร์เสาร์ มักจะเต็มเพราะพวกมาเลย์มาพักเยอะมาก แต่ไหง่มักไปคืนวันอาทิตย์ จึงว่างทุกครั้ง
ดอกเตอร์โกศล ท่านก็เป็นคนที่ไปทำมาหากินด้วยการเป็นไกด์จนมีเงินมาก้อนหนึ่งเยอะพอสมควร ท่านเลยมาทำอาชีพทำอสังหาริมทรัพย์ ซื้อที่ทำบ้านขายมากว่าสิบปีแล้ว ท่านบอกว่าทำบ้านขายไปเป็นพันหลังแล้ว ยิ่งมีเหตุการณ์เรื่องคามไม่ปลอดภัยในสามจังหวัดชายแดนก็จะมีคนมุสลิมเข้ามาอยู๋ในเบตงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บ้านของท่านจึงขายดี ( ส่วนคนไทย คนจีน มักจะไปอยู่ทางหาดใหญ่มากกว่า )
บ้านที่ท่านทำขายมีหลายรูปแบบมีทั้งแบบคนมีรายได้น้อย รายได้มากมีหมด ที่ใส่หมวกนี่แหละครับท่านดอกเตอร์โกศล กำลังสั่งงานคนงานก่อสร้าง
และมีทั้งบ้านราคาแพงๆ
ที่จริงไหง่ไม่เคยรู้จักกับดอกเอตร์โกศลมาก่อนเลยแต่ได้เห็นอาจารย์ดอกเตอร์ศิริเพ็ญ เคยโพสต์ไปเที่ยวเบตง ไหง่เลยขอเบอร์จากอาจารย์ศิริเพ็ญ พอไหง่ไปถึงที่เบตงช่วงบ่ายๆไหง่ก็โทรหาดอกเตอร์โกศล ตอนแรกท่านก็งงอยู่ แต่พอบอกว่าดอกเตอร์ศิริเพ็ญ ท่านก็ไม่ว่าอะไรและบอกว่ากำลังนั่งกินกาแฟคุยเรื่องงานอยู่กับเซลส์ขายบ้านของอาโกอยู่หลังโรงแรมที่ไหง่พักนั่นเอง และชวนไหง่มานั่งกินกาแฟด้วย ( อาศัยบารมีของดอกเตอร์ศิริเพ็ญโดยแท้ ) และนัดไหง่ในเช้าวันรุ่งขึ้นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าพาไหง่ไปสั่งงานก่ออนแล้วพาไหง่ไปที่บ้านของอาโกปัจจุบันแล้วยังพาไปดูบ้านเก่าของอาโกกิโลสี่ จนประมาณ 9 โมงกว่าๆก็มาส่งไหง่ที่โรงแรมเพื่อไหง่จะได้ไปศาลเบตงซึ่งอยู่ใกล้ๆโรงแรมแค่ 200 เมตรเอง เดินไปห้านาทีก็ถึง
บ้านกิโล 4 หมู่บ้านคนฮากกาที่เบตง คนฮากกาที่นี่ล้วยเป็นคนฮากกาจากเหมยเซี่ยน ตำบลซีหย่องทั้งสิ้น คนซีหย่องจะเดินทางออกมาอยู่ในต่างแดนมากเพราะพื้นที่ดั้งเดิมในซีหย่องเขาทำเป็นเขื่อนอ่างเก็บน้ำท่วมที่อยู่เดิม อาจารย์นภดลก็เป็นคนซีหย่องเช่นเดียวกัน
บ้านเก่าดั้งเดิมของอาโกดอกเตอร์โกศลที่ท่านเกิดมาแต่ปัจจุบันไม่มีใครอยู่แล้ว
ไม่ค่อยโอแล้วเบตง
นับแต่ไหง่เริ่มเขียนเรื่องที่ได้ไปเบตงอย่างไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนถึงสามครั้งสามคราเมื่อเกือบสองปีก่อนเขียนยังไม่จบเสียที ยังคงมีเรื่องคั่งค้างอยู่ พอเอาเอสดีการ์ดที่ถ่ายรูปเก่าๆมาดู โอ่โฮยังไม่ด้เล่าเรื่องเกี่ยวกับเบตงอีกเยอะ พอดีช่วงสองสามวันนี้มีเรื่องราวที่เบตง เมืองที่เคยได้ชื่อว่าสงบร่มเย็นที่สุดของเขตสามจังหวัด ไหง่เลยคิดขึ้นได้ว่าน่จะมาเล่าเรื่องเบตงในยามที่ไม่ค่อยโอ ( เค ) แล้วเบตง
ใครจะไปคาดคิดว่าวันหนึ่งคนที่เคยลงไปใต้สุดก็แค่ชุมพร แต่ในช่วงปี 2555 จะมีโอกาศไปไกลกว่าชุมพรถึง 5 ครั้ง เป็นสงขลา 2 ครั้ง และเบตง 3 ครั้ง และในจำนวนที่ไปสงขลา 2 ครั้งนั้นโกอาคมพาไปปีนังเสีย 1 ครั้ง แต่ที่ไปทั้ง 5 ครั้งต้องบอกว่าไปในภาระกิจของงาน ไม่เคยมีความคิดว่าจะไปเที่ยวไกลถึงขนาดเบตงเลย เวลาเดินไปตามถนนในเบตง ชาวบ้านแถวนั้นเขาถามว่ามาจากใหน เราบอกว่ามาจากราชบุรี เขายังถามว่ามาทำอะไร พวกเขาเหล่านั้นไม่คิดหรอกว่าคนราชบุรีมันจะมาเที่ยวไกลถึงเบตง ถ้าเราบอกว่ามาเที่ยวพวกเขาจะคิดเลยว่าเราโกหกแน่ จึงต้องบอกว่ามาทำงาน และที่เบตงคนจีนฮากกาเยอะมาก ลองเดินไปถามตามบ้านที่มีลักษณะเป็นคนจีน 5 บ้านจะต้องได้พบคนฮากกาถึงประมาณ 3 บ้าน ที่เหลือจะเป็นคนกวางตุ้ง ส่วนคนแต้จิ๋วน้อยมาก ที่ไหง่เดินไปคุยตามบ้านนับสิบๆบ้านพบบ้านคนแต้จิ๋ว ( มาจากกรุงเทพมาทำมาหากินที่เบตง ) เพียงครอบครัวเดียว
ไหง่เลยได้มีโอกาศไปเที่ยวด้วยทำงานด้วยเดินทักทายผู้คนตามถนัด มีโอกาศได้ไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในเบตงเช่น บ่อน้ำร้อน , ถ้ำปิยมิตร ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบปีจะมีโอกาศกลับไปใหม่นะไท้กา
แต่ไม่แน่หรอกวันดีคืนดีอาจจะมีคนให้ไปทำงานที่นั่นอีกก็ได้นะไท้กา
ในภาพเป็นบ่อน้ำร้อนสถานที่ท่องเที่ยวในเบตง
ไม่ค่อยโอแล้วเบตง ( ต่อ )
ที่จริงมันไม่น่าจะมีตอนต่อหรอกครับไท้กาแต่มันมีปัญหาเรื่องการส่งรูป เลยต้องมาต่ออีกตอน ตอนนี้ถือเป็นภาพเล่าเรื่องก็แล้วกันไท้กา เหมือนที่ฝรั่งเขาบอกว่า ภาพๆเดียวสามารถมีคำอธิบายได้นับพันคำเลยโกเอ๋ย ( a picture is worth a thousand words )
แหล่งท่องเที่ยวที่ไม่แบ่งชั้นชาติศาสนาใดๆ ธรรมชาติก็คือธรรมชาติย่อมเป็นของคนทุกคน
ไหง่ที่หน้าถ้ำปิยมิตร อุโมงที่ซ่อนตัวของโจรจีนมาลายาในอดีต ปัจจุบันเลยเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้อนุชนรุ่นหลังได้ดู
เวลาไหง่ไปใหนมาใหนชอบประกาศตัวเป็นแฟนตแมนฯยูขนานแท้ เลยมีประสบการต่างๆมากมายเช่น เคยเดินอยู่ในสนามบินชับลั๊บก๊อก ฮ่องกง มีฝรั่งคนหนึ่งมันเดินเข้ามาจับมือไหง่ใหญ่เลยแล้วบอกว่ามันมาจากเมืองแมนเชสเตอร์ และอีกครั้งหนึ่งเคยไปกรุงไคโร อียิปต์ พวกตรวจคนเข้าเมืองมันมาจับไม้จับมือกันใหญ่ในฐานะแฟนแมนฯยูเหมือนกัน
อาจี้ชคนฮา่กกาฟุ้ยจิวกับอาโกคนฮกเกี้ยน เล่ากุงเล่าผ่อ สองสามีภรรยาที่ขายของอยู่ริมบ่อน้ำร้อน
สมเด็จพระเทพฯ เคยเสด็จพระดำเนินมาที่เบตง ภาพนี้ถ่ายที่สวนดอกไม้สถานที่ท่องเที่ยวบนภูเขาสูงใกล้ๆกับถ้ำปิยมิตร อาจี้กี่ถ่ายภาพนี้ร่วมกับสมเด็จพระเทพฯ อาจี้กี่เลยมีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษเอามาติดโชว์ไว้หน้าร้าน ใส่ถุงไว้อย่างดีเลยอาจี้เรา
อาจี้ท่านนี้เป็นฮากกาไท้ปู อดีตโจรจีนมาลายาเก่า เดิมเคยอยู่ในมาเลเซียมาก่อน อาจี้เล่าว่าเป็นโจรจีนตั้งแต่วัยรุ่นยังไม่ถึง 20 ลำบากมาก ต้องหลบๆซ่อนๆ ไหง่เลยขอถ่ายภาพอาจี้ไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมาที่ถ้ำนี้เหมือนกัน
อาจี้ท่านนี้ก็นเป็นฮากกาเหมือนกันแต่เป็นฮากกาหม่อยแย้น โจรจีนมาลายาเก่าเหมือนกัน สรุปแล้วโจรจีนมาลายานี่มันฮากกาเยอะจริงๆนะตัวเอง ไหง่เลยขออาจี้ถ่ายรูปตามระเบียบ แต่กว่าจะขอถ่ายได้ต้องอ้อนวอนอาจี้อยู่พักหนึ่ง กว่าจะยอม เพราะอาจี้กี่ขี้อาย เอาพัดปิดหน้าไว้อย่างเดียวเลย
ส่วนอาโกท่านนี้เป็นฮากกาเวิ่นชวน ที่อยู่บนเกาะไหหลำที่คนส่วนมากมักไม่ค่อยทราบว่า บนเกาะไหหลำนี่มันจะมีคนฮากกาด้วยเหรอ ไหง่ขอบอกว่ามีครับ ก็มาดามตระกูลซ่งทั้งสามไงหละตัวก็เป็นฮากกาจากเวิ่นชวนเหมือนกัน ไหง่เลยลองถามตามระเบียบว่า ไอ้ฮากกาเวิ่นชวนนั่นหนะเจี้ยปึ่งเขาพูดว่าอย่างไรได้ความว่า " ซิิดฟั้น " ครับไท้กา
เล่าเท่าที่เห็นที่เบตง
ที่จริงมีเรื่องที่ไหง่อยากเล่าอยู่มากมายเมื่อครั้งได้มีโอกาศไปเบตงถึงสามครั้งสามคราในระยะเวลาแค่เดือนเศษๆแม้ว่านับถึงปัจจุบันระยะเวลาจะล่วงเลยมาแล้วเกือบสองปี
เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่าทำไมคนมาเลมันถึงชอบมาเที่ยวแถบจังหวัดชายแดนทางภาคใต้ของเราชนิดว่าพอศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็แห่กันมาชนิดมืดฟ้ามัวดิน ส่วนหนึ่งเขาก็มากันเป็นครอบครัว แต่อีกส่วนหนึ่งนั้นมันมาด้วยอารมณ์ไคร่ล้วนๆถ้าอยู่หาดใหญ่เราอาจรู้สึกและรับรู้ยากสักหน่อย เพราะหาดใหญ่มันเป็นเมืองใหญ่ ถ้าอยากรับรู้จริงต้องเข้าไปในอาณาบริเวณของเขามิฉะนั้นก็จะมิได้รับรู้ความเป็นไปเลย
แต่เบตงมันเป็นเมืองเล็กเพียงแต่เราได้เข้าไปอยู่ในบรรยากาศหรือภาษาน่าเวีบนหัวเขาเรียกว่า " บริบท " เราก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าพวกมาเลย์มันเข้ามาเบตงกันมากมายมันมาทำอะไรกัน
ตอนแรกๆไก่อ่อนเพิ่งสอนขันแบบไหง่ก็งงนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น คือตอนไปพักโรงแรมมันจะมีผู้ชายคนไทยมันจะนั่งอยู่แถวหน้าโรงแรมบ้าง ลอบบี้บ้าง มันมาถามไหง่เป็นภาษาจีน ( มันคงนึกว่าไหง่เป็นมาเลย ) ถามเรื่องอะไรพวกผู้ชายคงรู้กันดี แต่พอไหง่บอกว่าเฮ้ยคนไทยโว้ย มันจะไม่สนใจทันที เจอแบบนี้บ่อยทุกครั้งที่ไปเบตงจนชิน ถ้าใครคล้อยตามมันอาจไม่ถึงเบตงแต่อาจถึงแถวๆเชียงรายแทน ใครไปเบตงลองลอดอุโมงไปทางที่เขาเรียกว่าวิลล่าซิโอเป็นดงเลย
ยังมีเรื่องเล่าเท่าที่เห็นอีกมากมายจะลองเล่าลองขียน กันวันละเรื่องวันละประเด็นให้ไท้กาที่ไม่เคยไปได้รับรู้กันในบริบท ณ เกือบปัจจุบัน
เล่าเท่าที่เห็นที่เบตง ( ต่อ )
มาเล่าต่อกันครับกับเล่าที่เห็น เวลาไหง่เดินไปเดินมาในเบตงคอยทักทายผู้คนนั้นเขามักจะทักไหง่เป็นภาษาผู่ทงฮั่วก่อนเกือบทุกครั้ง เขาคงคิดว่าไหง่เป็นคนมาเลย์เพราะหน้าตาอาจจะให้แต่พอเราพูดภาษาไทยพวกอาโกทั้งหลายเขาก็จะพูดภาษาไทยกับเรา มีอยู่ครั้งหนึ่งไปพักโรงแรมดังในหาดใหญ่ตอนไปฮากกามิตรสัมพันธ์ลงไปซื้อของในร้านเซเว้นข้างโรงแรม คนขายมันดันมาพูดภาษาอังกฤษกับเรา ไหง่ต้องรีบร้องออกไปโดยเร็วว่า " เฮ้ยกูเป็นคนไทยโว้ย " จำได้ว่าเคยเข้าไปซื้อของในเซเว้นในเบตงก็เคยโดนส่งภาษาอังกฤษเหมือนกัน
แต่ที่น่าสังเกตุอยู่อย่างหนึ่งคือคนมุสลิมหากเขารู้ว่าเราเป็นทนายความเขาจะให้ความเคารพนพนอบมากเป็นพิเศษ มากกว่าที่ได้พบเจอแถวๆภาคกลาง ไหง่ว่าเขาอาจมีความเชื่อใจได้มากกว่าเจ้าหน้าที่ราชการที่ดูเขาไม่ค่อยไว้วางใจ
เมื่อครั้งที่แล้วไหง่พูดถึงเรื่องการจัดหาหญิงบริการว่าทำไมเขาถึงไม่สนใจคนไทย รับแต่ลูกค้าชาวมาเลเซีย ไหง่เลยนั่งคุยหาข้อมูลกับคนติดต่อจัดหาหญิงบริการเลยว่ามันมีเหตุผลกลใดจึงหากินแต่เฉพาะคนมาเลย์ ได้ความว่า กลัวจะถูกล่อซื้อโดยเจ้าหน้าที่ และอีกเหตุผลหนึ่งคือ เมื่อจัดหาหญิงบริการให้คนไทยทั่วไปหรือคนท้องถิ่นเบตง คนท้องถิ่นอาจะพอใจหญิงบริการอย่างมาก ( ภาษาของเขาใช้คำว่าติดใจ ) แล้วนำหญิงบริการนั้นไปเลี้ยงดูเป็นภรรยาน้อยแล้ว จะทำให้เขาขาดตัวซัพพลายไป จะทำให้ขาดรายได้ในอนาคต พวกนี้เขาเลยไม่สนใจคนไทยหรือคนท้องถิ่น
วันนี้เอาเท่านี้ก่อนครัวมิตรรักนักอ่านติดตามงานบอกเล่าของไหง่ที่มีประเด็นมัน สนุกๆ น่าศึกษาอีกเยอะครับไท้กา
ขอแสดงความอาลัยแด่หลูกั้วซื่อเหล่าซือ
เหล่าซือสุวรรณา สนเที่ยง กับหลูกั้วซื่อเหล่าซือ ครูสอนภาษาจีนของเหล่าซือสุวรรณาเป็นคนแรก
หลังจากที่ได้โลดแล่นอยู่ในยุทธจักรฮากกามาสองสามปีโดยตอนแรกเพียงอยากเขียนเว๊ปให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้หลังจากได้มีแนวทางที่ไหง่รู้สึกว่าชักจะมีมิจฉาทิษฐิแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเว๊ปนี้จะทำให้ไหง่มาได้ถึงเพียงนี้ได้รู้จักคนมากมายในหลายๆวงการโดยเฉพาะคนในวงการฮากกา มิฉะนั้นบริบทของไหง่ก็คงอยู่เฉพาะที่ราชบุรี
แต่ความโลดแล่นทำให้รู้จักท่าที่นับถือเพิ่มขึ้นอีกหลายๆท่านบางท่านมีชื่อเสียงในวงสังคมอยู่แล้ว แต่กลับมานับถือกันเป็นญาติเป็นโยมกัน มีอาจี้เพิ่มขึ้นอีกหลายๆท่าน เช่น อาจารย์ปนัดดา เลิศล้ำอำไพ เวลาท่านคุยกับไหง่หรือโทรศัพท์มาหาไหง่ท่านอาจารย์ปนัดดาก็จะเรียกแทนตนว่าอาจี้ทุกครั้ง เหล่าซือสุวรรณา นี้ก็ถือว่าเป็นอาจี้ของไหง่อีกท่านหนึ่ง ไหง่เคยไปเยี่ยมอาจี้มาแล้ว อาจี้สุวรรณาน่ารักมากและมีความกระตือรือร้นในความเป็นฮากกาของตนอย่างเต็มที่ และอาจี้ยังสามารถพูดภาษาฮากกาได้เป็นอย่างดี ไหง่ชอบฟังอาจี้สุวรรณาพูดภาษาฮากกาไพเราะมากเลยครับ แต่อาจี้มีงานมากจึงยากที่จะชักชวนอาจี้มาร่วมกิจกรรมในการส่งเสริมความเป็นฮากกากับพวกเราได้
อาจี้สุวรรณา ท่านเคยไปอยู่เบตงตั้งแต่ตอนเด็กๆ จนประมาณสิบขวบกว่าๆ บิดามารดาจึงย้ายมาทำมาหากินในกรุงเทพ กั้วเค่อโกเคยบอกไหง่ว่า กั้วเค่อเคยเป็นเพื่อนกับอาจี้สุวรรณาตั้งแต่เด็กๆช่วงที่เคยอยู่ที่เบตง
เมื่อวานนี้ไหง่ได้รับข่าวจากเฟชบุ๊คของอาจี้สุวรรณาว่า หลูกั้วซือ เหล่าซือที่เป็นคนสอนภาษาจีนของอาจี้เป็นท่านแรกเมื่อครั้งอยู่ที่เบตงเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2557 ไหง่เคยได้พบกับหลูกั้วซือมาครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่อาโกดอกเตอร์โกศล กู้สกุลชัยพาไปเที่ยวที่หมู่บ้านกิโล 4 ที่เบตง และในบร๊อกนี้ได้เคยกล่าวถึงหลูกั้วซือเหล่าซือมาแล้ว จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวคำอาลัยแด่เหล่าซือหลูกั้วซือมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ
เล่าเท่าที่เห็นที่เบตง ภาคว่าด้วยสถานะการณ์สามจังหวัด
ภาพถ่ายศาลาเฉลิมพระเกียรติที่เบตงสะท้อนกระจกธนาคารกรุงศรีอยุธยาซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ตามเทคนิคการถ่ายภาพที่เขาชอบใช้กัน
หน้าศาลาเฉลิมพระเกียรติในหลวง มีตราครุฑ ติดอยู่ด้วยครับ
ที่นี่เขาจะมีการเอาเด็กมาอบรมบ่อยๆ ครูฝึกเป็นทหารเป็นคนมุสลิม ไหง่เลยเข้าไปคุยทักทายอยู่พักใหญ่
ในการเดินทางไปเบตงทััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััััังสามครั้งของไหง่ ขาไปจะเข้าทางมาเลเซียทุกครั้งและขากลับครั้งแรกๆยังปอดๆอยู่ก็จะกลับทางมาเลเซียด้วย แต่พอขากลับครั้งที่สองที่สามชักจะกล้ามากขึ้น เลยกลับทางรถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพทั้งสองครั้ง การมารถทัวร์สายเบตง-กรุงเทพดังกล่าวจะต้องเดินทางผ่านอำเภอธารโต อำเภอบันนังสตาร์ และอำเภอกรงปีนัง ก่อนที่จะเข้าตัวเมืองยะลา
ตลอดทางที่ผ่านหากผ่านสถานที่ราชการเช่นโรงเรียนหรือสถานีอนามัยก็จะมีด่านเยื้องๆให้รถผ่านตลอดทางและจะเห็นรถทหารเป็นครั้งคราว
พอมาถึงสถานีขนส่งจังหวัดยะลา รถทัวร์ก็จะจอดที่สถานีประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อให้ผู้โดยสารลงไปกินข้าวหรือซื้อของ ซึ่งไหง่จะต้องลงไปคุยกับคนที่สถานีขนส่งและต้องซื้อทุกครั้งที่นี่คือยาดมเนื่องจากช่วงที่ออกจากเบตงถึงธารโตต้องลวิ่งผ่านเขาและมีทางโค้งมากโค้งไปโค้งมาจึงรู้สึกมวลๆในท้องและพอืดพะอมบ้างพอสมควร จึงต้องพึ่งยาดม ได้ไปคุยกับเจ้คนขายว่าอยู่ยะลามานานยัง ได้ความว่าเป็นคนกรุงเทพ แต่บิดามารดาย้ายมาอยู่ยะลาตั้งแต่เจ้ตอนเด็กๆ เจ้เขาเคยได้รับกระทบกระเทือนจากเสียงระเบิดจนหูเจ้แกพิการไปข้างหนึ่ง
มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนนั่งอยู่ในรถโฮสเตสเขาจะถามคนโดยสารว่าจะไปลงที่ใหนกันบ้าง ไหง่ก็บอกว่าลงแยกวังมะนาว อำเภอปากท่อซึ่งอยู่ไกล้บ้าน พอดีมีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทราบว่าเป็นทหารกำลังจะกลับบ้านเป็นคนบ้านเดียวกันพอเห็นว่าไหง่จะลงวังมะนาวจึงรู้ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน มาเป็นทหารอยู่ที่ยะลา แต่ตอนอยู่ในเขตสามจังหวัดพี่ทหาร ( ซึ่งที่จริงเป็นรุ่นน้อง ) เขาบอกไหง่ว่าเขาไม่กล้่าเปิดตัวว่าตัวเองเป็นทหารต้องระมัดระวังบ้างและบอกว่าให้พ้นสามจังหวัดแล้วค่อยคุยกัน เลยอยู่ในช่วงสามจังหวัดทีรถต้องออกจากยะลา มาปัตตานี จนมาถึงหาดใหญ่ จนช่วงหาดใหญ่พี่ทหารจึงกล้าคุย กล้าเปิดเผยตัวมากยิ่งขึ้น พี่ทหารบอกว่าอยู่ในเขตสามจังหวัดต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว พอรถมาแวะพักกินข้าวช่วงทุ่งสง เลยได้คุยกันมากขึ้นพร้อมกับนำคลิปที่โหดๆมาเปิดให้ไหง่ดู ต้องบอกว่ามันโหดกว่าที่เรารับรู้กันจริงๆ ที่พี่ทหารแกกล้าเปิดเผยเพราะเป้นคนบ้านเดียวกัน และยังเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องเรียนโรงเรียนเดียวกันอีก
ยิ่งตอนนี้ทราบว่าจุ้งฟะเขาเป็นทหารเกณฑ์ประจำอยู่ที่ปัตตานี ( จุ้งฟะคุยกับไหง่บ่อยๆทางเฟช ) เราต้องเอาใจช่วย ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองจุ้งฟะเล่าไทที่แสนน่ารักของพวกเราชาวชุมชนคนฮากกาของเราด้วยเถิด