หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ..! ! !.....(ตอน 1)

             ซอยเล็กที่เปลี่ยวร้าง กระทั่งหมายังเมิน แมวไม่อยากเดินเฉียดใกล้

             ซอยเล็กเปลี่ยวร้างนั้น แท้จริงเป็นที่ฝากโลงศพของวัดแห่งหนึ่ง สองด้านเป็นซองใส่โลงศพ มันจึงเป็นซอยที่เงียบ

              แต่..แต่มีโลงอยู่โลงหนึ่ง เป็นสีนําตาลแทน ตั้งอยู่ใต้หลังคา เพียงเดินเข้าที่เก็บศพเห็นเด่นชัด ไม่ได้เก็บอยู่ในช่องซอง เหมือนโลงอื่น?

              แน่นอน มันต้องมีความพิเศษอยู่ในตัว อะไรคือสิ่งนั้น?

              ใช่แล้ว..มันคือโลงจําปา หัว-ท้ายเป็นกลีบดอกบัวบาน

              เมื่อไม่ใช่โลงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นโลงจําปา ที่หัว-ท้ายมีกลีบบัวบานออก มันจึงใส่เข้าซองเก็บไม่ได้

              เมื่อเข้าซองเก็บโลงไม่ได้ จึงต้องตั้งเด่นใต้หลังคานอกซอง

              ตั้งอยู่โดดเดี่ยว โลงเดียว โลงเดียวเท่านั้น!

              ไฉนโลงจําปาราคาเกือบครึ่งแสน ใยมิไปวางสงบนิ่งอย่างศานติในหลุ่มฮวงซุ้ยเล่า?

              ไฉนตั้งเด่นให้ตากแดดในบางช่วง ถูกฝนกระเซ็นในบางครา เป็นเวลาเกือบปีมาแล้ว! หรือลูกหลานทอดทิ้งไม่ใยดี ประหนึ่งศพไร้ญาติ!

               เปล่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแน่ เพราะ...ไหง่มาเซ่นไหว้อาปาทุก 15 วัน อย่างเคยชินกับช่องซองเก็บโลงบางช่องที่เปิดกว้าง มองเข้าเป็นเห็นหัวกระโหลก ทั้งมีกลิ่นสาบสาง บรรยากาศวังเวง กระทั่งแค่เดินผ่านซอยยังไม่อยากเดินผ่าน!

                แต่นี่พ่อเราทั้งคน มาอยู่ที่นี่ ความวังเวง ความกลัวกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เรื่องใหญ่อยู่ที่ว่า...จะเคลื่อนย้ายไปฝังในฮวงซุ้ยมากว่า...?

                ทําเสียซิ ไม่เห็นยากตรงไหน? ใช่..สําหรับคนอื่นอาจไม่ยาก แต่สําหรับคนทํางานเป็นช่างรับจ้างอย่างไหง่ ไม่ง่ายแน่ๆ แค่ค่าทํากงเต็กก็หลายหมื่น ค่าหลุ่มฮวงซุ้ยแบบถูกๆ หลักแสนขึ้น!

                ไม่คิดก่อนหน้านี้หรือไง? ว่าฐานะไม่พร้อม ฌาปนกิจสะดวกรวดเร็ว และประหยัดทุกอย่าง ซํามักมีกําไร!

                 ญาติพี่น้องก็คิดอย่างนั้น! แต่ไหง่..ไหง่เป็นคนชอบความสะดวกสบาย อยากคิดเหมือนพี่น้องคนอื่น แต่ทําไม่ได้...เพราะ...เพราะอะไร? ลองย้อนมาดูอดีต...

                 ช่วงท้ายของชีวิตอาปา ไหง่ไปเยี่ยมที่บ้านอาจี้คนที่ 2 ตรงหัวเตียงอาปาติดรูปเล็กๆของอาเมไว้ ทั้งที่อาเมเสียไปกว่า 30 ปี และร่างอาเมฝังในฮวงซุ้ยที่สระบุรี

                  เมื่ออาปาเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจอย่างกระทันหัน ทั้งที่กี่ยังแข็งแรง แต่ก็ย่าง 80 แล้ว ในหมู่พี่น้อง 8 คน ลงความเห็นว่าควรฌาปนกิจ ไหงแย้งว่า " อาเมฝัง อาปาที่ร่วมชีวิตกันมาตั้งแต่เมืองจีน ก็ควรฝังให้เสมอกัน ไม่เห็นหรือที่เสาหัวเตียง มีรูปอาเมติดอยู่! "

                 " แต่เราไม่มีเงินมากพอจะทําพิธีแบบฮากกานะ! รู้ๆกันอยู่แต่ละคนเป็นยังไง? " อาจี้คนที่ 2 บอกความจริง เพราะอาปาหัวเก่า พี่น้องทุกคนจบแค่ ป.7 มีอาชีพช่างเป็นส่วนใหญ่ มีอาฟุ้งโม้ยน้องสาวรองจากไหง่ แต่งให้กับเฉ่าจูหงิ่นฐานะดีหน่อย ก็เสนอว่า..

                " เมื่อกี้โทรไปหาแฟนไหง่แล้ว กี่บอกว่าค่าโลงจําปากี่ออกให้หมด " ตอนปี 2541 ค่าโลงจําปาย่านฝั่งธน 4 หมื่นต้นๆ มันน่าจะดี พี่น้องทุกคนเงียบ แต่...

           ไหง่แย้ง " ไม่ได้ อาปามีลูกหลายคน จะให้ลูกเขยเหมาจ่ายโลงทองคนเดียว ไม่ดีแน่!"ความจริงไหง่มีความเชื่อลึกๆว่า ขืนให้เหมาคนเดียว ลูกหลานคนอื่นก็ไม่เหลือบุญส่งเสริม ทํากินไม่ขึ้นนะซิ ผลสุดท้ายเสนอให้เฉลี่ยออก 5,000 ส่วนไหง่ขอออกครึ่งหนึ่ง และยังมีส่วนที่ไม่คาดฝัน คืออาสุก 2 คน ช่วยออกให้ส่วนที่ไม่พอทั้งหมด

          ปัญหาเรื่องโลงจําปาผ่านไป ปัญหาต่อมาที่คุยกัน คือ เรื่องพิธีกงเต็กกับสุสานฮวงซุ้ย ซึ่งเป็นเรื่องที่ใช้เงินมากเกินฐานะพวกพี่น้องจะทําอย่างไร? ไหง่เสนอว่า " ให้พระสวดแบบไทย 5 วันแล้วเก็บไว้ 1 ปี ค่อยทํากงเต็ก แล้วเอาไปฝังสุสานเดียวกับอาเมก็ได้! " ทุกคนเห็นด้วย แต่ใดๆในโลกล้วนอนิจจัง มีสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เสมอ..?

              

             


เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 2)

          แทบจะทุกย่างก้าวของงานศพ ต้องเดินด้วยเงิน กระทั่งการไปรับศพจากโรงพยาบาล ซึ่งไหง่เคยไปรับศพเพื่อนฝันหงิ่น พนักงานดูแลห้องเก็บศพ จะรีบไห้นําศพไปง่ายๆ เหมือนรีบให้พ้นๆไปเสีย แต่ถ้าเป็นศพคนจีน จะเรียกเก็บค่ายาและค่านํายาฉีดศพ ถ้าไม่จ่ายก็โอเอ่เดินเรื่องอยู่นั่นแหละ

           นี่แหละคนจีน กระทั่งศพก็มีค่า และยังคงมีค่าใช้จ่ายต่อไป โดยก่อนนําศพเข้าโลงจําปา ต้องมีการปูกระดาษเงิน-ทอง และใบชา จากนั้นจึงยกศพอาปาที่อยู่ในชุดสากลนอนในโลง ซึ่งต้องใช้คน 3 คนช่วยกัน เพราะแกตัวใหญ่หนักเกือบ 100 ก.ก. จากนั้นซินแสประจําร้านโลงศพ ก็เข้ามาแนะนําให้จุดตะเกียงนํามันก๊าซ เป็นเหมือนประทีปนําทางวิญญาณ แล้วให้ลูกๆเข้ามากราบไหว้ ทั้งให้ดูหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังฝาโลงปิดผนึกแล้ว จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกตลอดกาล..

           ส่วนลูกคนใดที่ถูกปีชง ก็จะต้องอยู่นอกพิธี คืออยู่นอกห้องที่พักศพ

           หลังยกฝาโลงปิดครอบแล้ว ตอนตอกสลักซินแสจะกล่าวคํามงคลทุกครั้ง เหมือนผนึกคาถามงคลให้ผู้ตาย สื่อพลังมงคลให้แก่ลูกหลานสืบต่อไป

          ความหนักแน่นอย่างเป็นรูปธรรม ยังคงให้ลูกหลานได้เห็น คือ การเคลื่อนยกโลงจําปาขึ้นรถ และลงรถมาตั้งศพที่ศาลาบําเพ็ญกุศล ต้องใช้คนยกถึง 8 คน ยังออกอาการเซๆ บอกถึงนําหนักของโลงจําปา อันเป็นแบบอย่างของจีนที่สืบทอดมาแต่โบราณ ถ้าไม่เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์จริง ลูกหลานสายเลือดมังกร คงไม่อยู่ในระดับแนวหน้าของโลกได้แน่ๆ

         แต่พิธีกรรมแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะทําได้ทุกคน เพราะมันมิใช่เกี่ยวกับเรื่องเงินอย่างเดียว มันมีเรื่องความเชื่อต่อประเพณีด้วย หากไม่เชื่อ ถึงมีเงินมากมายก็ไม่ทําแบบนี้!

         ว่ากันตามจริง ความสัมพันธืระหว่างไหง่กับอาปา พวกพี่น้องรู้ดีว่าไม่ค่อยลงรอยกัน เพราะความคิดขัดแย้งกัน จึงเป็นเหตุให้อาปาไปอยู่กับอาจี้คนที่ 2 ซึ่งปกติควรมาอยู่กับไหง่ที่เป็นลูกชายคนที่ 2 ส่วนลูกชายคนโต อากุงพาไปเมืองจีนตั้งแต่เด็ก จึงเท่ากับไหง่เป็นลูกชายคนโตในเมืองไทย

        วันแรกก่อนถึงเวลาสวดมนต์ของพระตอนหัวคํา ไหง่ไปร้านตัดผม สั่งช่างตัดผมก้อนผมแบบสกินเฮด แสดงการไว้ทุกข์เป็นรูปธรรมให้เห็น...

         ส่วนการร้องไห้เสียใจ ไหง่ต้องแอบร้องไห้เหมือนเด็กๆ อยู่ในห้องนอนบ้าง ในห้องนําที่บ้านบ้าง เพื่อไม่ให้ใครเห็น เพราะงานนี้ไหง่ถือเป็นหัวเรือใหญ่

          และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะแขกที่มางาน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนไหง่ จึงต้องคอยต้อนรับ ส่วนพี่สาว-น้องสาว จัดการเรื่องอาหาร น้องชายก็คอยบริการเสริฟนํา

          หากถามว่า แล้วเพื่อนอาปาไม่มีหรือ? คําตอบคือมี..แต่ตายไปเกือบหมดแล้ว ก็อาปาย่างเข้าจะ 80 ปีเข้าไปแล้ว จึงอดคิดถึงคําพูดเพื่อนบางคนไม่ได้ว่า " ถ้าตายตอนแก่ คงไม่อบอุ่นเหมือนตายตอน 4-50 แหงๆ " งานศพอาปาพิสูจน์คําพูดนี้

          การตั้งศพสวดบําเพ็ญกุศลแบบไทย ก็เหมือนกันทุกวัน คือถึงเวลา 1 ทุ่มพระก็เริ่มสวดครึ่งแรก แล้วพักให้แขกที่มางานได้กินข้าวต้ม หรือกระเพาะปลา หรืออาหารว่างประมาณ 20 นาที จึงสวดยกสุดท้ายจบประมาณ 2 ทุ่มเศษ

         มันมีเรื่องแปลกอยู่นิดหนึ่ง ทุกคนเห็นแล้วว่างานศพนี้ไม่ฌาปนกิจแน่ แต่ก็แทบไม่มีใครถามไหง่ว่าทํากงเต็กวันไหน? ถ้าถามก็ว่าไปตามจริง คือ เก็บไว้ 1 ปี ตอนนี้ไม่พร้อม แต่แทบไม่มีใครถามเลย คงเห็นรอยหมองเศร้า ทั้งที่ไหง่เป็นคนยิ้มเก่ง ซ่อนความรู้สึกเก่ง แต่เพื่อนๆกลับเห็นความเศร้าของไหง่ชัด จึงไม่ปริปากถาม ทั้งที่บางคนมางาน 2-3 วันติดก็ตาม

        หลังเสร็จงานสวดคืนที่ 5 หักลบกลบบัญชีแล้ว ยังเหลือเงินเกือบแสน ไหง่เสนอให้ฝากธนาคารในบัญชี 3 ชื่อ หากถอนต้องมี 3 ชื่อร่วม แต่อาจี้คนที่ 2 กับลูกสาวแย้งว่าใช้ชื่อกี่ชื่อเดียว เพราะลูกสาวมีเงินในบัญชีกว่า 2 แสนไม่ต้องกลัว ปกติไหง่ไม่กลัว แต่ทุกอย่างต้องพร้อมใจ แต่ความที่กี่มักพูดเสมอว่า " อาปามีลูกหลายคน แต่กี่รับภาระ -ดูแลคนเดียว? " ไหง่จึงยอม ส่วนพี่น้องคนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึงอาจี้คนนี้ ก็ไม่มีใครขัด เป็นอันเงินจํานวนนั้นกี่เป็นคนเก็บ!

         ส่วนไหง่เก็บเหมือนกัน แต่เป็นการช่วยหามโลงศพอาปาไปเก็บ ที่โกดังเก็บโลงโดยมีเสียงน้องสาวคนเล็กพูดกับอาจี้คนที่ 2 ว่า " ปล่อยให้อาหงิ่วแสดงบทให้เต็มที่! "ซึ่งในความหมายคือไม่สนใจตอนป๋าอยู่ แต่ตอนนี้มาทําเอาหน้า มันอาจจริงก็ได้?

        แต่หลังตั้งโลงศพที่แบกจากศาลาเสร็จ ไหง่อยู่ร้องไห้หน้าโลงเหมือนเด็กๆอยู่คนเดียว ประมาณ 15 นาที เช็ดหน้าล้างตาแล้วจึงเข้ามาในกลุมพี่น้อง ทุกคนคงเห็นตาแดงชําของไหง่ ไม่มีใครพูดอะไร ก่อนแยกย้ายกันกลับ มีการนัดแนะว่า ต้องเอาอาหารมาไหว้หน้าโลงติดต่อกัน 1 อาทิตย์ จากนั้นอาทิตย์ละครั้ง อีก 6 อาทิตย์ ( 49 วัน ) แล้วใครจะมาไหว้ทุก 15 วัน หรือไม่มาก็ตามใจ!

 

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 3)

          ทําไมถึงเป็นลูกชังของอาปา ทั้งที่เป็นลูกชายคนโต เป็นความหวังของพ่อแบบจารีตจีนโบราณ ต้องเป็นลูกรักจึงจะถูก!

           ใช่...ไหง่เคยเป็นลูกรัก และความรักที่ป๊าให้ก็สลักอยู่ในหัวใจ ช่วงอายุ 12-20 ปี ไหง่ทํางานให้ครอบครัวอย่างถวายหัว เพราะเราเป็นครอบครัวช่างหนัง คือ กระเป๋า รองเท้า เข็มขัด ทําหมด

           แต่ยิ่งทํานานเท่าใด เพื่อนฝูงที่เคยคบหา ยิ่งหลบหน้าไม่คบหา?

           คําตอบจากที่เห็น คือ เขาเรียนสูงขึ้น ยิ่งถึงขั้นมหาลัย แม้เดินผ่านหน้าจังๆ ยังเมินไม่ทักทาย

            ทําให้ต้องย้อนกลับมาดูตัวเรา คงเป็นเพราะครอบครัวเราไม่มีการพัฒนาแน่ๆ เพราะพี่น้องหลายคนยิ่งทํางานมากเท่าไหร่ อาปายิ่งไม่อยู่ไม่ติดบ้าน ถ้าไม่เมากลับมา ก็หายไปทั้งคืน สายๆกลับมาเร่งทํางานเพื่อเอาของไปส่ง ซึ่งตีความได้ว่าเล่นไพ่เงินหมดกระเป๋าแล้ว ต้องรีบหาเงินไปแก้ตัวใหม่

           เรื่องแบบนี้ ไหง่เคยเห็นเป็นเรื่องปกติ เพราะเพื่อนที่อาปาคบ ก็มีสภาพไม่แตกต่างกันมากนัก คือ ชอบเที่ยว ชอบกินเหล้า ชอบการพนัน จะบอกว่าเป็นการเข้าสังคม อย่างหนึ่งของคนฮักกาที่มาจากเมืองจีนด้วยกันคงไม่ผิด

           เรื่องปกติของอาปา เริ่มเป็นเรื่องไม่ปกติของไหง่ที่เป็นลูก ที่ต้องเติบโตในสังคมไทย ไม่ใช่สังคมฮักกาแบบของอาปาแน่ ไหง่จึงเริ่มขอเรียนการศึกษารอบคํา เพื่อเพิ่มวุฒิให้เหมือนเพื่อนๆ แต่ป๊าไม่ยอม โดยอ้างว่า " ทุกจ้อหมักเกโตๆเสียมซู ทุกเอ่โว้ยเปี่ยนเฮ้เสี่ยมหงิ่น หม่อโย้ง อื่มซื่อทุก! "(เรียนไทยไปมากๆ เรียนแล้วจะเป็นแบบคนไทย ไม่ได้เรื่อง ไม่ต้องเรียน!) แกพูดแบบช่างรุ่นเก่า ที่พูดแล้วต้องฟัง ไม่ต้องเถียง

           ไหง่ถามกลับแบบซื่อๆ " แล้วอาปาจะให้ไหง่ทําแบบนี้ตลอดชีวิตหรือ? เพื่อนๆเขาเรียนมหาลัย ไม่มองไหง่แล้ว! "

            " ปัง " แกทุบโต๊ะ " อื่มซื่อชั้ง ไหง่ว้าอื่มซื่อทุกซู้อื่มซื่อทุก โม้ยโตก็อง! " (ไม่ต้องเถียง บอกว่าไม่ต้องเรียนก็คือไม่ต้องเรียน อย่าพูดมาก! " ปกติไหง่เป็นคนซื่อ เชื่อฟังป๊าเสมอ  แต่เมื่อสังคมรอบข้างเปลี่ยน ไหง่เริ่มเป็นหนุ่ม ชักเห็นว่าขืนเชื่อฟังป๊า เราน่าจะกลายเป็นคนไม่ปกติในอนาคตแน่...

           " ปักไม่ให้ไหง่เรียนเทียบรอบคํา ตอนเย็นไหง่ก็ไม่ทํางาน จะไปกินเหล้ากับเพื่อน " เป็นการตั้งเงื่อนไขขึ้นมา

           ป๊าคนขี้โมโหกับลูก เริ่มออกอาการจะรุนแรง " กีย็อกจังกินงั้งเอ่เฮ้หม่อ กําถุ่งไหง่ชั้งโจ้ย "(ปีกกล้าขาแข็งแล้วซีท่า ถึงกล้าเถียงพ่อแบบนี้!) ขาดคํา ฝ่ามือตบฉาดเข้าแก้ม ตามด้วยลูกเตะ จนไหง่เซ พวกอาจี้เห็นเข้ามาร้องห้าม และแยกไหง่ขึ้นเล่าเต้งไป นี่หากอาเมยังอยู่ คงไม่เกิดเหตุแบบนี้ และต้องเห็นด้วยกับที่ไหง่ขอแน่นอน

          ไหง่ถูกด่าว่า " ปีกกล้าขาแข็ง " อีกหลายครั้ง จึงตัดสินใจออกจากบ้านไปแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองในโลกกว้าง กระทั่งในป่าเขาอยู่หลายปี จวบย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯก็รู้ว่าป๊าวางมือกิจการทําเครื่องหนัง อยู่กับอาจี้คนที่ 2 ซึ่งมีลูกสาวที่ป๊ากับพี่น้องไหง่ ช่วยส่งให้เรียนจบมหาลัยฯ ซึ่งไหง่ก็มีส่วนช่วยในตอนที่ทํางานอยู่กับบ้าน

           หลังกลับมาค้าขายเล็กๆน้อยๆในกรุงฯ พอเหลือเงินบ้าง ก็เจียดให้ป๊า แต่แกก็ไม่ค่อยยอมรับ เพราะรู้ว่าเรามีครอบครัวแล้ว...

           แต่ไม่ว่าจะอย่างไร? ไหง่ก็ต้องระลึกถึงคุณของอาปา ที่ให้กําเนิดทั้งให้ความแข็งแรง จึงยืนหยัดต่อสู้กับความยากลําบากต่างๆได้ และจากการเห็นความรู้เป็นสิ่งสําคัญของอาเม และของไหง่ ลูกของพี่สาว-น้องสาวทุกคน ได้รับการส่งเสียให้จบมหาลัยหลังป๊าตายทั้งนั้น หาไม่จะกลายเป็นช่างเย็บหนัง เหมือนพี่สาวและน้องชายไหง่ อันเป็นงานอาชีพที่ต้องตรากตรําทํางานถึงดึกดื่น เพื่อสู้กับค่าครองชีพในกรุงเทพฯให้ได้

          ตามตรอก ซอก-ซอย กระทั่งในชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ ก็ล้วนมีฮักกาหงิ่นอาศัยอยู่ประปรายปนไปกับเฉ่าจูหงิ่นที่มีมากกว่าหลายเท่า และเสี่ยมหงิ่นเป็นพื้น

          ที่สําคัญ การเป็นคนส่วนน้อย ต้องแข็งแกร่ง ทนต่อการรังแกและแรงเสียดทาน และต้องพยายามยกระดับตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็ถูกรังแกรําไป..!

          ย้อนกลับมาเรื่องงานกงเต็กอาปา ในช่วงหนึ่งปีไหง่พยายามหารายได้พิเศษ และเล่นแชร์กับขึ้นแชร์ จนพอรวบรวมเงินได้แสนต้นๆ จึงโทรหาน้องสาวคนรองจากไหง่ ว่าจะช่วยงารนนี้เท่าไหร่ คําตอบคือช่วยไม่ไหว มีภาระลูกเรียนอยู่ 2 คน คงต้องปล่อยให้อาปาอยู่อย่างนั้นต่อไป ไหง่ว่า " นี่โลงอาปาโดนแดด-ฝนมาเป็นปีแล้ว! " กี่ตอบว่า " ถ้าไม่มีเงิน 10 ปีก็ต้องรอ " รู้ผลแล้วหนึ่ง

           ไหง่โทรหาอาจี้คนที่ 2 คนเก็บเงิน " อาจี้ ไหง่จะทํากงเต็กเอาป๊าไปฝังในอีก 15 วัน หงี่เห็นว่าไง? "

            " หงี่มีเงินแล้วหรือ? " กี่ถาม

            " มีแสนนึง กับเงินที่อาจี้เก็บไว้ 9 หมื่นน่าจะพอ? " ไหง่ว่า

             เสียงพูดเหนือการคาดเดาดังมาตามสาย " ลูกอาจี้ยืมไปลงบ้านหมดแล้ว!  ตอนนี้ยังขาดอยู่อีกหลายแสนเลย! "

              ไหง่ตอบ " ไม่เป็นไร? " เพราะแทบตลอดชีวิตไหง่ มักถูกโชคชะตาเล่นตลกเสมอ จนเคยชิน

               " หงี่เลื่อนไปก่อนละกัน " อาจี้ว่า

               " ปีนึงแล้ว ไหง่ไม่เลื่อน อีก 15 วันเอาป๊าไปฝังแน่นอน " ไหง่ยืนยัน

               อาจี้ออกเสียงหงุดหงิด " แล้วจะพิมพ์การ์ด กับแจกการ์ดทันหรือ? เพื่อนอาจี้เยอะแยะ "

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 4)

          " พิมพ์การ์ดงานศพไม่ช้าหรอก แค่วันสองวันก็ได้แล้ว " ไหงว่าตามจริง

           อาจี้ 2 " จี้ไม่รู้ว่าจะพิมพ์เท่าไหร่ เพราะไม่รู้จํานวนเพื่อนหงี่? "

          ไหง่ตอบเสียงเฉียบเข้าสายโทร " งานนี้ไหง่ไม่รบกวนเพื่อน ส่วนเพื่อนของอาจี้ก็ว่าในส่วนของอาจี้ไป เพราะงานกงเต็กของป๊า เป็นของลูกทุกคน แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ใครช่วยได้ก็ช่วย ไม่ช่วยก็ไม่ว่ากัน นอกนั้นไหง่จัดการเองหมด! "

           " ซองใครเป็นคนเก็บ? " จี้ 2 ถามยําให้ชัด

           ไหง่ตอบชัด " ซองเพื่อนใครคนนั้นก็รับไปทั้งหมด ไหง่ไม่เกี่ยว " และเป็นความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ เพราะงานศพปีที่แล้ว คนที่มาส่วนใหญ่เป็นเพื่อนไหง่ การทํากงเต็กครั้งนี้จึงไม่กล้ารบกวน ถือเป็นเรื่องของลูกชายกับพ่อ ส่วนอาจี้ 2 อาจมีเพื่อนที่ปีก่อนไม่มา จะเชิญมาก็เป็นเรื่องของกี่ไหง่ไม่เกี่ยว เพียงไหง่ทําตามหน้าที่ของลูก 

           เมื่อพูดสิ่งที่ควรพูดแล้ว " แค่นี้นะ รายละเอียดอย่างอื่นค่อยค่อยว่ากัน! "

           " เออ...หงี่จะเอาอย่างนั้นอาจี้แค่ไปงานเท่านั้น! " นําเสียงบอกความไม่พอใจ ซึ่งความจริงนําเสียงแบบนี้น่าจะเป็นของไหง่มากกว่า

           หลังวางโทรศัพท์ ไหง่ขี่มอร์ไซค์มาที่ร้านขายโลงศพ ซึ่งถือเป็นร้านมีชื่อย่านฝั่งธน หน้าร้านดูธรรมดา ส่วนภายในร้านตบแต่งสวยงาม ตัวเถ้าแก่ออกเป็นอาร์ตตีสสักหน่อย คือไว้ผมยาวประบ่า ลีลาการพูดเนิบนาบ " ค่าของไหว้ในพิธีกงเต็กทั้งหมด ตกประมาณ 7-8 หมื่น ส่วนพระจีนแคะ(หว่อซ้ง)ตก 3.5 หมื่น ถ้าแจโกวแคะ(ไจจี้) 2.5 หมื่นส่วนค่ารถบัสเล็กกับคนแบกโลง หมื่นนึง " นี่เป็นราคาเมื่อปี 2542

           " เฮียมีแจโกวแคะชุดเล็กไหม? เอาแค่วันเดียว " ไหง่ลองถาม

           " มี ทําพิธีแค่ตอนคํา 8 พัน แล้วของไหว้ว่าไง? "

           " ผมเงินน้อย ทําใหญ่อย่างนั้นไม่ได้ เฮียก็รู้ ผมซื้อโลงที่นี่ โลงยังฝากอยู่ที่วัดเลย " แกฟังแล้วยิ้มก่อนว่า..

           " คุณมีบัตรเครดิตรึเปล่า เรื่องนี้เราผ่อนกันได้ ไม่มีปัญหา! " ใช่ สําหรับกี่ไม่มีปัญหา แต่ไหง่มีปัญหาแน่ เพราะค่าแชร์ที่จะตามมาเป็นหมื่นต่อเดือน แล้วยังต้องมาผ่อนเฮียอีก มันเกินกําลังไปมากๆ

           ไหง่จึงเจาะเฉพาะที่ต้องการ " เฮีย..ผมพูดตรงๆ งานนี้ผมรับคนเดียวเต็มๆ ขอใช้บริการเฮียแค่รถบัสกับคนหามโลงละกัน! "

           แกคงยิ้มอย่างใจดี " แล้วหลุมฮวงซุ้ยละ ของเฮียก็มีนะ ที่สวยๆแถวชลบุรี ราคาไม่แพง อย่างธรรมดาแค่ 2.5 แสน แต่ถ้าผ่อนถูกแพงก็ดูระยะเวลายาวสั้น ตอนนี้ก็เกือบเต็มแล้ว "

          " แม่ผมฝังที่แปะฮุ้งสระบุรี เตี่ยก็ต้องไปฝังนี่นั่นเหมือนกัน แยกไม่ได้แน่ " ไหง่ว่าตามจริง และสิ่งที่ยิ่งกว่าจริงคือ ไหง่มีแค่ 1 แสน ก็จะทําอยู่ในขอบเขตนี้เท่านั้น

           เฮียแกถอนใจ " เอาตามใจ งั้นเฮียจะให้รถไปตอนเช้า 7 โมงเช้าตามนัด โอ.เค.ตามนี้ "

           การที่เถ้าแก่ร้านโลงศพผู้รํารวย เสนออะไรต่อมิอะไรให้ไหง่ มันมีเรื่องลึกๆอยู่ แต่พูดแล้วเรื่องจะยาว เอาเป็นว่าไหง่ได้รถเรียบร้อย

           คราวนี้มาที่สํานักงานของแปะฮุ้ง ซึ่งเดี๋ยวนี้ใช้ชื่อ " มูลนิธิ สามัคคีการกุศล สงเคราะห์ " รองเมือง ซ.4 ปทุมวัน กทม. คนรับเรื่องซื้อหลุมฮวงซุ้ย เป็นอาปัก 6-70ปี ขึ้น เห็นไหง่ครั้งแรก ก็ทักเป็นภาษาเฉ่าจู แต่พอบอกเป็นฮักกาหม่อยแย้น แกพูดฮักฟ้าทันที ไหง่ขอหลุมที่ไม่เกิน 8 หมื่นมีหรือเปล่า? กี่ส่ายหน้า มีแต่แสนขึ้นทั้งนั้น..

           ไหง่เงียบอยู่ครู่ เพราะไม่รู้จะทํายังไงดี? อาปักก็เสนอ " มีอยู่ที่นึง ถูกหน่อย มีคนจองแล้วทิ้งมัดจํา หงี่ไปดูก่อนก็ได้ ไหง่ช่วยให้อยู่ในราคาของหงี่ "

           ไหง่ตะครุบทันที " โอ.เค.เลยปัก ถ้าอยู่ในวงเงิน 8 หมื่น "

            " ไม่ดูก่อนนะ ตามใจ งั้นบอกชื่อแซ่ หมู่บ้าน ตําบลที่อยู่ของป๊าหงี่มา อ้อ แล้วกําหนดวันฝังหรือยัง? " อาปักคนรับเรื่องถาม

            ไหง่ให้ข้อมูลแล้วจึงถามกลับ " 2 อาทิตย์ ซักปี่(ป้ายหน้าหลุม) เสร็จทันรึเปล่า? " อาปักพยักหน้า แล้วว่าสั้นๆ

            " จ่ายเงินเรียบร้อย ทุกอย่างก็พร้อม! " ไหง่เขียนเช็คเงินสดให้กี่ไป พร้อมรับใบเสร็จชั่วคราว ส่วนตัวจริงไปรับที่สุสานแปะฮุ้ง หรือ " พักหยุ่นท้าวซัน " สระบุรี

            การที่ไหง่ทําทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จคนเดียว ก็เพราะงานนี้ไหง่รับคนเดียว สิ่งที่คนอย่างไหง่ทําได้ ก็ได้ทําอย่างสุดความสามารถแล้ว ส่วนนอกเหนือจากนี้...

            อยู่ที่สวรรค์...สวรรค์ลิขิตอย่างไร? ไหง่รับได้เสมอ...!

            ทุกอย่างพร้อมแล้ว เท่าที่เงิน 1 แสนบาทบันดาลได้ แล้วไม่ต้องทํา " กงเต็ก " หรือ?...

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 5)

          ปกติการซื้อฮวงซุ้ยหลุมฝังศพ เขาต้องไปดูกันทั้งนั้นว่า ชัยภูมิฮวงจุ้ยเป็นอย่างไร อันที่จริงเรื่องฮวงจุ้ยนี้เป็นศาสตร์ชั้นสูงของจีนมาแต่โบราณ เขากําหนดชัยภูมิที่ดีเยี่ยม สามารถให้คุณต่อลูกหลานได้ยาวนานในด้านต่างๆ คือ สถานที่ๆมีลักษณะเป็นวงจร เช่น ด้านหลังสุสานมีเขาเป็นรูปหลังเต่าอยู่ทิศเหนือ มีเทือกเขาสองด้านเท่ากัน ยื่นออกมาคล้ายเป็นขาหรือแขน ด้านขวาทิศตะวันตกเรียกว่า " เสือขาว " ด้านซ้ายทิศตะวันออกเรียกว่า " มังกรเขียว "  ด้านหน้ามีลําธารไหลผ่าน ซําต้องมีเนินเขาทรงโสลปอันเป็นทิศใต้เรียกว่า " หงส์แดง "

          ในเมืองจีนอันกว้างไพศาล เต็มไปด้วยเทือกเขา ยังหาชัยภูมิแบบนี้ได้ยาก หากมีที่ใกล้เคียง ก็เป็นสุสานของคนชั้นสูง ชาวบ้านธรรมดาหมดสิทธื ยิ่งสถานที่ใดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลิ้นมังกร หากคนสามัญเอาพ่อ-แม่ตนไปฝัง หากทางการรู้ทีหลัง อาจตายทั้งตระกูล เพราะอาจเกิดทายาทขึ้นมาแข่งบุญฮ่องเต้ได้

           นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของรูปแบบตัวฮวงซุ้ย จะใช้พุ้งซู่กี่ชั้นแบบไหน และทิศทางของป้ายสุสานต้องหันไปทิศทางใด จะให้คุณแก่ลูกหลานได้มากที่สุด

           ลวดลายบนตัวฮวงซุ้ย และลานหน้าฮวงซุ้ย รวมทั้งตัวหนังสือ ควรเลือกใช้อย่างไร ทุกเรื่องมีความละเอียดอ่อน จึงถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง ต้องใช้ซินซางผู้เชี่ยวชาญ ความจริงเรื่องนี้ ฮากกามีความเชี่ยวชาญสูงมาก ดูตัวอย่างได้จากถูโหลว สร้างตามหลักฮวงจุ้ย จึงให้ลูกหลานมีคุณภาพออกมาแข่งขัน จนมีชื่อเสียงเสมอๆไม่ขาดตอน ทั้งตัวถู่โหลวก็มั่นคง ต้านทานต่อลมฝนและแผ่นดินไหวได้หลายร้อยปี

          ความสําคัญลึกซึ้งของฮวงซุ้ย ยังมีความแยบยลลี้ลับอีกมาก (ที่ไหง่จะอธิบายเป็นภาคผนวกตอนท้าย) จึงเป็นเรื่องปกติที่ลูกหรือผู้เกี่ยวข้อง ต้องไปดูหลุมฮวงซุ้ยก่อนตามสัญชาติญาณ

          แต่ไหง่อยู่ในภาวะไม่ปกติ พี่น้องชาย-หญิงล้วนเป็นช่างที่ต้องหาเลี้ยงชีพ ไหง่เองก็ต้องจัดเตรียมเรื่องงานของตัวเองให้ดี ก่อนถึงวันทํา " กงเต็ก " ตามแบบของไหง่ จึงไม่มีเวลาไปดูหลุมสุสานฮวงจุ้ยของป๊า

        จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสวรรค์ ที่จะลิขิตบันดาลให้เป็นไป....?

         จวบสายวันนี้ อันเป็นวันสุกดิบ ไหง่จึงมากราบไหว้บอกกล่าววิญญาณของป๊า ว่า..." อาปา ไหง่ไม่มีเงินมากพอที่จะทําพิธีกงเต็กแบบฮากกาหงิ่นได้ ไหง่ขอทํากงเต็กให้ป๊าด้วยชีวิตของไหง่ คือ บวชจ๊อหว่อซัง 1 เดือน ถ้าปําไม่พอใจจะบันดาลให้เกิดอะไรก็ได้ ขอให้ปําพอใจ ไหง่สัญญาว่าตลอด 1 เดือน ไหง่จะเข้าโบสถ์สวดอุทิศส่วนกุศลให้ป๊าและอาเมทุกวัน ทั้งเช้า-เย็น "

           มีเงินก็ใช้เงิน เมื่อเงินไม่มี ก็ขอใช้ชีวิตของตัวเองทํากงเต็กแทน นี่คือถึงที่สุดของไหง่แล้ว!

           เรื่องการบวช ก็เพียงไปขอบวชแบบบวชหน้าไฟกับเจ้าอาวาส ส่วนเรื่องสะบงจีวร ก็ขอจากวัด โดยทําบุญให้ทางวัด 3,000 บาท ได้ 2 ชุด เพราะตอนเที่ยง มีหลานชายลูกไท้จี้ขอบวชร่วมด้วยอีกคน

            ช่วงบ่าย ไหง่ซึ่งมีเพื่อนเป็นพระในวัด กี่ได้ช่วยเกณฑ์เด็กวัดหลายคนร่วมทั้งตัวไหง่กับหลาน ช่วยกันย้ายโลงป๊ามาที่ศาลาบําเพ็ญกุศล พอบ่าย 3 โมง พระก็มาปลงผมให้ไหง่กับหลานชาย

              เสร็จจากปลงผมแล้ว ก็เข้าไปขอบวชให้เจ้าอาวาทคล้องจีวรให้ เป็นอันเสร็จพิธี อย่างที่เรียกว่าบวชหน้าศพ ปกติเขาบวชกันแค่เสร็จพิธีศพ ก็ลาบวชกันเลย ส่วนของไหง่ต่างออกไป ส่วนหลานชายก็อยู่ที่เขา

               คําคืนควรที่จะเป็นการทํากงเต็กเสียงอุกทึกแบบฮักกาหงิ่น ก็เป็นการสวดพระอภิธรรมแบบไทย โดยมีพระ 8 รูป ถือได้ว่าเป็นงานของครอบครัวจริงๆ เพราะไม่มีคนนอก แม้อาจี้ 2 บอกว่าจะเชิญเพื่อนกี่ ก็มีเพียงกี่กับลูกสาวมาฟังพระสวดเหมือนพี่น้องคนอื่นๆ

              งานนี้มีญาติผู้ใหญ่คืออาสุก 2  คน กับอาพักซินซางพี่เมียของอาสุกคนเล็กมาร่วมงาน ไหง่เชื่อว่าหากเพื่อนปําที่ลงเรือมาจากเมืองจีนด้วยกันยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาต้องมาร่วมงานด้วยเป็นแน่ ดูได้จากงานศพของอาเมเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ที่จัดที่วัดตึกหรือวัดชนะสงครามแถวคลองถม ที่ถือได้ว่าเป็นย่านเยาวราช คนที่มาร่วมงานล้วนเป็นเพื่อนและญาติที่มาจากเมืองจีนกว่า 200 คน เพื่อนร่วมกู้เฮยียง(หมู่บ้านเดียวกัน)ไม่ทิ้งกันจริงๆ

              และธรรมเนียมปฏิบัติที่ฮักกาหงิ่นถือว่าสําคัญในชีวิต มี 2 วัน ที่จะจัดงานใหญ่ คือ วันแต่งงาน กับวันพิธีศพคนตาย ซึ่งถือเป็นครั้งสุดที่ต้องให้เกียรติมางาน

              อาจี้ 2 ทําตามที่พูดอย่างไม่บกพร่อง คือ ขณะไหง่ซึ่งครองผ้าเหลืองพนมมือนั่งฟังพระสวดบนโซฟา ลูกสาวกี่ยื่นซองให้ อาจี้ 2 รีบเข้ามาบอกว่า " ไม่ต้องช่วย งานนี้อาคิวหงิ่วจัดการเองทั้งหมด! " ว่าแล้วหยิบซองจากมือลูกสาวเก็บไว้

             ถูกต้อง ไหง่ยิ้ม ไหง่ไม่มีความโกรธเลย เพราะถือว่าค่าดูแลป๊ากี่ได้จากงานของป๊าไปแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของไหง่ที่ต้องทดแทนบ้าง มันก็เท่านั้น!....

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 6)

           ไหง่เคยผ่านงานพิธีศพแบบฮักกาเต็มร้อย 2 งาน คืองานของอาไท้ปัก เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คือ ลูกกี่เล็กมาก(เพราะเป็นลูกเมียน้อยคนที่ 3 ในเมืองไทย ส่วนลูกที่โตๆ อยู่เมืองจีนหมด) ไหง่เป็นตัวเลือกแทนลูกอาไท้ปัก ตอนนั้นไหง่อายุประมาณ 11 ขวบ ต้องใส่เสื้อ-กางเกงกระสอบ โพกผ้ากระสอบ ถือคฑาไม้เท้า เป็นตัวแทนลูกชายคนโต เวลานั่งหน้าโลงศพ ที่ตบแต่งอย่างเคร่งขรึมหนักแน่น ชายซ้าย-หญิงขวา

        ต้องนั่งก้มหน้ามองพื้นนิ่ง เวลามีแขกทยอยมาไหว้คํานับศพ ห้ามเงยหน้าขึ้นมอง

        การถือกระถางธูปของเด็ก 11 ขวบ ต้องเดินตามพระสวดยกละ 1 ชั่วโมง ถือเป็นความทรมานอย่างมาก เพราะควันธูปลอยเข้าตาตลอดเวลา นําตาไหลซึมเรื่อยๆ ตอนเหนื่อยหนักที่สุด ก็ตอนวิ่งไล่พระรอบต้นไม้ ซึ่งถือเป็นการใช้หนี้ยาสมุนไพร และตอนสุดท้าย ที่กราบไหว้ระลึกคุณต่อต้นสายโลหิต ลุกขึ้น-นั่งลงเกือบร้อยครั้งเห็นจะได้

         ส่วนที่รู้สึกสนุก คือ ตอนที่พระเล่น " หล่อเพ็ดฟา " ควงฉาบ ร่อนหมุนฉาบปลายไม้ยาว ที่ตั้งเลี้ยงบนหน้าผาก และการเหวี่ยงสลัดฉาบออกไป 3 เมตร แล้วหมุนย้อนกลับมาหาพระผู้โยน พิธีหล่อเพ็ดฟารู้สึกมีแต่ของฮากกา นอกนี้ก็มีคฤหาสถ์กระดาษ คนใช้ชาย-หญิง รถ ตู้ เตียง ของพวกนี้ เผาโดยมีพระสวดส่งอุทิศ ในช่วงสุดท้ายของพิธีศพ ตอนนั้นกว่าจะถึงพิธีนี้ ประมาณ 3-4 ทุ่ม

         ตอนงานศพอาเม พิธีกงเต็ใช้ " ไจจี้ "(แม่ชีจีน) ตอนนั้นไหง่ลูกชายคนโตในเมืองไทย ก็ต้องถือกระถางธูปแบบเดียวกับงานไท้ปัก พิธีอะไรต่างๆ ก็เป็นแบบเดียวกับหว่อซ้ง(พระจีน) แต่เหนื่อยล้าน้อยกว่า เพราะไหง่โตเป็นวัยรุ่นแล้ว ไม่ใช่เด็กแบบงานไท้ปัก ทั้งสองงาน มีนายกสมาคมฮากกามาร่วมคํานับศพ

          แต่งานศพของอาปา ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปจากเยาวราช คนรุ่นเก่าๆที่มาจากตําบลหมู่บ้านเดียวกัน หรือเพื่อนรุ่นเดียวกับอาปาก็แทบไม่เหลือ ที่เหลือก็ไม่รู้แยกย้ายกันไปอยู่ไหน?

          งานศพของอาปา เหลือแก่นแกนของฮากกาจริงๆ คือการฝังศพในฮวงซุ้ยเท่านั้นเพราะเมื่อไม่ใช้หว่อซ้งทําพิธี ก็ไม่มีใครต้องใส่เสื้อกระสอบ

          แรกๆคิดว่าเราทํานอกกรอบคนเดียว รุ่นหลังๆนี่ มีทั้งทําแบบไทย คือพระสวดตามกําหนดวัน แล้วขึ้นเมรุเผา บางทีก็มีทํากงเต็ก เสร็จก็ขึ้นเมรุ พิธีทําศพของคนจีนในกรุงเทพฯ ระดับชาวบ้าน จึงมีหลากหลาย 

         ที่ยังเคร่งเหมือนเดิม ส่วนใหญ่มักมีการค้าที่ต่อเนื่องจากบรรพบุรุษมา นี่พูดถึงเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่าที่ไหง่สัมผัสมา

         วกเข้าเรื่องของไหง่ หลังเสร็จงานสวดอุทิศส่วนกุศล 2 ทุ่มเศษ ก็เข้านอนในกุฏิกับพระหลานชาย แม้กุฏิจะเล็กนอน 2 คน ถ้าดิ้นก็ติดฝ่า ห้องกว้าง 2.5/3 ม. แต่หลับด้วยความอ่อนเพลีย เพราะต้องงดข้าวเย็น

         รุ่งเช้า พวกพี่น้องช่วยกันทําอาหาร เลี้ยงพระเช้า ตอนใกล้เคลื่อนโลงขึ้นรถ มีเพื่อนๆ 10 กว่าคนมางาน คนที่เคยบวช ก็ช่วยชี้แนะการนุ่งห่มจีวร ซึ่งดีมาก เพราะไหง่นุ่งห่มไม่เป็น นอกจากนี้ยังรวมเงินใส่ซองให้ แม้ไหง่จะปฏิเสธ แต่เพื่อนว่า..

         " กูไม่ได้ให้มึง กูช่วยงานเอาบุญ " เมื่อเป็นแบบนี้ ไหง่จะไม่ทําให้เพื่อนผิดหวัง

          แล้วเรื่องไม่คาดคิดก็ตามมาอีก 2 อาสุกกับ 1 พักซินซางไม่เพียงให้ซอง ยังตามไปส่งศพถึงพักหยุ่นท้าวซัน

           พิธีกรรมระหว่างรถเดินทาง ก็เหมือนที่เคย คือ มีการโปรยเงินเหรียญและกระดาษเงิน-ทอง เวลาลอดใต้สะพานลอย หรือข้ามสะพาน เหมือนการซื้อทางตามความเชื่อ ซึ่งว่าที่จริงมันมาจากประสบการณ์จริงของคนโบราณ ที่เวลาเคลื่อนย้ายศพต่างเมืองกลับบ้านเดิม เซียนซือแบบที่เราเห็นในหนังประเภท " ผีกัด อย่ากัดตอบ " เขามีพลังให้ศพเดินกระโดดเองจริงๆ ไม่ใช่ใส่รถบรรทุกหรือแบกหามกันมา เวลาข้ามสะพานต้องตะโกนขอซื้อทาง แล้วโปรยกระดาษยันตร์พร้อมเศษเงิน ไม่อย่างนั้น ศพกระโดดข้ามสะพานไม่ได้ เรื่องการจุดตะเกียงไว้ใกล้ศพก็เช่นกัน ต้นเค้าเงาเรื่อง มาจากสามก๊กตอนขงเบ้งตาย สุมาอี้เห็นดาวประจําตัวขงเบ้งตก ก็รู้ว่าขงเบ้งตาย แต่พอทหารขงเบ้งจุดตะเกียงตามที่ขงเบ้งสั่งก่อนตาย ดวง-ดาวประจําตัวขงเบ้งกลับขึ้นมาสดใส สุมาอี้ที่สั่งทหารจะให้เข้าโจมตีขงเบ้ง พอเห็นดวง-ดาวประจําตัวคู่สงครามไม่ได้ดับ จึงตาลีตาเหลือกรีบสั่งทหารถอย ทัพขงเบ้งจึงปลอดภัย คนรุ่นหลังจึงถือเป็นแบบอย่าง

            เมื่อรถมาถึงสุสานพักหยุ่นท้าวซัน ต้องเคลื่อนโลงลงพักศาลาก่อน พระที่ตามรถไปด้วยพักฉันเพล อาจี้ 2 นําเอกสารจากเขตกับใบเสร็จจองหลุมยื่นให้เจ้าหน้าที่สุสานตรวจสอบ

           จากนั้นจึงเคลื่อนโลงศพตามรถเจ้าหน้าที่ ไปที่หลุ่มฮวงจุ้ย ซึ่งต้องขึ้นเขาลูกย่อมๆ พอเห็นหลุมฮวงซุ้ย ก็รู้ทันทีว่า ทําไมคนจองหลุมจึงทิ้งมัดจํา แล้วทําไมถึงได้ในราคา 8 หมื่น มันเข้าสุภาษิตเป๊ะ ผีถึงป่าช้า...

          

                                                                                                                               

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอน 7)

           ใช่ เมื่อโลงจําปาเคลื่อนมาถึง สุสานหลุมฮวงซุ้ยแล้ว ยังไงก็ต้องฝัง!

           ไม่มีทางอื่นให้เลือกเด็ดขาด ไม่ว่าจะไม่พอใจแค่ไหน?

           หลุมฮวงซุ้ยที่ฝังป๊า เป็นแบบที่เรียกว่าห้องแถวแบบ " ทาวเฮ้าส์ " คือมีช่องว่างระหว่างพุ่งซู่(ปีกของตัวสุสานที่ก่อขึ้นโอบป้ายชื่อหินสลักอีกที) ประมาณ 1 ฟุต มีลานว่างหน้าป้ายหินสลัก กว้างประมาณ 2/1 ม.

            ทุกอย่างของหลุมฮวงซุ้ยนี้ ก็เหมือนหลุมอื่นๆที่อยู่ข้างเคียง มีต่างอยู่เด่นชัดตรง...!

            ตรงที่หน้าซักปีด้านขวา มีต้นยางใหญ่ 2 คนโอบสูงตระหง่านเท่าตึก 4 ชั้นได้ ยืนต้นลึกเข้ามาหน้าลานเกือบเมตร ที่ด้านซ้ายเยื้องพุ้งซู้ขึ้นไปฟุตนึง มีต้นไม้ป่าใหญ่เท่าโคนขา แม้ไม่บังซักปี แต่ขึ้นใกล้เสียอย่างนั้น ก็เท่ากับเสียภูมิทัศน์ของหลุมฮวงจุ้ย

           คนมีเงิน ก็ย่อมอยากได้ของที่ไร้ข้อตําหนิ แต่เมื่อมีข้อตําหนิ และทางสุสานไม่จัดการตัดออก ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใด คนจองซื้อเก่าจึงยอมทิ้งมัดจํา ดีกว่าต้องมาค้างคาใจกับข้อตําหนินี้

           ทุกคนที่มาส่งศพต่างเห็นข้อตําหนิ แต่ไม่มีใครพูดอะไร เป็นเสมือนกองทัพกล้าเคลื่อนแล้ว เจอศึกหนักแค่ไหนต้องเข้าปะทะตีฝ่าเท่านั้น โดยมีไหง่กับหลานเป็นพระเดินนําหน้าคนหามโลง 8 คน เดินมาที่หลุมฮวงซุ้ย ที่อยู่ห่างถนนซอย 30 เมตรได้

           โลงจําปาวางพักตรงคานไม้ พระที่นิมนต์มาด้วยทําพิธีสวด ไหง่เองก็สวดชินะบัญชรที่สวดประจําเหมือนกัน แต่สวดอยู่ในใจ พวกพี่-น้องและหลาน ต่างโยนเหรียญ 5-10 ลงหลุม ตามเคล็ดว่าเป็นการซื้อที่ คนละเหรียญสองเหรียญ อาสุกน้องชายแท้ๆของปํา พูดคํามงคลพร้อมโปรยเมล็ดเบญจพืช กระทบโลงเสียงกราว ก่อนเมล็ดเบญจพืชร่วงลงหลุม อาพักซินซางมาวัดชี้แนะ ให้ค่อยๆหย่อนโลงให้อยู่ในจุดศูนย์ของหลุมให้มากที่สุด ไม่ให้กินซ้าย-ขวาหรือหน้า-หลัง ทุกด้านต้องเท่ากัน เพื่อมิให้เป็นคุณแก่ลูกชาย-หญิงเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ต้องให้เสมอเท่าเทียม

          การจัดของเซ่นไหว้ พี่สาวน้องสาวช่วยกันจัด มีทั้งชุดของเจ้าที่ และชุดของอาปา จากนั้นฝ่ายชายปักธูปก่อน เวียนตามด้วยฝ่ายหญิง

          ขณะที่เขาสาระวนเรื่องกราบไหว้ ไหง่มายืนใกล้ต้นยางใหญ่ ตบเบาๆสองสามทีก่อนพูดในใจว่า " ขอฝากฝังพ่อผมด้วย เขาเป็นลูกหลานของหยําว่องตี้ เดินทางข้ามนําข้ามเขามาฝังไว้ที่นี่ แม้มิให้คุณก็อย่าให้โทษ หากผิดพลาดประการใด ขอษมาโทษด้วย " จากนั้นไหง่จุดธูปใหญ่ 1 ดอก ยกชูขึ้นฟ้าก่อน แล้วจึงกลับมาพนมไว้ ไหง่พูดในใจว่า..

         " ไหง่กิ้นหยําว่องตี้จู่เซียน เงียจื้อซุนก้อเชียนซันวั้นส้ยหล่อยเต้าเสี่ยมหล่อ กินงาปาเก้ซืน-เฟิ่นไหม่ฉอยนี่เก้กิดทู่ หยําหว่องตี้โอ้ยตอเป้าฟู้เงียเก้จื้อซุนผิงออนไคว้ลก ยิดลู้ซุ้นฟุง เชียนวั้นงาเก้ฟุกฮี้เหี่ยนกงหยําหว่องตี้จู่เซียน "(ข้าฯขอถวายความเคารพต่อเทพเจ้าแห่งลุ่มแม่นําเหลือง ลูกหลานของท่านข้ามภูเขาทะเลมาถึงสยาม บัดนี้บิดาข้าฯ ได้ทอดร่างจิตญาณฝังในที่มงคลแห่งนี้ ขอเทพเจ้าแห่งลุ่มแม่นําเหลือง ปกป้องคุ้มครองลูกหลานของท่าน ให้สุขสวัสดี บุญกุศลใดๆของข้าฯ ขอมอบแด่ท่าน ) จากนั้นไหง่ปักธูปดอกใหญ่นั้นไว้ข้างช่องว่างด้านซ้าย ซึ่งทุกคนมองอย่างแปลกใจ แต่ไหง่ทําเฉยไม่พูดอะไร!

        คนเราก็เป็นแบบนี้แหละ ชีวิตบางครั้งก็ทําแบบลิเกที่เคยดูแคลนว่า พูดขออะไรงมงาย ว่าเขาเพราะเรื่องไม่ถึงตัว แต่เมื่อเรื่องมาถึงตัว ก็ต้องหาหลักยึดของใจมาช่วย ทั้งที่ไม่รู้ว่าช่วยหรือเปล่า?

         มันเป็นเหตุผลเดียวกับ ต้นยางใหญ่ติดหน้าลานฮวงซุ้ย ไม่รู้ว่าจะให้โทษหรือไม่?ยังไงขอกันไว้ก่อนให้สบายใจ

         ส่วนอนาคต..อะไรจะเกิด ไม่ว่า " ร้าย " หรือ " ดี " ก็ต้องยอมรับกันไป!

         ถ้าเปรียบพลังฮวงซุ้ยของอาเม ที่อยู่ห่างจากของป๊าลงไป 300 เมตรเศษ ฝังมานาน 30 ปีเศษ ตลอดเวลาเหล่านั้น สุขภาพลูกหลานดี ไม่มีโรคภัยอะไรร้ายแรง แต่ส่วนฮวงซุ้ยของป๊าที่ส่งผลต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังจะว่ากันต่อไป...!

         เรื่องพวกนี้ ไม่มีข้อเปรียบเทียบ ไม่มีประสบการณ์ คงอธิบายไม่ได้บอกไม่ถูกแน่ๆว่ามีจริงหรือ? มันเป็นอย่างไร?

          เรื่องของชีวิต ก็ต้องใช้ชีวิตพิสูจน์เรียนรู้ จึงเข้าถึงความจริง!

           

เรื่องเก่า? ที่ใหม่เสมอๆๆ...! ! !...(ตอนจบ)

          หลังพิธีฝังศพป๊า ในฮวงซุ้ยที่แลมีข้อตําหนิ แต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น ตามพิธีของฮากกา ซึ่งอาสุกกับพักปักซินซาง ญาติผู้ใหญ่มาช่วยกํากับดูแล

           ทุกอย่างที่จัดการลงไป เป็นฤกษ์สะดวกทั้งสิ้น ผลคือทุกอย่างเป็นไปอย่างสะดวกดาย!

            วันที่ 3 ของการเป็นพระใหม่ ต้องตื่นแต่ตี 5 น. อาบนํานุ่งห่มจีวร ออกจะทุลักทุเล และออกจะเขินๆในการบิณฑบาตร เพราะตลอดชีวิตไม่เคยขอ มีแต่ต้องทํางานจึงมีเงินซื้อ เมื่อต้องเดินบิณฑบาตร ก็เหมือนการขอ เพียงแต่ไม่ออกปาก

           ความเป็นพระใหม่ ไม่รู้เส้นทางการบิณฑบาตร แต่ก็ตั้งใจว่าจะไม่เข้าตลาด จะเดินไปตามตรอกซอยติดทางรถไฟ ได้พอบาตรก็พอ

           มันเป็นครั้งแรกที่ออกจะตื้นตันใจ จนนําตาไหลในอก เมื่อโยมผู้หญิงแถวทางรถไฟวงเวียนใหญ่ ใส่บาตรด้วยอาหารคาว-หวาน ทําไมช่างใจบุญอย่างนี้ เพราะของที่ใส่บาตร ล้วนต้องใช้เงินซื้อหา  และกว่าจะได้เงิน ต้องทํางานเหน็ดเหนื่อย ตัวเองไม่กินไม่ใช้ กลับนําเงินนั้นมาซื้อของใส่บาตรให้พระง่ายๆ ทั้งที่เงินหาได้ไม่ง่ายนัก

          จากความรู้ค่าของเงิน ทั้งรู้ต่อไปว่าของที่บิณฯได้มา เป็นศรัทธาหวังบุญกุศลแท้ๆ พระหงิ่วหลังบิณฯ ก็ได้เวลาทําวัดเช้า  เสร็จแล้วจึงลงฉันที่กุฏิ ช่วงอาทิตย์แรกยะถาสัพพีอุทิศส่วนกุศลไม่เป็น ก็ว่าตามคิด ขอให้ผู้ใสบาตรได้กุศลตามบุศวาสนา และลงท้ายขอให้กุศลการเป็นพระของไหง่ อุทิศแด่อาปา-อาเม

          ไหง่ปฏิบัติตามหน้าที่ของพระไม่ขาดตกบกพร่อง จนมาถึงวันที่ 25 ของการห่มผ้าเหลือง จึงรู้ว่าเราเป็นแค่เณรเฒ่า เพราะมีคนมาทําบุญเลี้ยงภัตตาหารที่คณะ ไหง่ถูกจัดให้อยู่บ้วย ฉันกับเณรเด็ก

           การเป็นเณรของไหง่ แท้จริงปฏิบัติตัวเหมือนพระภิกษุผู้เคร่งในศีลาจาวัตรทุกประการ 1 เดือนโปรดสัตว์ไม่เคยขาด ลงโบสถ์เช้า-เย็นไม่เคยขาด นั่งสมาธิกรรมฐานครึ่งชั่วโมง อุทิศส่วนกุศลให้ญาติโยมไม่เคยขาด

           จวบครบเดือน ตอนลาสิกขา ได้ถวายเงินที่ญาติโยมใส่ซองให้แทนอาหาร หลายพันอยู่ มอบถวายให้เจ้าอาวาททั้งหมด ไม่ได้เอาไว้แม้แต่บาทเดียว

            ส่วนหลานที่บวชร่วมกันมา ขออยู่ต่อ โดยทําพิธีบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ไม่ใช่พระบวชหน้าไฟ(จริงๆแค่เป็นเณร รับศืล 10 ก็เสร็จแล้ว) กี่อยู่ต่อ 3 ปี จนสอบได้นักธรรมเอก

           ไหง่หลังสึกออกมา ก็ค้าขายอย่างที่เคย แต่ออกจะขายดีมีลู่ทางใหม่ๆ มีเพื่อนใหม่ๆ จากอยู่บ้านเช่า ก็ย้ายมาเซ้งตึก 3 ชั้นอยู่ การค้าที่เคยมีเงินหมุนเวียนหลักหมื่น กระโดดขึ้นมาเป็นหลักล้าน

          เมื่อมีเงิน ก็มีเพื่อนชวนกิน-ชวนเที่ยวทุกคืน แถมบางครั้งยังให้เพื่อนยืมเงินอีกต่างหาก เหมือนเป็นการสร้างบารมี ชีวิตไหง่เริ่มมีเค้าคล้ายๆชีวิตป๊าเข้าไปแล้ว ที่มีเพื่อนมากคอยลากเข้าสังคม

          จวบเข้าปีที่ 2 หลังป๊าฝัง อาโกซึ่งเป็นผู้อํานวยการโรงเรียนที่เหม่ยเยี้ยน ได้เดินทางมาเที่ยวเมืองไทย แต่เป้าหมายจริงๆ ต้องการมาไหว้อาปา-อาเม นับจากรถตู้ออกจากโรงแรมที่อาโกพัก จวบถึงสุสานพักหยุ่นท้าวซัน ฟ้าคลึ้มมาตลอดทาง ดุจฟ้า-ดินรับรู้หัวใจแห่งความกตัญญู ของลูกจากเมืองจีน

          ไหง่พากี่มาที่ฮวงซุ้ยป๊าก่อน อาโกเห็นต้นยาง-ต้นไม้ป่าแล้วส่ายหน้า พอมาที่หลุมฮวงซุ้ยของอาเม ตอนนั้นนอกฤดูชิงหมิ่ง ต้นเล็บเหยี่ยวขึ้นปกคลุมเต็มหมด พี่น้องต้องช่วยกันเอามีดสับไก่ที่ติดไป ช่วยกันถากถาง นี่แสดงว่าที่เราเห็นปลูกหญ้าสวยงาม ตอนฤดูชิงหมิ่ง คือผักชีโรยหน้า เพื่อเอาค่าจ้างของคนในพื้นที่

           แม้รู้ ก็หนีไม่ออกต้องจ้าง เพราะขืนทําฉลาดรู้มาก อาจเกิดอะไรขึ้นกับฮวงซุ้ยก็ได้ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่เรื่องดี!

            หลังอาโกกลับไปได้ปีเศษ กี่ก็โทรส่งข่าวว่าจะมาเมืองไทย โดยมากับลูกชายกี่ คราวนี้มาพักบ้านไหง่ ไม่ต้องเสียค่าโรงแรม ไหง่เช่ารถตู้ไปเหมือนปีที่แล้ว แต่มีสิ่งที่ไม่เหมือนเกิดขึ้น นั่นคือ ต้นยางขนาด 2 คนโอบ กับต้นไม้ป่าขนาดโคนขา ถูกตัดโค่นออกไปจากบริเวณหลุมฮวงซุ้ย ถามคนแถวนั้นได้ความว่า ตัดได้ 15 วันแล้ว คราวนี้จึงสะดวกต่อการเซ่นไหว้ ไม่ต้องติดต้นไม้ใหญ่ วิสัยทัศน์ของฮวงจุ้ยก็ดูปลอดโปร่ง

           แรกๆก็คิดว่า พลังบารมีของอาปาไม่เบา สามารถบันดาลให้ทางสุสานตัดต้นยางที่มีอายุนับร้อยปีได้

           จนเมื่อไม่กี่วัน ก่อนเล่าเรื่องนี้เรื่องเก่า(หมายถึงประเพณีที่มีมาหลายพันปี)ที่ใหม่เสมอๆๆ(หมายถึงคนที่ต้องทําตามประเพณี มีรายใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา) อดตั้งข้อสมมุติฐานไม่ได้ว่า อาโกกับลูกชายซึ่งทํางานราชการจีน น่าจะให้คนในหน่วยราชการ โทรมาขอร้องให้ทางสุสานพักหยุ่นท้าวซัน ช่วยตัดต้นไม้สองต้นนั้น เพราะความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยฝังรากลึกของคนที่เมืองจีนเข้มข้นมาก

           ไหง่เชื่อว่ามากกว่าไหง่หลายเท่านัก นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นรูปอาเม ที่ปําติดไว้หัวเสาเตียงนอน ไหง่คิดว่าป๊าคงต้องฌาปนกิจแน่ๆ

            แต่ต่อมาไม่นานนี้เช่นกัน ได้มีโอกาสคุยกับซินแซฮวงจุ้ยชื่อดังจากเมืองจีน และมาดังในเมืองไทย ทําให้ไหง่ได้ความรู้ ทั้งได้มีโอกาสพูดคุยกับชิ้นสุ้ยก๊อ เมื่อคราวประชุมฮากกาศึกษา พูดเรื่องระหว่างเผากับฝัง ต่างกันอย่างไร?

            ไหง่ได้โอกาสอธิบาย เผาก็คือไม่มีผลอันใดทางฮวงจุ้ยกับลูกหลาน สะดวกและง่ายไม่ต้องเดินทางไปไหว้ถึงสุสาน

           แต่การฝังมีผลทางฮวงจุ้ยต่อลูกหลาน เพราะเลือด-เนื้อ-นําเหลือง และอวัยวะต่างๆ ที่ค่อยๆย่อยสลายซึมลงดิน เปรียบเสมือนกระแสไฟฟ้า(จีนเรียกว่าชี่) ยังสื่อให้ผลกับลูกหลานอยู่ ยิ่งถ้าได้หลุมฮวงซุ้ยดีๆ กระแสพลังส่งเสริมนั้นยิ่งสูง ถ้าลูกหลานรับราชการ ก็ก้าวหน้ารวดเร็ว ถ้าเป็นนักธุรกิจ-การค้า ก็เจริญรุ่งเรืองยาวนานสืบไปถึงรุ่นต่อรุ่นทีเดียว

           เชื่อไม่เชื่อ! ดูจากวันชิงหมิ่ง ซึ่งเป็นเรื่องเก่า แต่ใหม่เสมอๆๆ เพราะลูกหลานต้องไปเซ่นไหว้ทุกปี ราวกับคนเพิ่งตาย ทั้งที่คนผู้นั้นตายไปหลายสิบปีแล้ว!

            (มีอีกสิ่งหนึ่งไม่ควรมองข้าม สิ่งใดมีคุณ-ย่อมมีโทษแฝงอยู่ด้วย จึงต้องมีสติไม่ประมาท ในการทําบุญสร้างกุศล)

                                             ....อาหงิ่ว..ครับผม! 

         

รูปภาพของ วี่ฟัด

สุดยอดเรื่องสั้นชั้นดี

            ที่จริงไหง่อยากเขียนถึงเรื่องของอาหงิ่วโกมานานแล้วตั้งแต่ตอนแรกๆ แต่ไม่อยากขัดจังหวะหรือมีอะไรขั้นกลางจึงรอให้อาหงิ่วโกเขียนจนจบเสียก่อน ไหง่ว่าอาหงิ่วโกเป็นคนเขียนเรื่องสั้นที่น่าติดตามมาก อยากอ่านในตอนต่อๆไปเร็ว ไหง่ถือว่านี่เป็นเรื่องสั้นที่เขียนโดยผู้มีฝีไม้ลายมือมากๆคนหนึ่ง คือเขียนหนังสือเป็น แม้แต่ตอนกล่าวอ้างนอกประเด็นไปก็ไม่ทำให้เสียกระบวนไปยังน่าติดตามอยู่ การเขียนหนังสือไม่ใช่ว่าใครจะเขียนก็ได้ เห็นมะบางคนเขียนอย่างไรก็อ่านไม่รู้เรื่อง ยิ่งอ่านยิ่งงง จนต้องถอยทัพออกไป ได้ข่าวว่าจะไปเขียนหนังสือแข่งกับอาจารย์วรศักดิ์อีกโอ้ยเวรกรรม

              เรื่องสั้นที่อาโกหงิ่วเขียนนี้ไหง่คิดว่าไหง่จะเป็นคนที่เข้าใจรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังได้ดีกว่าคนอื่นๆ และตัวละครที่อาหงิ่วโกกล่าวถึงส่วนมากไหง่ก็จะรู้แม้ว่าไม่เคยพบตัวละครบางท่านมาก่อนก็ตาม แต่จากการได้ยินการพูดถึงในครอบครัวของไหง่ตั้งแต่ไหง่เด็กๆ ไหง่จึงพอรู้เรื่องราวที่อาโกหงิ่วเขียนอยู่บ้าง เนื่องจากความเป็นญาติสนิทของครอบครัวไหง่กับครอบครัวของอาหงิ่วโกที่ได้เดินทางมาจากซ้องกวนถ่องไท้เผี่ยง หมอยแย้น มาสู่ประเทศไทยด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ไหง่กลับไปหมอบแย้นห้าครั้ง ญาติทางหมอยแย้นก็เคยถามไหง่บ่อยๆถึงเหล่าอาศุขรุ่นวี่ทั้งหลาย ซึ่งอาศุขรุ่นวี่นี้ก็มีอาศุข " วี่สั่ง " อาปาของอาหงิ่วโกรวมอยู่ด้วย

           อาศุขรุ่นวี่เซี้ยงใช้ที่มาอยู่ในประเทศไทยมีอยู่ 4 ท่านคือ " วี่เจน , วี่ยิน , วี่สั่ง และวี่กวง " อาศุขรุ่นวี่ทั้งสี่ท่านนี้มีอาศุขวี่กวงอยู่เพียงท่านเดียวที่ไหง่รู้จักและเคยพบด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากอาศุขวี่กวงมักจะมาหาเยี่ยมเยียนไท้ปักไหง่ที่จังหวัดราชบุรีอยู่เสมอๆ และบางทีก็มานอนค้างอยู่บ่อยๆ ถ้าจะบอกว่าอาศุขวี่กวงมีรูปร่างหน้าตาอย่างไรนั้นก็เติ้งเสี่ยวผิงนี่แหละครับเหมือนเลยทั้งขนาดและหน้าตา ทำให้ใหง่ยิ่งแน่ใจเลยว่า " เติ้งเสี่ยวผิง " นี่น่าจะใช่คนฮากกาแน่ๆ วี่กวงศุขเป็นน้องชายแท้ๆของวี่สั่งศุขอาปาของอาหงิ่วโก ส่วนวี่ยินศุขไหง่เพิ่งเคยเห็นเมื่อตอนตรุษจีนปีนี้เองที่ไหง่กับอาโกไหง่สองคนชักชวนอาหงิ่วโกไปเยี่ยมเยียนที่บ้านหลังตลาดสี่มุมเมือง ซึ่งอาโกไหง่ไม่เคยพบมาสามสิบกว่าปี

             ส่วนที่อาโกหงิ่วโกเขียนถึงว่าเป็นตัวแทนลูกชายของไท้ปักที่อยู่เมืองจีน แต่ในเมืองไทยมีลูกยังเล็กๆกับเมียน้อยคนที่สามนั้น ไท้ปักก็คือวี่เจนศุข วี่เจนศุขคนนี้แหละครับที่เป็นผู้จัดการห้างใต้ฟ้าที่อาโกไหง่สองคนเคยไปทำงานที่ห้างใต้ฟ้าในสมัยเมื่อเกือบห้าสิบปีก่อน ต่อมาวี่เจนศุขก็ได้ออกมาจากห้างไต้ฟ้ามาเปิดห้างเทรดดิ้งขายส่งสินค้าเองโดยการสนับสนุนของเจ้าของห้างใต้ฟ้าเองที่อยากเห็นลูกน้องเก่าเจริญเติบโตก้าวหน้า อาโกคนโตของไหง่ก็ได้ออกมาจากห้างไต้ฟ้าด้วยเพื่อมาช่วยวี่เจนศุข ในขณะที่ธุระกิจการค้ากำลังเจริญก้าวหน้าไปด้วยดีแต่วี่เจนศุขต้องมาเสียในขณะที่อายุยังไม่ถึงห้าสิบเลย ถ้าวี่เจนศุขยังอยู่อาหงิ่วโกคงสบายแน่ๆ ในงานศพของวี่เจนศุข อาไท้โกของไหง่เล่าให้ฟังว่าวี่สั่งศุขอาปาของอาหงิ่วโกเสียใจมากถึงขนาดไปร้องให้คร่ำครวญเรียก อาโก อาโก ที่หน้าศพ

               แล้วค่อยเขียนเล่าใหม่นะครับไหง่ตู้กีแล้วต้องไปซิดก่อน

ขอชื่นชมด้วยคน

เห็นด้วยกับวี่ฟัดโก ว่าอาหงิ่วโกเขียนได้ดีจริงๆ เป็นเรื่องสั้นที่กระชับไม่เยิ่นเย้อ และมีคติสอนใจ สำหรับลูกหลานคนจีนอย่างพวกเรา เพราะถึงอย่างไรซะ ประเพณีก็คือสิ่งที่มีการสืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น หากไม่ใช่สิ่งที่ดีงามคงไม่มีคนทำสืบทอดมานานขนาดนี้หรอก ถึงแม้จะทำได้ไม่ครบทุกขั้นตอน แต่ก็ทำด้วยใจ บรรพบุรุษก็คงอภัยให้แน่นอน

สิ่งที่มองไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะเชื่อถือไม่ได้ แต่เราก็ต้องเคารพในสิ่งที่มองไม่เห็น ไหงเองก็ไม่ได้งมงายกับสิ่งเหล่านี้มากมาย แต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ต้องพบเจอกับตัวเองถึงจะนำมาเล่าได้

จริงอย่างวี่ฟัดโกบอก ไม่ใช่ว่าใครจะเขียนเรื่องได้น่าอ่านน่าติดตาม ไหงเองคิดจะเขียนประวัติของอาเมไหงที่อพยพมาจากเมืองจีนเหมือนกัน แต่พอถามอาเมทีไรก็ได้คือตอนที่กี่จำฝังใจเท่านั้นเอง ก็เลยไม่รู้จะเขียนยังไง (จินตนาการไม่ออก) แต่เรื่องของอาหงิ่วโกเป็นเรื่องของตัวเอง ซึ่งก็ต้องจำได้ดีแน่นอน

แต่ก็ต้องมีเทคนิคว่าเขียนอย่างไรให้คนอ่านอยากติดตาม นี่ถ้าคนไม่รู้นึกว่าเป็นคนเขียนเรื่องสั้นมืออาชีพเลยนะเนี่ย

ไหงจึงขอชื่นชมด้วยคน

黄丽萍 

รูปภาพของ แกว้น

สำนวนลีลาการเขียนยอดเยี่ยมมาก

สำนวน และลีลาการเขียนยอดเยี่ยมมาก ตรึงใจคนอ่านได้

 

ขอชื่นชม

....ขอชื่นชมความกตัญญูครับ.... 

พลังความจริงที่ "ไร้ตัวตน....! "

           ขอขอบคุณทุกคําชม และคําติที่จะมีในอนาคต!

           ที่เขียนบอกเล่า ล้วนเป็นเรื่องจริง ดังวี่ฟัดโกได้บอกเล่า เรามีบรรพชนร่วมเซี้ยงร่วมกู้เฮยียงที่เมืองจีน ซําคนรุ่นเดอะยังเคยทํามาหากินร่วมกัน ก่อนแยกย้ายย้ายกันไปตามวิถีทางของตน

           ส่วนเรื่องฟุงสุ้ยหรือฮวงจุ้ย นอกจากเรื่องของอาปา ที่ไหง่ได้ขอต่อหยําหว่องตี้จู่เซียน ซึ่งถือว่าเป็นบรรพชนของเรา เพราะรากเง้าของพวกเรา เคยอยู่แถบลุ่มแม่นําเหลืองหรือฉางเจียง อันเป็นแม่นําสายยิ่งใหญ่ที่สุดในจุงเหงี่ยน(ตงหยวน)มาก่อน ให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครอง เราที่เป็นลูกหลาน

           แม้กาลเวลาผ่านมายาวนานหลายพันปี คนที่อยู่ลุ่มแม่นําเหลือง เมื่ออพยพลงใต้ ได้ถูกเรียกว่าฮักกาหงิ่นในเวลาต่อมา แต่เวลากราบไหว้ คนฮากกาหงิ่นก็ยังรําลึกถึงหยําหว่องตี้จูเซียนผู้เป็นบรรพชน ที่ยิ่งใหญ่ตลอดแนวแม่นําเหลืองและแผ่นดินจุงเหงี่ยนศูนย์กลางแห่งอารยธรรมจีน และศาสตร์ฮวงจุ้ยเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมจีน

         จึงเป็นเรื่องที่ไหง่พอศึกษามาบ้าง แต่ไม่ได้นํามาใช้กับฮวงซุ้ยของป๊าเลย นอกจากขอให้หยําหว่องตี้จู่เซียน ช่วยตามที่เล่าแค่นั้น ไม่เคยคาดคิดเลยว่า เราต้องใช้วิชาฮวงจุ้ยมาช่วยปลอบใจตนเอง...

         คือ หลังงานฝังป๊าได้ 2 ปี ได้ย้ายมาเซ้งบ้านอยู่ใกล้ปากซอย แรกอยู่ก็ปกติ มาเกิดเหตุตอนฝนตก นําฝนจากหลังคาตึกใกล้กัน สาดเข้าหน้าต่างบ้านไหง่เต็มๆ นําไหลซึมเข้ามาตามวงกบเจิ่งนอง ทําให้ข้าวของที่ชั้น 2 ในบ้านเปียกเสียหาย ไหง่จึงไปขอผ้าพลาสติกกับคนที่ตึกนั้น ซึ่งหน้าร้านติดถนนใหญ่รับเย็บเบาะรถยนต์ คนเป็นเถ้าแก่อายุ 30 ต้นๆ นอกจากไม่ให้ยังพูดแบบนักเลง "คนอยู่เก่าไม่เห็นมีปัญหา ลื้อมาอยู่ใหม่มีปัญหาแบบนี้ จะเอายังไงวะ? "

        " ผมขอแค่ผ้าพลาสติกชิ้นนึง พอคลุมหน้าต่าง ไม่ให้นําฝนจากหลังคาบ้านเฮียสาดซึมเข้าห้องแค่นั้น เพราะข้าวของที่บ้านเสียหายจริงๆ " ผ้าพลาสติกที่ไหง่ขอแค่ 1/1.5 ม.ราคาเทียบไม่ได้กับของที่เสียหายไป กี่ยืนยันไม่ให้ ไหง่คิดว่าช่างมันเดี๋ยวเราซื้อมาตอกปิดหน้าต่างเองเองก็ได้ ไม่อยากมีเรื่องกับคนบ้านใกล้เรือนเคียง

        ที่ไหนได้ พอฝนตก นําที่สาดจากหลังคาตึกร้านทําเบาะเหนือวงกบหน้าต่างขึ้นไป ผ้าพลาสติกกันไม่อยู่ ทางเดียวคือให้ร้านทําเบาะทํารางนํา เพื่อไม่ให้เทสาดมาที่หน้าต่างบ้านไหง่

         แค่ขอผ้าพลาสติกยังรําๆจะมีเรื่อง นี่ให้ทํารางนําพูดกันไม่รู้เรื่องแน่ จึงไปบอกเจ้าของที่ให้มาดู เขาพูดอย่างกับเตี้ยมกันมา " คนอยู่เก่าไม่เห็นมีปัญหาเลย คุณนี่ยังไง? "

         ไหง่ชี้ของที่กองตากแดด " นําจากหลังคาบ้านเขาสาดเข้าหน้าต่างผม จนข้าวของเสียหายอย่างที่เห็น เฮียฮั้วคนอยู่เก่า โต๊ะ ตู้ ที่ยกให้ผม ถูกความชื้นทั้งนั้น พอยกก็หลุดเป็นชิ้นๆ ใช้ไม่ได้เลย เปียกชื้นอย่างนี้ปลวกกินแน่ " นี่คือความจริง

          เจ้าของที่ฝันหงิ่น ออกจะเกรงใจร้านเบาะไม่น้อย เพราะเขาอยู่มาแต่รุ่นพ่อ แต่ไหง่ถือว่า เราก็เสียเงินค่าเซ้งค่าเช่าไม่ต่างกัน เมื่อหลังคาบ้านเขาก่อปัญหา ก็ต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ เจ้าของที่คงไปบอกเหมือนกัน จึงเป็นเหตุให้นายตํารวจซึ่งเป็นน้องเขยของเฮียร้านเบาะ มาพูดกับไหง่ " เฮ้ย ลื้อนี่ยังไงวะ ชอบสร้างปัญหา เขาอยู่กันเป็นสิบปีไม่มีปัญหา ลื้อมาอยู่ใหม่อยากใหญ่หรือไง? " ไม่พูดเหตุผลกันเลย

          เมือมาไม้นี้ ไหง่ไม่มีทางเลือก " หมวดพูดกับพี่ป๋อดีกว่า แกรู้เรื่องผมดี " พอเอ่ยชื่อป๋อ นายตํารวจไม่อยากพูดด้วย เพราะกี่เป็นลูกนายตํารวจใหญ่ระดับภาค ที่ร่วมวงกินเหล้ากับไหง่เสมอ ทั้งคุณป๋อแนะว่า " มันไม่ยอมทํารางนําหลังคาบ้านมัน เราก็ทํากันสาด ให้นําไหลสาดไปบ้านมัน จะได้รู้รสและว่าเราไม่ได้! "

          ไหง่ตัดปัญหา ยอมทํากันสาดเหนือหน้าต่างครึ่งเมตร แต่ให้ปลายกันสาดงอเข้าเป็นรางนํา เพื่อไม่ให้นําสาดเข้าชานหลังบ้านร้านเบาะ เพื่อตัดปัญหา

           เรายอมเสียเงินแก้ปัญหา ทั้งที่ต้นเหตุมาจากร้านเบาะ แต่เขายังสร้างปัญหาให้ต่อ คือ ทําราวตากผ้า ให้แขนไม้ของราวตากผ้า ยื่นพุ่งมาที่หน้าต่าง ห่างไม่ถึงนิ้วก็ปิดบานหน้าต่างไม่ได้ นี่ไม่ใช่ไม่เกรงใจ แต่หยามกันชัดๆ

          เมื่ออยากหาเรื่อง ก็ลองเอาเรื่องฮวงจุ้ยไปบ้าง ไม่รู้ว่าจะได้ผลหรือเปล่า? แต่ถึงคราวจําเป็นก็ต้องลอง ไหง่ใช้หลัก 5 ธาตุของฮวงจุ้ยเข้าพิฆาตคนหาเรื่อง

          ก่อนทํา ไหง่บอกหยําหว่องตี้จู่เซียนว่า ถูกเขาแกล้งแบบนี้ ไหง่ไม่มีทางเลือก ที่ต้องใช้หลัก 5 ธาตุป้องกันตนเอง ขอช่วยปกป้องไหง่ด้วย

          ทําแล้วก็ลืมไป เพราะเป็นแค่ความเชื่อ แค่ระบายอารมณ์ แต่ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือเปล่า พี่ชายเฮียร้านเบาะ ที่หายจากบ้านเป็นปี งัดหน้าต่างหลังบ้านเข้าไปขโมยเงินในร้าน อีกไม่กี่เดือนต่อมา มีข่าวว่าแม่เฮียร้านเบาะแชร์ล้ม หลังจากข่าวนี้ไม่กี่เดือน ร้านทําเบาะก็ย้าย เพราะเจ้าของที่ไม่ต่อสัญญา เพื่อเอาตึกร้านเบาะให้ลูกสาวเปิดร้านอาหาร

         นี่เป็นประสบการณ์หนึ่ง ที่ไหง่ก็ตัดสินไม่ได้ ว่าเกิดจากวิชาฟุงสุ้ยที่ไหง่ลองใช้ยามถูกรังแกหรือเปล่า? หรือบังเอิญ ไท้กาลองพิจารณาดู?

          มีอีกเรื่อง เกี่ยวกับฟุงสุ้ยเหมือนกัน ทําเอาไหง่แทบถูกอุ้ม! ว่างๆจะเล่าต่อว่า มันเป็นอย่างไร?

          

รูปภาพของ วี่ฟัด

ศาสตร์แห่งเฟิงสุ่ยขนานแท้และดั้งเดิมอยู่กับคนฮากกา

เป็นที่เข้าใจได้ว่าบรรพชนฮากกาคือผู้มาจากดินแดนจงหยวนแล้วมาสู่ทางใต้ตั้งแต่เกือบสองพันปีก่อน ภาษาฮากกาจึงเป็นภาษาขนานแท้และดั้งเดิมของดินแดนจงหยวน ส่วนภาษาจีนกลางหรือผู่ทงฮั่วในปัจจุบันคือภาษาที่วิวัฒนาการมาจากภาษาดั้งเดิมของชาวจงยวนหรืออาจจะกล่าวได้ว่าภาษาผู่ทงฮั่วในปัจจุบันวิวัฒนาการมาจากภาษาฮากกา ตามทฤษฎีการเคลื่อนย้ายของภาษาและวัฒนธรรมที่ไหง่เคยกล่าวถึงมาหลายครั้งแล้ว

ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้อีกว่าศาสตร์แห่งเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ยขนานแท้และดั้งเดิมก็น่าจะติดตามบรรพชนฮากกามาด้วยเมื่อเกือบสองพันปีก่อนเช่นกัน ดังนั้นการอยากได้ความรู้เกี่ยวกับเฟิงสุ่ยจึงต้องตรงไปหมอยแย้นเม็กกะแห่งความเป็นฮากกา คนฮากกาต่างสืบทอดความรู้ศาสตร์เฟิงสุ่ยที่แท้จากรุ่นสู่รุ่น ลองดูสิว่าบ้านที่อยู่อาศัยของคนจีนกลุ่มใดที่จะทำตามหลักวิชาเฟิงสุ่ยบ้างนอกจากคนจีนกลุ่มฮากกาทั้ง " วี่หลงวุ๊ก หรือ แม้กระทั่งถู่โหลว " จึงเป็นที่แน่ชัดได้ว่าคนฮากกาคือผู้นำศาสตร์นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ที่นำศาสตร์นี้มาใช้นับเป็นพันปีแล้ว

ศาสตร์เฟิงสุ่ยนี้ไหง่คิดว่าเป็นศาสตร์ที่คนโบราณเรียนรู้จากธรรมชาติและเคารพกฎธรรมชาติ เหมือนกับที่พระพุทธองค์ก็เรียนรู้จากธรรมชาติและเคารพกฎแห่งธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกัน จึงเป็นศาสตร์เพื่อความเหมาะสมตามธรรมชาติและเพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ แต่ปัจจุบันนี้ศาสตร์แห่งเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ยนี้มันถูกบิดเบือนไปจากเดิมคือเพื่อความอยู่ " รอด " เป็นเพื่อความอยู่ " โลภ " ความโลภทำให้ขาดความเคารพต่อธรรมชาติและไม่ปฏิบัติตามกฎธรรมชาติจึงอาจทำให้โลกใบนี้ไม่เหมาะต่อหลักแห่งเฟิงสุ่ยหรือฮวงจุ้ย ที่มีหลักการเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติก็ได้

รูปภาพของ วี่ฟัด

เพลงประจำบ้านของไหง่

                    เพลงนี้แหละครับ " I Really Don't Want To Know - Eddy Arnold " เป็นเพลงประจำบ้านของไหง่ บางคนอาจจะเดาว่าเป็น " เงียดกวงกวง " แน่ๆ เพราะเป็นครอบครัวฮากกา แต่ไม่ใช่ครับ พูดก็พูดเถอะเพลงเงียดกวงกวงไหง่เพิ่งรู้จักมาประมาณสิบกว่าปีช่วงตอนที่ค้นคว้าเรื่องฮากกาอย่างขนานใหญ่ของไหง่มานี่เอง และอีกอย่างคืออากุงอาผอของไหง่ไม่ได้มาเมืองไทยด้วย ไหง่จึงไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเพลงเงี๊ยดกวงกวงเลยในช่วงตอนเด็กๆ

                    ตามที่ไหง่เคยเล่าให้ฟังมาแล้วว่าอาไท้โกหรือาโกคนโตของไหง่ มาทำงานกรุงเทพฯ ที่ห้างไต่ฟ้ากับวี่เจนศุข พอกลับมาเยี่ยมบ้านอาโกไหง่ได้นำเอาแผ่นเสียงเพลงฝรั่งกลับมาที่บ้านด้วย เมื่ออาไท้โกของไหง่ฟังเพลงฝรั่งของแพท บูน , แฟร้ง ซิเนตรา . เอ็ดดี้  อาร์โนว์ , คริฟ ริชาร์ด , เอลวิส เพรสลี่ , ฯลฯ ไหง่กับเหล่าบรรดาน้องๆของไหง่จึงชอบฟังเพลงเหล่านั้นไปด้วย เห็นใหมครับแม้จะมึภูมิลำเนาราชบุรีออกจะเซาะกราวสักหน่อย แต่บรรยากาศของบ้านไหง่ก็ไม่ได้เซาะกราวเลยนะครับ

                    แต่มีอยู่เพลงหนึ่งที่ในครอบครัวไหง่จะชื่นชอบเป็นพิเศษคือเพลง " ไอเรียลรี่ด้อนว้อนทูโนว์ " ของเอ็ดดี้ อาร์โนว์ เรียกว่าเพลงประจำตระกูลหรือเพลงประจำบ้านก็ได้ พี่น้องไหง่จึงร้องเพลงนี้ได้กันทุกคนโดยไท้โกจะเป็นคนสอนให้ร้อง โดยเมื่อก่อนพวกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันชื่อเพลงอะไร แต่พวกไหง่จะชอบร้องว่า " ฮาว เมนี่ อาร์ม แฮฟ เฮลป์ ยู แอนด์ เฮ ทู ทูเล ทูโก ฯลฯ " จนเดี๋ยวนี้ผ่านมาร่วม 40 ปีแล้ว น้องๆไหง่ก็ยังร้องได้เลยครับ พอดีเมื่อเร็วๆนี้ไหง่มาพบเพลงนี้ทางยูทิวป์เข้าโดยบังเอิญ จึงขอรำรึกถึงความสุขครั้งหลังเมื่อยังเยาว์วัยของไหง่

อารยธรรม แสดง " อํานาจใหม่! "

   ว่าที่จริง ไหง่เป็นชาวกรุงเทพฯโดยกําเนิด จึงรับอารยธรรมตะวันตกตั้งแต่เด็ก ขอเล่าเท่าที่รู้ " I tell as know as,I can " คือหลัง อเมริกาเข้าทําสงครามเกาหลี เพื่อต่อต้านคอมมูนิสต์ เขามิได้ใช้เฉพาะแสนยานุภาพทางทหาร ยังได้ใช้อารยธรรมใหม่แบบอเมริกันเข้ามาครอบงํา นั่นคือ ภาพยนต์และดนตรี แบบที่เป็นขวัญใจวัยรุ่น ก็มีเอลวิส เจม ดีนส์ ชนิดวัยรุ่นที่ได้ชื่อว่า " อันธพาล 2499 " ไม่ว่า แดง ไบเล่, ดํา เอสโซ่,ปุ๊ ระเบิดขวด ต่างยกให้เป็น " พ่อทูลหัว " ห้ามใครด่าให้ได้ยิน ไม่งั้นแหลก!

        ความคลั่งเพลงของ " พ่อทูลหัว " แท้จริงคือจุดรวมตัวของวัยรุ่น ไม่ว่าร้านตู้เพลงหลังวังบูรพา หรือโต๊ะสนุ๊กฯแถววิสุทธิกษัตริย์ โก๋-กี๋กางเกงรัดติ้ว ดิ้นกันมันหยด แล้วตบท้ายด้วยหมู(ผงขาว) ซึ่งในยุคนั้นอเมริกันชนก็เป็นแบบนั้น

         ส่วนครอบครัววี่ฟัดโก ซึ่งมีไท้โกหัวสมัยใหม่ รับเอาแต่ส่วนดีของอารธรรมตะวันตก คือ เพลงและดนตรี จึงนับว่าโชคดีมีปัญญา ไม่เหมือนพวก 2499 ที่เล่นกันสุดลิ่มทิ่มจนชีวิตก็ไม่เหลือ ดีว่า สุริยัน ศักดิ์ไธสง(เปียก วิสุทธิกษัตริย์) อดีตเด็กช่างกลปทุมวัน เป็น 1 ในก๊วน 2499 นํามาเขียนเป็นบทหนัง (ความจริงเขียนเป็นเรื่องในมติชนอยู่ก่อน) จนดังระเบิด! ทิ้งเป็นตํานานสอนใจคนรุ่นหลัง

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal