แม่ผมเป็นคนแซ่吴 ได้ยินผู้ใหญ่ในตระกูลเล่าให้ฟัง(จนมาถึงรุ่นผม<แซ่冯>)ว่ากันว่าคนแซ่吴กับคน许ห้ามแต่งงานกันเพราะคำสาปแช่ง เรื่องนี้ผมได้ยินแม่ผมเล่ามาตั้งแต่เด็ก(ประมาณ30ปีก่อน) ซึ่งจำได้แต่ว่าฝ่ายนึงแซ่อะไรไม่ทราบยืนอยู่บนที่สูง(น่าจะเป็นต้นไม้)ยืนปัสสาวะอีกฝ่ายนึงที่อยู่ข้างล่าง ที่เล่ามาให้อ่านนี้เพราะพี่ชายแม่ผมแซ่吴มีแฟนแซ่许 พอพี่ชายแม่ผมทราบก็เลยไม่ได้แต่งกัน คนสมัยก่อนนี่เชื่อฟังพ่อแม่จริงๆผิดกับสมัยนี้ อย่างพี่ชายผมเกิดปี"ชวด"ไปมีแฟนรักชอบกันแต่แฟนพี่ชายผมเกิดปีมะเมีย แม่ผมทราบก็ไม่ให้แต่งเพราะแต่งแล้วจะไม่ดี แต่พี่ชายผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ปัจจุบันก็อยู่กันมาจนยืดมีแต่ลูกสาวไม่มีลูกชาย ถ้าลุง(พี่ชายแม่)แต่งกับคนแซ่许 อาจมีลูกชายเยอะมากกว่าลูกสาวก็ได้ แต่นี่ไปแต่งอีกแซ่นึงเลยมีลูกชายคนเดียวลูกสาว10คน ถ้าเป็นสมัยนี้แย่หน่อยเปลี่ยนแซ่เป็นนามสกุลแล้วจะรู้ได้ไงว่าใครแซ่吴ใครแซ่许 อีกอย่างถ้าชาย-หญิง(แซ่吴กับคนฉว่许)เป็นเนื้อคู่ก็แย่สิ
ผู้ใหญ่ท่านห่วงว่าจะเกิดทะเลาะกัน
ผู้หลักผู้ใหญ่ห้ามไว้ เนื่องจากประวัติศาสตร์ ครับ อย่างกรณีของ เรื่อง เปาบุ๋นจีน ผู้หลักผู้ใหญ่ ก็บอกว่า เปา (เปาบุ๋นจีน)กับ ผัง(ราชครูผัง) พยายามอย่าแต่งงานกัน เปนต้น มีอีกหลายกรณีครับ
ยังมีอีกหลายข้อห้าม
อย่างคนแซ่ กัง และ คนแซ่ โค้ว ในสมัยโบราณเขาห้ามแต่งงานกัน เพราะคล้องเสียงที่ว่า กังโข้ว ที่แปลว่า ลำบาก
สมัยก่อนไหงเคยชอบพอกับผู้หญิงคนหนึ่ง แม่ไหง ไม่ยอมให้ไหงชอบพอกัน และ สั่งห้ามด้วย ซึ่งผู้หญิงคนนั้น เซี่ยงเห็น ซึ่งนางนั้นเป็นคนจีนที่มีเชื้อสาย ฮกเกี้ยน (ฝุกเกี้ยน) ซึ่งแม่ไหงให้เหตุผลว่า ฮกเกี้ยน (ฝุกเกี้ยน) นั้นมีศักดิ์สูงกว่า ขักหงิน อย่างพวกเรา ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วทำกินไม่ขึ้น ซึ่งแม่ไหงก็ยกตัวอย่างคนใกล้บ้านหลายบ้านที่ ผู้ชาย แต้จิ๋ว แต่งกับ ผู้หญิง ฮกเกี้ยน ก็ทำมาหากินไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งๆ ที่ัทั้ง 2 คน ก็ขยันทำมาหากิน แต่ ฐานะก็ยากจน
ซึ่งเท็จจริงอย่างไรใครให้ท่านผู้รู้ช่วยอธิบายให้ฟังด้วย
เค้าเรียก
เค้าเรียกว่า บุญกรรมนำพา หรือ กรรมจัดสรร ครับ
แม่พี่คิด
แม่พี่คิดมากไปเปล่าครับ
คงไม่หรอกครับ
เพราะทุกวันนี้ แฟนเก่าไหงคนนี้ได้แต่งงานไปกับผู้ชายแต้จิ๋ว (คนโผวเล้ง) ทุกวันนี้ทั้ง 2 คน ก็ขยันทำมาหากินค้าขาย ก็ได้แค่พอกินพอใช้ บางขณะ ก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ลำบากมาตลอกระยะเวลากว่า 25 ปี ที่ผ่านมา
น่าขันเหลวไหลโง่งมงาย
เห็นด้วยอ
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ...........
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ
ข้อห้ามต่างๆเรื่องแซ่นั้นแซ่นี้แต่งงานกันไม่ด้ไหง่ไม่ค่อยเคยได้ยิน อาจเนื่องจากแซ่ 蔡 ของไหง่มิได้มีกฏเกณฑ์แปลกประหลาดพิศดารเช่นนี้ แต่ไหง่ว่าห้ามยากแบบที่คนโบราณเขาบอกว่า " ฝนจะตก แดดจะออก ขี้จะแตก พระจะสึก คนจะแต่ง ( หรือเปล่าก็ไม่รู้ ) มันห้ามกันไม่ได้
แต่ถ้าจะเอาข้อห้ามว่าหากไปทำแล้วจะเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าจะจับทางหลักการทางพระพุทธศาสนาด้วยแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย เพราะทางพระพุทธศาสนาเขาเชื่องเรื่องกรรม ( กรรมหมายถึงการกระทำนะครับญาติโยมมิใช่เรื่องเวรกรรมตามที่สาธุชนเข้าใจกัน ) ตามหลักเรื่องปฏิจสมุบบาท หรืออิทัปปัจจยตา ได้กล่าวไว้ว่า " ผลย่อมเกิดจากเหตุปัจจัย " ดังนัน " ผลที่ดีย่อมเกิดจากการสร้างเหตุปัจจัยที่ดีพร้อม " และ " ผลที่ชั่วย่อมเกิดจากการสร้างเหตุปัจจัยที่ชั่ว " หลักการที่ตรงไปตรงมาเป็นวิทยาศาสตร์นี่เองที่ทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับจากเหล่าปัญญาชนทั่วโลก
แต่มีข้อห้ามอีกอย่างหนึ่งที่คนจีนโบราณเขาพูดกันมานานนับพันปีแล้วก่อนที่เกรเกอร์ เมนเดลจะคิดทฤษฎีเรื่อง " พันธุกรรม " เสียอีก คือเรื่องการห้ามแต่งงานกันในระหว่างคนแซ่เดียวกัน ซึ่งกฏนี้มันเข้าหลักแห่งพันธุกรรม ที่สายเลือดชิดยีนส์ชิดกันเกินไปมาแต่งงานกันลูกหลานอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายไม่แข็แรงได้ ซึ่งกฏนี้ไหง่พอเข้าใจได้เพราะเป็นหลักวิทยาศาสตร์
ดังนั้นถ้าอยู่เมืองจีนห้ามร้องเพลงนี้เด็ดขาด
เนื้อเพลง บ้านเรือนเคียงกัน
ศิลปิน ชาย เมืองสิงห์
บ้านเรือนเคียงกัน
แอบมองทุกวันเลยเชียว
เห็นหน้าหน่อยเดียว
หัวใจโน้มเหนี่ยวฝันหา
หากมีวันใด
ที่นวลหายไปไกลตา
โอ๊ย..ในอุรา
พี่มันเหมือนว่าถูกลนด้วยไฟ
ถ้าน้องกระจู๋กระจี๋
มาคุยกับพี่วันใด
พี่แทบจะเหาะจะเหิน
เหมือนเดินแผ่นดินไม่ได้
ถ้าน้องทำโกรธทำขึง
บึ้งตึงกับพี่วันใด
พี่ก็จะโดดกองไฟ
ให้มันตายไปเสียน้องยา
บ้านเรือนมอซอ
ถ้ามีน้องคลออุรา
เสมือนหนึ่งว่า
วิมานล้ำค่านั้นเชียว
ถ้ามีงามงอน
ร่วมเรือนไว้นอนกลมเกลียว
รักเดียวใจเดียว
ไม่แลเหลียวมองหญิงใดอีกเลย
....ดนตรี>>>
บ้านเรือนเคียงกัน
แอบมองทุกวันเลยเชียว
เห็นหน้าหน่อยเดียว
หัวใจโน้มเหนี่ยวฝันหา
หากมีวันใด
ที่นวลหายไปไกลตา
โอ๊ย..ในอุรา
พี่มันเหมือนว่าถูกลนด้วยไฟ
ถ้าน้องกระจู๋กระจี๋
มาคุยกับพี่วันใด
พี่แทบจะเหาะจะเหิน
เหมือนเดินแผ่นดินไม่ได้
ถ้าน้องทำโกรธทำขึง
บึ้งตึงกับพี่วันใด
พี่ก็จะโดดกองไฟ
ให้มันตายไปเสียน้องยา
บ้านเรือนมอซอ
ถ้ามีน้องคลออุรา
เสมือนหนึ่งว่า
วิมานล้ำค่านั้นเชียว
ถ้ามีงามงอน
ร่วมเรือนไว้นอนกลมเกลียว
รักเดียวใจเดียว
ไม่แลเหลียวมองหญิงใดอีกเลย
เพราะอะไรหรือครับไท้กา ก็เพราะที่เมืองจีนคนในหมู่บ้านเดียวกันมันแซ่เดียวกันหมดเลยครับ บ้านเรือนเคียงกันแอบมองไปแอบมองมาเดี๋ยวปิ้งกันเข้าจะผิดกฏได้
แต่พูดก็พูดเถอะในยุคปัจจุบันนี้ คนจีนมันแต่งงานกับคนแซ่เดียวกันเยอะแยะดาดดื่นไปแล้วครับไท้กาหงิ่น
มุกจริงๆ
มุกจริงๆ คิดไม่ถึง...555
มุกมาจากประสบการณ์จริงของไหง่
ที่จริงไหง่เป็นนักอ่าน ไหง่หลงไหลงานเขียนเชิงวิพากษ์สังคมของ ส.ศิวลักษ์ ( สุลักษณ์ ศิวะลักษณ์ ) มาตั้งแต่อายุ 14 - 15 และได้อ่านหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุ มาตั้งแต่นั้น ไหง่โชคดีที่เหมือนตกฟากมาบนกองหนังสือเพราะที่ร้านเป็นร้านขายหนังสือ บางทีการเขียนของไหง่อาจดุดัน เหน็บแนมบ้างเป็นบางทีก็เพราะติดแนววิธีการเขียนของนักเขียนที่ไหง่ชื่นชอบนั่นเอง
อาจารย์สุลักษณ์เป็นนักเขียนแนววิพากษ์สังคมที่ใช้หลักการทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักในการวิพากษ์วิจารย์สังคม ซึ่งเป็นหลักการที่ถูกต้องและอาจจะน่าเชื่อถือที่สุดในโลกมนุษย์ใบนี้ก็ได้
นอกจากการอ่านแล้วไหง่ก็ชอบการเดินทาง ทำให้เราได้รู้ประสบการณ์ต่างๆจากการเดินทาง เช่นถ้าคนที่ไม่เคยไปใหนจะรู้ได้อย่างไรว่าที่อื่นๆเขาอยู่เขากินกันอย่างไร เช่นถ้าคนไม่เคยไปเมืองจีนก็จะไม่รู้ว่าคนจีนเขาอยู่รวมกันเป็นวงศ์ตระกูลแซ่ในชุมชนหมู่บ้านเดียวกัน ถ้าคนไม่เคยไปก็จะไม่รู้และคาดไม่ถึง ไหง่จึงสามารถจับประเด็นจากประสบการณ์ของไหง่ขึ้นมาเป็น " มุก " ได้มากมาย
คนจีนเคยกล่าวไว้ว่า " การเป็นบัณฑิตได้ต้องอ่านหนังสือหมื่นเล่มหรือเดินทางหมื่นลี้ " ไม่ใช่แบบปัจจุบันนี้ฝึกวิทยายุทธแค่ร้อยสามสิบกว่ากระบวนท่าหรือเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยแค่หนึ่งร้อยสามสิบกว่าหน่วยกิตก็ได้เป็นบัณฑิตแล้ว
ที่จริงการแต่งงานของคนแซ่เดียวกันนั้น ไหง่ได้รับรู้จากประสบการณ์จริงเมื่อไหง่กลับไปหมอยแย้นเมื่อครั้งสงกรานต์ปี 2554 ที่ไปกับยับสินฝ่า มันมีหลานไหง่คนหนึ่ง พอกลับไปเที่ยวนี้มันบอกว่ามันแต่งงานมีลูกคนหนึ่งแล้ว ไหง่เลยถามมันว่าแล้วล่อผอมันเป็นคนที่ใหน ปรากฏว่ามันบอกว่าก็คนในหมู่บ้านเดียวกันนั่นเองและเซี้ยงใช้เซี้ยงเดียวกันด้วย ไหง่เลยถามหลานไหง่ไปว่าเฮ้ยเซี้ยงเดียวกันมันจะแต่งกันได้หรือว๊ะ มันบอกว่าเดี๋ยวนี้ในเมืองจีนคนแซ่เดียวก็แต่งกันได้เยอะแยะไป เวรแท้ๆคนเซี้ยงเดียวกันบ้านเรือนเคียงกันมาเป็นผัวเมียกันซะแล้ว มุกของไหง่จึงเกิดจากประสบการณ์ของไหง่จริงๆครับไท้กาหงิ่น
555.........
555.........
แล้วลูกออ
แล้วลูกออกมาจะแซ่อะไรครับ
" 蔡 ยกกำลังสอง "
เออที่หนูอั๋นถามว่าลูกออกมาต้องใช้แซ่อะไร ไหง่คิดอยู่วันหนึ่งเต็มๆ ที่จริงคิดแบบธรรมดาอย่างไรก็ได้ แต่ไหง่ชอบคิดแบบเอามันๆฮาๆ เมื่อตอนบ่ายๆวันนี้ ไหง่กำลังขับรถอยู่ก็คิดถึงเรื่องนี้เข้า เอาเป็นว่าลูกใช้แซ่นี้ดีมะ
蔡 ยกกำลังสองเสียเลย เพราะพ่อก็แซ่ 蔡 แม่ก็แซ่ 蔡 ลูกออกมาเอาเป็นแซ่ 蔡 ยกกำลังสองเสียเลย ถ้าจะเขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ได้ดังนี้คือ
2
" 蔡 "
ดีเหมือนกันนะ นักภาษาศาสตร์แบบอาจารย์ดอกเตอร์ศิริเพ็ญคงงง และยิ่งนักคณิตศาสตร์ก็คงยิ่งงงกันไปใหญ่เลยไท้กา
555.....
555.....
ไม่สงวนลิขสิทธิ์
เป็นเรื่องน่าสนใจ ไหนๆก็มีการนำร่องแล้ว ก็ขอเสนอไอเดียสักหนึ่งแบบ เซี่ยง 蔡+蔡! ถ้าตั้งชื่อลูกว่า 奇怪 หรือ 神奇 เมื่อเขียนชื่อแซ่เต็มยศจะเป็นรูปแบบอย่างนี้ 蔡+蔡!奇怪 - 蔡+蔡!神奇 คงเท่ห์ไม่หยอก ความคิดนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ สามารถนำไปใช้ได้เลย 哈 哈 哈 真好笑。
普通 - ธรรมดา
普通 หมายถึง ธรรมดา สามัญ ถ้า 普通话 ก็หมายถึงภาษาธรรมดาสามัญที่คนธรรมดาสามัญเขาใช้พูดกันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นภาษาจีนกลางนั่นเอง
คำว่าธรรมดานี่ไม่ธรรมดานะครับไหง่ว๊า คำว่า " ธรรมดา " นี่แหละคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่มีท่านอริยชนผู้หนึ่งไปค้นพบเข้าเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีก่อนจนเป็นที่ได้รบการยกย่องไปทั่วโลก ท่านอริยะท่านนั้นก็คือพระพุทธเจ้านั่นเองครับ ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบล้วนเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติทั้งสิ้น ไม่มีหลักธรรมข้อใดของพระพุทธองค์เลยที่ไม่เป็นไปตามหลักธรรมดาธรรมชาติ เพราะทุกๆสิ่งหรืออาจจะเรียกว่าสรรพสิ่งก็ได้ลว้นแต่เป็นไปเช่นนั้นเองตามหลักธรรมดาตามหลักธรรมชาติ ไม่เว้นแม้แต่ตัวของพระพุทธองค์เอง แม้แต่พระพุทธองค์ยังทรงเรียกตัวของพระองค์เองว่า " ตถาคต " ซึ่งหมายถึง " ผู้ย่อมเป็นไปตามกฎธรรมดาธรรมชาติ " หรือผู้ยังอยู่ในความเป็นไปตามธรรมดา คือต้องเกิดแก่เจ็บตายไปตามธรรมดาเหมือนๆกัน
ดังนั้นการที่เซี้ยงใช้มาแต่งงานกันนั้นไหง่อยากจะเรียว่า " 蔡普通 " มากกว่า เพราะสรรพสิ่งล้วนเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่เรื่องนี้ และไม่ได้แปลกประหลาดหรือพิเศษอันใดเลยตัวเอง
สมมุติ - สม+มติ
ในสังคมมนุษย์นั้นล้วนแต่มีสิ่งสมมุติมากมายเหลือคณานับ สมมุติหมายถึงการมีมติร่วมกันของสังคมมนุษย์ ( สม + มติ ) จนมนุษย์เองลืมไปหรือไม่รู้ว่าสังคมมนุษย์ยังมีอีกระบบหนึ่งครอบอยู่ซึ่งก็คือระบบของกฎธรรมชาตินั่นเอง ระบบแห่งกฎธรรมชาติมันตอกตรึงสังคมแห่งการสมมุติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว
กฎสมมุติในทางสังคมของมนุษย์เป็นเรื่องข้อตกลงกันเองในสังคมมนุษย์ มีกฎหมาย เป็นโน่นเป็นนี่ ล้วนแต่เป็นเรื่องสมมุติทั้งสิ้น บางทีเราก็สงสัยว่าทำใมคนทำผิดยังไม่เห็นถูกลงโทษยังเชิดหน้าชูตาเป็นสัมภเวสีอยู่ได้ในสังคมได้ แต่อย่าลืมว่าในสังคมมนุษย์นี้ยังมีกฎที่ยิ่งใหญ่ซับซ้อนอยู่อีกมากมาย เช่นกฎธรรมชาติ หรือบางคนอาจจะพูดแบบบ้านๆว่ากฎแห่งกรรมบ้าง
ดังนั้นไม่ว่าในสังคมมนุษย์จะติดในเรื่องกฎของสมมุติอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่กฎธรามชาติที่ยิ่งใหญ่มันก็ยังทำงานของมันอยู่ตลอดไป ไม่เคยหยุดพัก กฎแห่งพระไตรลักษณ์ ( อนิจัง ทุกขัง อนัตตา ) ก็ยังไม่เคยหยุดทำงานเลยแม้แต่วินาทีเดียว และกฎธรรมชาตินี้มันทำงานไปทั่วถ้วนในระบบสุริยจักรวารหรือในจักรวาล ซึ่งกฎสมมุตินี้มันทำงานแต่สังคมมนุษย์ การทำงานของมันแคบมากเลย
ดังนั้นอย่าไปติดกฎแห่งสมมุติให้มาก สมุติอย่างนั้นอย่างนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ในที่สุดแล้วมนุษย์ก็ย่อมพ่ายแพ้ต่อกฎธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กิเลส ความโลภ
ในระบบทุนนิยมมันเอากิเลสความโลภของมนุษย์มาเป็นตัวล่อเพื่อทำให้อยากมีทรัพย์สินเงินทองมากๆ จนสังคมมนุษย์มันต้องอยู่ในความเอารัดเอาเปรียบเห็นแก่ตัวกัน กิเลสความโลภนี่แหละคือตัวกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้อย่างดี ไอ้รัฐบาลมันจึงต้องออกนโยบายเพือกระตุ้นความโลภของมนุษย์ออกมาอย่่างต่อเนื่อง แม่งส่งเสริมให้คนเป็นหนี้เยอะๆยิ่งดี เพราะหากกิเลสความโลภของมนุษย์ลดลงหรือฝ่อลงเดี๋ยวตัวเลขการเจริญเติบทางเศรษฐกิจพลอยลดลงไปด้วย เดี๋ยวผลงานจะไม่มี
คนเดี๋ยวนี้มันโง่นะ เกิดมาปุ๊ปมันก็ตั้งเป้าที่เงินเป็นเป้าหมายหลักเป้าหมายสำคัญทันที ต้องรวย ต้องมีเงินยอะสารพัด แต่ในทางพระคำว่า " เงิน " ทางพระเขาเรียกเงินว่า " ปัจจัย " เห็นมะถ้าเราจะเอาเงินไปถวายพระเราก็ต้องเรียกว่า " ถวายปัจจัย " ถ้าจะบอกว่าจะเอาเงินไปถวายพระถือว่าน่าเกลียดหยาบคายมาก คำว่า " ปัจจัย " ในทางบาลีเขาแปลว่า " เครื่องเกื้อหนุน "
ในทางพระพุทธศาสนาเขาไม่เคยห้ามว่าญาติโยมจะมีเงินไม่ได้หรอก แต่เขาให้เข้าใจว่ามีแล้วต้องรู้และเข้าใจต่อมันอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์ ในทางพระพุทธศาสนานั้นเขาว่าเงินคือปัจจัยหรือเครื่องเกื้อหนุน ไม่ใช่เป้าหมาย ในสังมมนุษย์พออกว่าเงินคือเป้าหมายจบเลยตันไปต่อไม่ได้และก็เป็นทุกข์เพราะไม่เข้าใจในการทำหน้าที่ของเงิน
แต่พอบอกว่าเงินคือปัจจัยเครื่องเกื้อหนุนทีนี้ไปต่อได้ พอพูดถึงคำว่าเกื้อหนุนย่อมต้องเข้าใจได้เลยว่าต้องเกื้อหนุนไปทางทางที่เจริญที่ดีที่งามแน่ๆ ความหมายของคำว่าเกื้อหนุนไม่ใช่เกื้อหนุนไปในทางเสื่อมความฉิบหายแน่ๆใช่ใหมครับ
พอเขาใจหน้าที่ของความเป็นปัจจัยเครื่องเกื้อหนุนของเงินแล้ว การใช้จ่ายเงินย่อมใช้ไปในทางเจริญ ไปจับจ่ายซื้อสิ่งที่ดีมีประโยชน์ หรือใช้ไปในทางประโยชน์ของมหาชนได้ จึงจะถือได้ว่าเงินทำหน้าที่ของคำว่า " ปัจจัยหรือเครื่องเกื้อหนุน " ได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าใช้เงินไปในทางเสื่อมไปซื้อสิ่งของมึนเมายาเสพติดที่เป็นโทษต่อร่างกายแล้ว จะถือว่าเอาเงินไปใช้ให้สมกับความหมายทางปัจจัยเครื่องเกื้อหนุนได้อย่างไร
แต่ที่น่าสงสารที่สุดคือคนที่ยังเข้าใจว่าเงินคือเป้าหมายจะตกอยู่ในกิเลสความโลภและเป็นทุกข์ไปจนวันตายเลยทีเดียวเชียว
แล้วกฎธรรมชาติก็ย่อมอยู่เหนือกฎทางสังคมเสมอ
ที่ไหง่หายไปสองสามวันไม่ได้เข้ามาประลองภูมิธรรมว่าใครจะลึกจะตื้นกว่ากัน ( แหมยังกับคนแคะเลยมีลึกมีตื้นด้วย ) เนื่องจากไหง่ต้องไปช่วยงานศพของลูกชายกรรมการฮากการาชบุรีท่านหนึ่งจนเสร็จสิ้นงานฌาปนกิจไปเรียบร้อยเมื่อเย็นนี้เอง
อาโก๊กรรมการสมาคมฮากการาชบุรีท่านนี้ ท่านเป็นฮากกาเชื้อสายท่องคัง ฟุ้งซุน เซี่ยงคิ้ว อาก๊อเป็นคนในหมู่บ้านเซี้ยงคิ้วที่ท่องคังหมู่บ้านเดียวกับคนแดนไกล อาก๊อมีอาชีพมีโรงงานผลิตอุปกรณ์เกี่ยวกับการเลียงสัตว์น้ำ เต้นเจียนหมิงอาจรู้จัก
อาโก๊ท่านเลี้ยงลูกมาดีขยันขันแข็งเอาการเอางานทุกคน แต่บุตรคนที่สองของท่านเป็นอภิชาติบุตร จบการศึกษาจากพระจอมเกล้า สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า อายุเพียง 34 ปี สามารถตั้งโรงงานประกอบอุปกรณ์เครื่องปั่นไฟเจนเนอร์เรเตอร์ ที่ใช้กับก๊าสมีเทนที่ได้จากมูลสัตว์จากฟามร์สุกร เจนเนอร์เรเตอร์ชุดหนึ่งราคาตั้งแต่ 3 - 8 ล้านบาท กิจการของบุตรของโก๊สมศักดิ์ กำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดร่ำรวย รับติดตั้งไปทั่วประเทศ
แต่มาเมื่อประมาณเดือนพฤศจิกายน 55 บุตรของโก๊ก็ไ้ด้รับข่าวร้ายว่าเป็นมะเร็งที่โพรงจมูก และเสียเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 56
มีคนพูดกันมากพูดกันเยอะว่าชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เข้านอนคืนนี้พรุงนี้เช้าจะตื่นมาหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่จงอย่าอวดเก่งอย่าอวดดีเลยว่ากูแน่ ใหญ่แค่ใหนก็ก็เล็กกว่าโลงกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
เขียนมาซะเครียดเลย แต่ตามหลักพุทธศาสนาท่านห้ามเครียดเด็ดขาดต้องดำรงค์ตนเป็น " ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน " ให้ตลอดทุกลมหายใจเข้าออกเป็นอาณาปานสติ และมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท " ความประมาทคือหนทางแห่งความตาย "
และไหง่อยากจะบอกอีกอย่างหนึงว่าแม้ว่ากฎทางสังคมจะกะพร่องกะแพร่งทำงานบ้างละเว้นการทำงานบ้าง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่บ้าง ยังมีคนเชิดหน้าชูตาหนีคดีอยู่ แต่กฎแห่งธรรมชาติ กฎแห่งพระไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนยังคงทำงานของมันอยู่ตลอดเวลาเลยตัวเอง
เซี่ยง เดียวกัน แต่งงานและสมรสกันไม่ได้ โบราณท่านถือ
ภูมิปัญญาของจีนโบราณ สุดยอดครับ โดยเฉพาะหลักขงจื้อ(กตัญญู) และ ซุนหวู
ในหมู่บ้านเดียวกัน มีแต่คนที่เป็นสะใภ้เท่านั้นที่โดยมากจะต่าง เซี่ยง กัน ถ้าเกิดไปทำผิด ศีลธรรม ลูกที่เกิดมาก็คงต้องรับ เวรกรรม ครับ อันเป็นผลของการกระทำ ซึ่งการไม่เชื่อผู้ หลักผู้ใหญ่ให้ความเคารพท่านอาวุโส ก็อาจเจอหมากัดได้นะครับ
เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด ตอเซีย บรรพชน คน (客人) และจีนแคะ ที่ยิ่งใหญ่
ลูกคิด
โก๊ฉินเทียน ไหงได้เห็นรูปที่เป็นสัญญาลักณ์ประจำตัวหงีไหงเลยนึกขึ้นได้ว่า ไอ้เจ้า ซ่อนผัน นี้ใครเป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้น ผู้คิดค้นในการใช้ลูกคิด )ซ่อนผัน( ก็คือ เมียของ ขงจื่อ นั่นเอง
ทั้งหลายทั้งปวง
ทั้งหลายทั้งปวง เรา อนุชน รุ่นหลังๆมา ให้ถือตาม "ล่อปัดกู้" เอาไว้เป็นดีที่สุด
แต่งงานกันได้ แต่...
普通 สู่ 善心 สู่ 釋放
กิเลสตัณหาโลภโกรธหลง
หิริโอตัปปะ
เท่าที่ไป
เท่าที่ไปเยี่ยมญาติที่ท้องคั้ง ญาติทางนั้นก็บอกเช่นกันว่าบรรพบุรุษสั่งกันต่อๆ มาถึงปัจจุบันว่าห้ามคนเซี่ยงฉิน แต่งกับ.....(จำไม่ได้ละ) เหตุเท่าที่รู้ เนื่องจากสมัยก่อนบรรพบุรุษ 2 ตระกูลทะเลาะด่าว่าต่อยตีกันเอาเป็นเอาตายแล้วสาปแช่งไม่ข้องเกี่ยวกัน
สมัยนี้เรามาอยู่เมืองไทย ชาวพุทธ เราถือ การให้อภัยกัน อโหสิกรรมกัน ใช่มั๊ยคะ ก็อย่าไปถือแล้วเลยค่ะ ผู้ใหญ่ที่อยู่เมืองไทยคงเข้าใจเรื่องอโหสิกรรมค่ะ แต่เมืองจีนรู้สึกยังเข้มข้นกับการสาปแช่งอยู่
ยังมีอีกข้อห้ามหนึ่ง
อย่างเช่นผู้ชาย หรือ ผู้หญิง ที่เกิดในเดือนที่เรียกว่า พ่อเงียด (พั่ววั่ย ในภาษาแต้จิ๋ว) ซึ่งปีเกิดในแต่ละปีจะมีอยู่หนึ่งเดือนที่เป็น พ่อเงียด ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ห้ามไม่ให้แต่งงานกัน ซึ่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดวงจะมาข่มกัน จะอยู่กันไม่ตลอดรอดฝั่ง (ตายจากกัน) อย่างพี่เขยไหงคนที่ 2 แต่งงานกับพี่สาวไหงได้เพียง 2 ปีกว่าๆก็ตาย ซึ่งคราวดูตัวกันฝ่ายพี่เขยไหงไม่ยอมบอกว่าเกิดเดือนอะไร จนมาตกลงกันจึงบอกวันเดือนปีเกิด พอผู้ใหญ่รู้ก็เลยห้ามไว้ แต่ด้วยวาสนาของพี่สาวไหงคงลิขิตมาอย่างนี้ จึงตกลงกันว่าแต่ง แต่ต้องทำพิธีล้าง ซึ่งเหตุการนี้กว่า 37 ปีมาแล้วไหงจำไม่ได้ว่าทำอย่างไรหรือไม่ นี่ก็คือข้อห้ามอีกอย่างหนึง
เสียดายจร
เสียดายจริงอยากรู้จังว่าเซี่ยงอะไรห้ามแต่งกับเซี่ยงฝุง(อยากรู้เก็บไว้เป็นข้มูลประวัติ์ศาสตร์)
ไตรลักษณ์เกิดแก่เจ็บตาย