มีใครอยู่ หมู่บ้านกานต์วดี พุทธมณฑลสาย 3 บ้าง วันนี้หน้าแตกเพราะไปกดกริ่งผิดบ้าน เกิดมาเพิ่งเห็นในหมู่บ้านทุกบ้านรั้วทาสีเดียวกันหมด เมื่อวานไม่น่าถามญาติ(ที่ถามเพราะต้องการทราบว่ามีอะไรเป็นจุดสังกต)ว่ารั้วทาสีอะไร"ดีที่เค้าไม่ว่าต่อหน้าแต่ลับหลังว่าเปล่าไม่รู้ ตอนนั้นผมต้องขอโทษเค้าทันที......เซ็ง
เทคนิคการตั้งคำถาม
ช่างถามเป็นเจ้าหนูจำไมหนะดีแน่ แต่ควรมีคำถามที่มีประโยชน์ ประเทืองปัญญา ได้ความรู้แก่คนทั้งหลาย นะเจ้าหนูจำไม
และนโยบายที่เกี่ยวกับเว๊ปชุมชนคนฮากกาก็น่าจะเป็นเรื่องราวความเป็นมาของความเป็นฮากกาเป็นหลัก หรือความเป็นมาของความเป็นเจ๊ก เป็นจีนก็ยังดีนะ
เรียน พี่ วี่ฟัด และ พี่ๆสมาชิก
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำและคำเตือนต่างๆ แต่ก่อนที่จะกล่าวต่อไปไม่ได้ว่าอะไรทุกคนในที่นี้ ผมยอมรับว่าผมเป็นคนซีเรียสจริงจัง พี่วี่ฟัดกับสมาชิกคนอื่นๆไม่ได้เป็นแบบผมไม่รู้สึกหรอกว่าเป็นไง ไม่ว่า กดกริ่งผิดบ้าน (ผมก็เคยเจอกับตัวเองที่มีคนมากดกริ่งผิดบ้าน) การที่โดนคนแก่ไล่ออกจากร้านอาหาร (ญาติผู้เป็นพี่สาวเสีย ไปกินข้าวกับหลานๆ) อย่านี้เค้าเรียกว่างมงายไร้สาระเปล่าครับ ถ้าเป็นผมไม่จ่ายค่าอาหารหรอก ทุเรศ ไร้สาระ งมงาย ทำยังกะไปฆ่าใครตายอย่างนั้นล่ะ หรือแม้กระทั่งถูกแกล้งให้ออกจากงาน ต้องใช้เงินคนอื่นคือมีคนช่วยแต่ไม่ชอบเพราะไม่ภูมิใจที่หามาเอง พี่ๆผมไม่เคยถามผมสักคำว่าผมเป็นไง กลับไปคิดเอาเองว่าผมสบายกว่าพี่น้อง เมื่อก่อนสมัยเรียนเคยมีเพื่อนถามทำไมต้องซีเรียสจริงจังไม่ปล่อยวางผมก็ตอบไม่ถูกเพราะเป็นแบบนี้ตั้งแต่จำความได้ แต่พอมานั่งสมาธิสวดมนต์ก็เริ่มดีขึ้นเรื่องบางเรื่องปล่อยวางได้
โดยเฉพาะเรื่องที่ผมฉีดยาฮอร์โมนเพราะต่อมใต้สมองผิดปกติร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเองต้องฉีดยาตลอดชีวิตนี่ก็คือเหตุผลนึงที่ผมต้องสวดมนต์นั่งสมาธิทุกคืน ส่วนเรื่องเล่นเน็ต เล่นเว็บปกติผมไม่เคยสนใจเพิ่งมาเล่นหลังจากตกงาน (3 ปี 8 เดือน) ตอนนั้นผมยังคิดว่าคนเล่นเว็บคงจะว่าง ไม่มีอะไรทำ ไร้สาระ ขออภัยครับที่พูดตรงๆ (พูดอ้อม-พูดหวานไม่เป็น) + เป็นคนพูดเสียงดัง จนคนรอบข้างเช่นพี่น้องผมเค้าไม่ชอบ เวลาผมพูดเสียงดังก็ไปคิดเอาเองหาว่าผมตวาด + นิสัยไม่ดี แต่ว่าการพูดเสียงดังก็มีข้อดีอย่างเผื่อบางคนหูตึงโดยเฉพาะคนแก่....555555 ถามหน่อยระหว่าคนพูดตรงหรือเสียงดังบ้างกับพูดจาหวานๆจริงใจเปล่าไม่ทราบอย่างไหนเชื่อได้กว่ากันครับ
ฝากคุณอั๋น
คนพูดตรงไปตรงมา ก็ดี
พูดจาเสนาะหู ก็ดี
สำเนียงเสียงฟังชัด ก็ดี
ระดับเสียงพอเหมาะกับสถานะการณ์ ก็ดี
คิดดี ทำดี ก็ดี
มีความจริงใจ ก็ดี
รู้จักการวางตนให้เป็นที่สมควร ก็ดี
รู้จักฟัง ยอมรับเข้าใจคนอื่นด้วย ก็ยิ่งดี
ตรงข้ามกับที่ว่ามา ก็ไม่ดี
ดังนั้นถ้าทำได้ดีบางเรื่อง ก็ดีบางเรื่อง ทำไม่ได้บางเรื่อง ก็ไม่ดีบางเรื่อง ไม่สามารถหักลบกลบหนี้ได้ เช่น
ถ้ามีคน บอกว่าเขาถือศิล 8 (-1) ผิดข้อ 4.(มุสา) ข้อดียว เหลือตั้ง 7 ข้อ ! ศีล 7 คนนี้ จะน่าเชื่อถือดีกว่าคนถือศิลบริสุทธิแค่ 5 ข้อได้หรือ
คิดว่า ถ้าทำแล้วไม่ทุกข์ ก็มีสุขได้
สิ่งใดที่ทำแล้วไม่ทำความเดือดร้อนตนเองและผู้อื่น เหมาะสมกับกาลเทศะขอให้ทำไปเถิด ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ยามเมื่อหกล้ม เก็บมาคิดว่าล้มนิดเดียวแค่นี้ทำไมต้องเป็นแผลถลอกปลอกเปิดมากมาย ทำไมหินถึงแหลม ทำไมทางถึงลาดชัน ทำไมคนดูเยอะน่าอายมากมายนักหรือ คิดเท่าไหร่ก็ไม่ช่วยให้แผลถลอกหายเร็วขึ้น
ถ้าคิดว่าทำไงจะไม่พลาดล้มอีก แล้วลุกขึ้นยืนใหม่ โอกาสข้างหน้าจะมีมากกว่า ถ้าจะพยายามมลุกขึ้นอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้งๆ ย่อมจะมีการก้าวขึ้นไปได้เรื่อยๆไม่ช้าก็เร็ว เพราะคนเราสามารถพัฒนาตัวเองได้ เมื่อเราไม่สามารถแก้ไขหินทุกก้อนไม่ให้แหลม ทำทางทุกทางไม่ให้ลาดชัน หรือแก้ไขผู้อื่นที่หวังดีช่วยเป็นกระจกเงาให้เรา (ถ้าไม่หวังดีคงเป็นกระจกใส หรือภาพเขียนสวยๆ จะได้ไม่เป็นศัตรูเสี่ยงกระจกแตกเพราะสะท้อนความคิดเขามากไป) ก็ขอเป็นกำลังใจนะ
จั่งซี๊มันต้องถอนคุณอั๋น
นี่ถ้าเป็นย้อนไปสักปีที่แล้วต้องร้องเพลงอยู่เพลงหนึ่งที่เขาร้องว่า " จั่งซี๊มันจ้องถอน จั่งซี๊มันต้องถอน " แต่พอยุคสมัย พ.ศ. นี้ใครร้องคงเชยแหลกใช่ใหมหละครับหนูอั๋น
เดี๋ยวนี้ในเว๊ปชุมชนคนฮากกาพอพบประสบพักษ์กันไม่ว่าการพบด้วยตัวเองเป็นๆหรือการพบทางเฟชบุ๊ค ต้องสอบถามถึงเรื่อง " อั๋น " ว่าเป็นอย่างไร แม้แต่โกอาคมยังคุยกับไหง่ทางเฟชบุ๊คถึงเรื่องอั๋น
แต่สำหรับไหง่แล้วไหง่ยังเห็นอั๋นเป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ไหง่จึงมองอั๋นด้วยความมี " เมตตา " ต่อกัน ซึ่งความเมตตานี้ในทางบาลีคือ ความเป็น " มิตรต่อกัน " นั่นเองครับญาติโยม และไหง่เชื่อว่าอั๋นเองก็มองเห็นไหง่ว่าเป็น " มิตร " เมื่อเขียนอะไรจึงต้องอ้างชื่อถึงไหง่ ซึ่งก็เป็นความจริงเช่นนั้น ไหง่ก็มองเห็นทุกๆคนเป็น " มิตร " เป็นเพื่อนร่วมทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้นเช่นเดียวกัน
พอหนูอั๋นได้ชี้แจงว่าหนูอั๋นมีความบกพร่องทางร่างกายทางต่อมพิททูลท่ารี่ (Pituitary Gland) ซึ่งไหง่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เล่นๆแล้วกับพยาธิสภาพของหนูำอั๋น ต่อมไร้ท่อนี้เป็นอวัยวะสำคัญต่อการเป็นมนุษย์ทีเดียว เพราะต่อมนี้มีหน้าที่ในการสร้างสาร " เอ็นโดฟีน " ( มีคุณสมบัติคล้ายฝิ่น ช่วยในการคลายความเครียด ช่วยในเรื่องความคิด ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ) สมาชิกชุมชนคนฮากกาหลายๆท่านเมื่อทราบเรื่องจึงได้เกิดความ" กรุณา " ต่อหนูอั๋นมากขึ้นทีเดียว
แต่ในการควบคุมพฤติกรรมในทางสังคมมนุษย์ หนูอั๋นจะถือว่าตนเป็นบุคคลพิเศษที่จะทำอย่างไรก็ได้เนื่องจากพยาธิสภาพของตน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารน่าเห็นใจที่สุดนั้นมิได้ หนูอั๋นเมื่อรู้ถึงพยาธิสภาพของตนก็ใช่ว่าหนูอั๋นจะมีพัฒนาการเพื่อเข้ากับสังคมชุมชนคนฮากกานั้นไม่ได้ ซึ่งไหง่ว่าหนูอั๋นก็ยังสามารถอยู่ในสังคมชุมชนคนฮากกาได้แต่ต้องมีพัฒนาการ ด้วยการเป็นผู้มีความต้องการในการแสวงหาความรู้ในความเป็นฮากกาหรือความเป็นจีนด้วยความตั้งใจ ซึ่งหากหนูอั๋นทำได้ดังกล่าว ไหง่ว่าคนในชุมชนจะต้อง " มุทิตา " ต่อหนูอั๋นอย่างแน่นอน
แต่หากหนูอั๋นเมื่อรู้ถึงพยาธิสภาพของตนในเรื่องต่อมพิททูลท่ารี่ (Pituitary Gland) ของตนแล้ว ยังไม่ยอมพัฒนาตนเพื่อเป็นผู้แสวงหาความรู้และเขียนคำถามคำตอบแบบไม่มีพัฒนาการแล้วไซร้ ไหง่ว่าคนในชุมชนคนฮากกาทั้งหลายจะต้องไม่เอาด้วยกับอั๋น แซงชั่นอั๋น ซึ่งหลักธรรมที่คนในชุมชนคนฮากกาใช้นี่คือหลักธรรมสำคัญที่เรียกว่า " อุเบกขา " ซึ่งเป็นหลักธรรมที่ไม่เอาด้วยกับความไม่ถูกต้อง ผิดต่อกฎเกณฑ์ความดีงามความถูกต้อง เขาจึงไม่สนับสนุนอั๋นดังกล่าว
ที่ไหง่ยกมานี้คือหลักธรรมง่ายๆแต่เข้าใจยากมากที่เรียกว่า " พรหมวิหาร 4 " ซึ่งประกอบด้วย " เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา " ตรงเมตตา กรุณา มุทิตา ทั้งสามหลักนี้ยังเข้าใจได้ไม่ยากนัก ส่วนหลักแห่ง " อุเบกขา " หลักนี้แหละหลักธรรมชั้นสูงที่คนไทยไม่ค่อยมีใครเข้าใจกันเลย สังคนแห่งพรหมที่สงบสุขร่มเย็นจึงไม่เกิดขึ้นกับสังคมไทยเลยตัวเอง
วี่ฟัดสอนนัอง
ที่จริงหนูอั๋นจะติดต่อพูดคุยกับไหง่มากที่สุดในชุมชนนี้ อาจเป็นเพราะว่าไหง่มีความเป็นมิตรกับหนูอั๋นมากที่สุดก็ได้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นกัลยาณมิตรต่อกันก็ได้ หนูอั๋นมักจะเล่าเรื่องต่างๆเกี่ยวกับหนูอั๋นให้ไหง่ได้รับรู้ในเกือบทุกๆวันในเฟชบุ๊ค และไหง่มักจะแนะนำข้อควรปฏิบัติต่างๆให้แก่หนูอั๋นอยู่บ่อยๆ แต่ถ้าจะมาตอบทางเฟชบุ๊คคนอื่นๆก็จะไม่ได้รับรู้ ไหง่จึงถือโอกาศออกอากาศซะเลย จึงได้ตั้งชื่อว่า " วี่ฟัดสอนน้อง " บางคนอาจจะบอกว่าวี่ฟัดนี่มันบังอาจจริงดันมาตั้งชื่อเหมือนกับล้อเลียนเรื่อง " กฤษณาสอนน้อง " ซึ่งจริงๆแล้วไหงมิได้มีเจตนาที่จะไปล้อเรียนวรรณกรรมระดับวรรคดีเลยครับไท้กา ไหง่ตั้งชื่อตามความเป็นจริงเท่านั้นเองครับ
ไหง่ว่าอั๋นเป็นคนที่ยังมีความคิดความเชื่อที่ค่อนข้างจะออกแนวไสยศาสตร์ซะมาก เชื่อในสิ่งที่เหลวไหลมากไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับความคิดความเชื่อของไหง่เลย บ่องตงว่าศาสนาแบบอิงไสยศาสตร์ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของไหง่เลย ตั้งแต่ไหง่เล็กๆไหง่ก็สงสัยว่าทำไมพุทธศาสนาในประเทศไทยทำไมมันอิงไสยศาสตร์มากจริงๆ จนไหง่ได้มาค้นพบท่านพุทธทาสภิกขุจากหนังสือเล่มแรกที่ไหง่ได้อ่านคือหนังสือ " พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ " จนทำให้ไหง่ " ยูเรคา " เลยว่านี่แหละคือสิ่งที่ไหง่หามานาน จากนันไหง่ก็ติดตามอ่านงานเขียนของท่านพุทธทาสมาตลอด เมื่อสมัยเมื่อสามสิบปีก่อนไหง่มีหนังสือของท่านพุทธทาสสูงกว่าตัวไหง่อีก แต่ปัจจุบันมันหายไปซะเยอะ
( เดี๋ยวมีต่อ )
แนวไสยศาส
แนวไสยศาสตร์ตรงไหนในเฟสผมยังไม่มีโพสสักประโยค ถ้ามีก็ดีซิ พี่วี่ฟัดช่วยหาให้หน่อย เพราะเบื่ออยากหายจากโรคที่เป็นไม่อยากฉีดยาตลอดชีวิต แต่ไม่ต้องหามาให้นะครับ น่ากลัวมาก ผมไม่เอา เค้ายังเตือนผมด้วยห้ามซี้ซั้วไปรับขันอะไรทั้งนั้น เพราะชีวิตจะมีแต่หายานะ มีเรื่องนึงผมเป็นคนที่มีเซ้นหรือลางบอกเหตุคือฝันแต่ว่าตื่นแล้วจะจำไม่ได้ เช่นฝันว่าหาแม่ไม่เจอ ฝันว่าแม่ตาย ฝันว่าเห็นหัวหน้าคลังสินค้าสทั้งๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเพราะตอนนั้นผมยังไม่เข้าทำงานที่สุขภาพใจ(หนังสือธรรมะ) ฝันเห็นพี่สาวลูกของลุง นั่งอยู่ตรงน้ำพุ(ภายหลังถึงรู้ว่าเป็น มอลล์ งาม) หรือแม้กระทั่งก่อนออกจากงาน ผมเห็นวัดที่ไปปฏิบัติธรรม และฝันเห็นโบสถ์ที่วัดแห่งหนึ่งที่ไปบวช แต่น่าเสียดายตื่นมาจำไม่ได้ แต่ถ้าเหตุการณืนั้นมาถึงเมื่อไหร่มันจะคุ้นตาและจำได้ จนมีญาติลูกพี่สาวเค้าบอกว่าผมมีสัมผัสที่หกเพราะไปเล่าให้ลูกพี่สาวฟังว่าผมเคยเห็นแม่เค้านั่งอยู่ตรงน้ำพุเหมือนในฝัน ที่ผมไปดูดวงกับผู้มีญาณ(เป็นผู้ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จัก) เพราะต้องการทราบว่า ตัวเองนั่งสมาธิได้มีการเปลี่ยนแปลงไปถึงไหนแล้ว ที่สำคัญผมต้องการพิสูจน์และหาคำตอบอะไรบ้างอย่างว่าใช่อย่างที่ผมคิดหรือเปล่าสรุปคือใช่อย่างที่คิด แต่มีหลายเรื่องที่ผมแปลกใจที่ผมถามผู้มีญาณ+พระ1รูป แต่เค้าไม่บอกอะไรเค้าบอกอย่างเดียวว่า"ปฏิบัตฺิไปเรื่อยเดี๋ยวก็รู้เองเห็นเอง"คือเป็นคนช่างสงสัยมาก "จนเค้าบอกว่าถามมากเดี๋ยวก็ปฏิบัติไม่ได้" คำถามที่ผมถาม คือเรื่องพี่น้องทำไมถึงดีขึ้นเมื่อก่อนคุยกันไม่ค่อยได้ พี่ผมชอบอคติฟังคนอื่นมากกว่าพี่น้องตัวเอง(แต่ยังไม่100%) สุขภาพก็เริ่มดีขึ้น ไม่ฝันร้าย เมื่อก่อนยังไม่สวดมนต์นั่งสมาธิ ฝันเห็นผีบ่อยมาก(ไม่ฝันแล้ว) และเป็นคนกลัวความมืด(เดี๋ยวนี้ไม่กลัว) จนผมเข้าใจคำที่เค้าบอกว่า"ปฏิบัติไปเรื่อยๆเดียวก็รู้เองเห็นเอง"ซึ่งผมก็หาคำตอบได้แล้วว่า"เป็นเพราะจิตปรุงแต่งคิดไปเอง" มีอีกเรื่องแม่กิยาขับเลือดเพื่อให้แท้งลูกซึ่งในบ้านพี่น้องและแม่ไม่เคยพูดหรือเล่าให้ผมฟังจนผมไดยินจากคนอื่นคือแม่ของเพื่อน(แม่ผมไปเล่าให่แม่เพื่อนผมฟัง แล้วแม่เพื่อนมาพูดให้ฟังต่อหลังแม่เสีย)ซึ่ง ณ ปัจจุบัน แม่ผมและแม่เพื่อนก็ไม่อยู่แล้ว แต่แม่ผมก็เคยพูดแต่ว่าเคยกินยาบำรุงเกือบแท้งลูก พีสาวคนโตก็เคยหลุดคำพูดมาประโยคนึงเช่นกัน เรื่องนี้ผมได้ถามผู็มีญาณซึงตรงตามที่ผมสงสัยมานานซึ่งเค้าบอกว่าใช่เพราะมีความจำเป็นบางอย่างซึ่งเค้าไม่ได้บอกว่าความจำเป็นคืออะไร แต่ผมรู้(ถ้าตัดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรออกไป) เพราะที่บ้านยากจนแม่ผมหาเงินเข้าบ้านคนเดียวรายรับไม่พอกับรายจ่ายกลัวเลี้ยงลูไม่ไหว ตอนนั้นมี5คนแล้ว แต่ยังโชคดีที่แม่ผมมีสติและโชคดีทีไม่แท้งเพราะเด็กไม่หลุด พี่วี่ฟัดรู้เปล่าว่าเด็กคนนั้นคือใคร คือผมเองครับ( ผมออกจากท้องแมแค่7เดือน)
....................................................................................................................
พี่วี่ฟัดรบกวนลบกระทู้นี้ไปตั้งกระทู้ใหม่ด้วยครับ มันคนล่ะหัวข้อกับที่ผมตั้งกระทู้ เดี๋ยวมันจะออกทะเลไปซะก่อน