หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนหนึ่ง: ยุคขุดบ่อหล่อธารา

รูปภาพของ วี่ฟัด

จีนกับไทย นอกจากจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันทางสายเลือด ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแล้ว จีนยังเป็นประเทศที่อยู่ใกล้ชิดเรามากที่สุด จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไปหวังน้ำในที่ไกล เพราะฉะนั้น ชาติของเราจะเป็นศัตรูกับจีนไม่ได้ หากยังเป็นมิตรกันไม่ได้ ก็ไม่ควรเป็นศัตรูกัน”
       
คือสัจวาจาของคุณ สังข์ พัธโนทัย กล่าวไว้เมื่อปี พ.ศ. 2498 ขณะนั้นจีนเพิ่งปฏิวัติจีนใหม่(1949-2492) ภายใต้การนำผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ท่านประธานเหมา เจ๋อตงมาได้เพียง 5 ปี

ความคิดดังกล่าว ได้นำไปสู่การต่อสู้ปฏิบัติการปลูกไมตรีไทย-จีน ท่ามกลางอุปสรรคอันโหดหิน คุณสังข์และกัลยาณมิตรของท่านมากมาย ได้ปฏิบัติการใต้ดิน ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญ และเสียสละอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งเสี่ยงชีวิต ติดคุกติดตารางกันร่วมสิบปี เนื่องจากในยุคนั้นรัฐบาลไทยภายใต้การนำของจอมพล ป.พิบูลสงครามต้องดำเนินนโยบายต่อต้านจีนแดงตามสหรัฐอเมริกา ท่านเหล่านี้ เสมือนผู้ขุดบ่อ ให้สายธารน้ำได้ไหลรินมาสู่ โดยสายธารน้ำนั้น คือสายธารแห่งสัมพันธ์ไทย-จีน

‘มุมจีน’ ได้สบโอกาสดี ได้รับฟังและพูดคุยกับผู้เป็นประจักษ์พยานและเป็นผู้หนึ่งที่ได้ต่อสู้เสี่ยงชีวิตในภารกิจปลูกไมตรีไทย-จีนเมื่อ 57 ปี ที่แล้ว คือ คุณวรรณไว พัธโนทัย บุตรชายของคุณสังข์ พัธโนทัย

คุณวรรณไวได้เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจปลูกไมตรีไทย-จีน โดยคุณสังข์ได้ส่งท่านและน้องสาว คุณสิรินทร์ พัธโนทัย (ชื่อเดิม นวลนภา) ขณะนั้นยังเป็นเด็กชาย-เด็กหญิง ไปเป็นบุตรบุญธรรมของนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล เพื่อแสดงความจริงใจในการผูกมิตรกับไทย เสมือน ‘เป็นตัวประกัน’ นั่นเอง คุณวรรณไวได้เติบโตใช้ชีวิตในประเทศจีนราวสิบปีจากปี พ.ศ. 2499 และได้ถูกกลุ่มปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมขับออกมาในปี 2509

คุณวรรณไว พัธโนทัย ได้เล่าประวัติศาสตร์การบุกเบิกสัมพันธ์ไทย-จีนในยุคที่ไทยดำเนินนโยบายต่อต้านจีนอย่างรุนแรง ในการบรรยายพิเศษ “ประสบการณ์ชีวิตในจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม” จัดโดยโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาศรมสยาม-จีนวิทยา และโรงเรียนภาษาและภูมิปัญญาตะวันออก OKLS

นอกจากนี้ คุณวรรณไวยังได้กรุณาให้สัมภาษณ์ บอกเล่าชีวิตการต่อสู้ของบิดาของท่านในภารกิจปลูกไมตรีกับจีนที่เต็มไปด้วยขวากหนาม

คุณวรรณไวได้เล่าสถานการณ์ในยุคปลูกไมตรีไทย-จีนของท่านจอมป.พิบูสงคราม ตอนนั้น โลกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ค่ายโลกเสรีอันมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และค่ายโลกสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯพยายามทุกวิถีทางในการสกัดจีนไม่ให้เติบโต และไทยก็เป็นพันธมิตรสหรัฐฯร่วมต่อต้านจีน ผู้ที่เป็นมือขวาในการต่อต้านคอมมิวนิวสต์ ก็คือ คุณ สังข์ พัธโนทัย คนสนิทและที่ปรึกษาของท่านจอมพลป.พิบูลสงคราม

“เดิมทีคุณสังข์เป็นนักต่อต้านคอมมิวนิสต์ตัวยง เป็นคนควบคุมงบประมาณปราบปรามคอมมิวนิสต์ทั้งหมดของประเทศ โฆษณาทางวิทยุ ผลิตโปสเตอร์ แผ่นผ้า ฯลฯ เพื่อทำให้คอมมิวนิสต์ดูเป็นยักษ์ร้ายน่ากลัว ‘เมื่อคอมมิวนิสต์มา ศาสนาก็ถูกทำลาย’ เป็นคำขวัญพ่อผม

“แต่เมื่อสหรัฐฯแพ้คอมมิวนิสต์ในสงครามเกาหลี ทำให้ประเทศเล็กไม่แน่ใจความแข็งแกร่งของสหรัฐฯ คุณสังข์เริ่มสงสัยว่า ความเลวร้ายของคอมมิวนิสต์ที่อเมริกันกรอกหูคนไทยมาช้านานนั้น แท้จริงแล้วเป็นเช่นไร ที่โลกเสรีเล่าอ้างกันเกี่ยวกับระบบที่รวมทุกอย่างเป็นของกลาง แม้กระทั่งเมียรวมนั้น จริงเท็จประการใด โดยเฉพาะ ‘ผีคอมมิวนิสต์’ ที่ถูกวาดภาพให้เป็นยักษ์เป็นมาร

“จากนั้นคุณสังข์เริ่มศึกษาจริงจังโดยฟังวิทยุคลื่นสั้นจากกรุงปักกิ่ง ขณะนั้นมีภาคภาษาไทย กอปรกับพื้นฐานคุณสังข์เป็นหนอนหนังสือ ชอบอ่าน ศึกษาหาความรู้อยู่เป็นนิจ เอาทฤษฎีสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์มาศึกษา จึงรู้ว่าลัทธิมาร์กซิสม์ก็มีเป้าหมายเพื่อความผาสุกและเท่าเทียมของประชาชน แต่วิธีการนั้นแตกต่างไปจากโลกตะวันตก เป้าหมายคอมมิวนิสต์ก็เพื่อสังคมร่มเย็น

“และก็เริ่มรู้ซึ้งว่าเราถูกฝรั่งหลอก ฝรั่งหลอกให้คนเอเชียด้วยกันเป็นศัตรูกัน”

“การศึกษาจากตำราต่างประเทศ ทำให้รู้ว่าจีนก้าวไปไกลแค่ไหน ยักษ์ที่หลับใหลมานานได้ตื่นขึ้นมาแล้ว สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่อชาติเราแน่ เราเป็นศัตรูกับจีนไม่ได้แล้ว” คุณวรรณไว เล่าความคิดของบิดาที่ทำให้ชีวิตพลิกผันหันมาปลูกไมตรีจีน

เดิมทีไทยกับจีนเสมือนบ้านพี่เมืองน้อง ทั้งในฐานะที่เป็นคนเอเชีย มีการผสมกลมกลืนทางชาติพันธุ์อย่างไม่ขัดแย้ง คุณสังข์ก็มีเชื้อจีน กอปรกับตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ไทย-จีนไม่ไกลกันเลย คุณวรรณไวเทียบเคียงว่า “แค่คนมณฑลกวางตุ้งเดินเท้าบุกไทย ก็ราบเป็นหน้ากลองแล้ว (หัวเราะ)...” ตามภาษิตที่ว่า น้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ ประเทศไทยใกล้กับจีนมาก เกิดเหตุการณ์ใหญ่ฉุกเฉินขึ้นมาเราจึงมิอาจพึ่งอเมริกาซึ่งเปรียบเสมือนน้ำไกลได้อีกต่อไป มิสู้เราผูกมิตรกับจีนจะดีกว่า

หลังจากนั้นคุณสังข์จึงได้นำเรื่องนี้ไปหารือกับจอมพลป.พิบูลสงคราม ท่านจอมพล ป. เป็นนักการทหารที่เป็นนักการเมืองด้วย ก็เห็นด้วย

สู่ปฏิบัติการใต้ดิน

ในเดือนเม.ย.ปี 2498 มีการประชุมกลุ่มประเทศเอเชีย-แอฟริกา (AFRO-ASIAN NATION) ที่นครบันดง ประเทศอินโดนีเซีย สหรัฐฯพยายามห้ามประเทศบริวารของตนไปประชุม เนื่องจากหากปล่อยให้ประเทศเล็กเข้าร่วมการประชุมฯก็จะล่วงรู้สถานการณ์ความเป็นไปที่แท้จริง เกรงว่าหากประเทศทั้งหลายได้พบผู้นำจีน แล้วได้เห็นว่า จีนมิได้น่ากลัวดั่งยักษ์มารตามที่สหรัฐฯโฆษณา พวกเขาอาจหันเหไปเข้ากับจีน

แต่ไทยก็ไม่ยอมเสียโอกาสงามนี้ ครั้งนั้นไทยไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมฯ จึงขอเพียงเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์

จอมพลป.ส่งรัฐมนตรีต่างประเทศ คือเสด็จในกรมกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ (หรือพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ) ไปเข้าร่วมการประชุมบันดง ท่านโจว เอินไหล นายกรัฐมนตรีที่ควบดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ได้นำคณะผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมการประชุมฯ เสด็จในกรมฯได้ฟังโจว เอินไหล แถลงหลักการปัจศีลแห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เป้าหมายการต่อสู้ของจีน อันสร้างความเบาใจและความเข้าใจจีนใหม่แก่ที่ประชุมฯ

เสด็จในกรมฯได้สนทนาซักถามปัญหาต่างๆกับท่านโจว เอินไหล โดยขณะนั้นไทยมีปัญหาข้องใจข่าวลือที่ว่า “จีนมีแผนรุกรานบ่อนทำลายประเทศไทย สนับสนุนอาวุธและฝึกคนอยู่ในเขตปกครองตัวเองสิบสองปัน มณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) โดยยกให้ท่านปรีดี พนมยงค์ ซึ่งลี้ภัยในจีนเป็นหัวหน้ากระทำการ”

ท่านโจวปฏิเสธข่าวลือ และก็ได้ชี้แจงกับเสด็จในกรมฯ พร้อมเชื้อเชิญผู้แทนจากไทยไปเยี่ยมประเทศจีน ไปดูที่สิบสองปันนา สำหรับท่านปรีดี พนมยงค์ พำนักอยู่ในประเทศจีนในฐานะผู้ลี้ภัยการเมืองเท่านั้น ไม่มีการกระทำใดเป็นปฏิปักษ์ต่อไทย

ท่านโจวประทับใจเสด็จในกรมฯมาก ฝ่ายเสด็จในกรมฯก็ได้กลับเมืองไทยพร้อมด้วยความเข้าใจและเชื่อมั่นในจีนใหม่ และได้รายงานแก่จอมพลป. ทั้งชื่นชมเสน่ห์ของผู้นำโจว เอินไหล

จอมพลป.จึงตัดสินใจผูกมิตรไมตรีกับจีน ซึ่งต้องกระทำการอย่างลับด้วยสถานการณ์ที่ไทยต้องดำเนินนโยบายต่อต้านจีนตามสหรัฐฯ ท่านจอมพลป.ได้มอบหมายให้คุณสังข์ เป็นผู้นำในการผูกไมตรีกับประเทศจีน และก็ได้ส่งคณะทูตใต้ดินชุดแรกไปยังประเทศจีน ได้แก่ คุณอารี ภิรมย์ และอาจารย์กรุณา กุศลาสัย บก.ข่าวต่างประเทศนสพ.เสถียรภาพ คุณอัมพร สุวรรณบล ส.ส.ร้อยเอ็ด คุณสอิ้ง มารังกูล ส.ส.บุรีรัมย์ ไป ‘ปฏิบัติการภารกิจลับที่ปักกิ่ง’

คณะทูตใต้ดินได้พบปะสนทนากับทั้งท่านประธานเหมา เจ๋อตง และนายกฯโจว เอินไหล...ได้ไปดูข้อเท็จจริงด้วยตาว่าประเทศจีนเป็นดังคำโฆษณาชวนเชื่อของจักรนิยมอเมริกาหรือไม่?

ไม่กี่เดือนต่อมา นายกรัฐมนตรีอูนุแห่งพม่าได้เชิญจอมพลป.ไปเยือนพม่าในเดือนธ.ค. 2498 คุณสังข์ได้ถือโอกาสนี้จัดการพบปะเจรจากับผู้แทนจีน โดยคุณสังข์ และนาย เลื่อน บัวสุวรรณ นายธนาคารศรีอยุธยาผู้สนับสนุนด้านทุนรอน ได้เดินทางไปกับคณะจอมพลป. เพื่อเจรจากับผู้แทนจีนนี้ นายกฯโจว เอินไหล ได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตจีนประจำพม่า นาย เหยา จงหมิง เป็นผู้แทนการเจรจาฯ คุณสังข์ และคุณเลื่อนได้เจรจากับเหยา จงหมิงระหว่างวันที่ 16- 17 ธ.ค.2498 และได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมการเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างประชาชนไทยและประชาชนจีน ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล

จากนั้นคุณสังข์ได้ดำเนินการส่งคณะทูตไทยหลายคณะ รวมทั้งคณะสงฆ์นานาชาติไปยังประเทศจีน โดย จีนออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

“สำหรับการติดต่อกันอย่างลับๆนี้ ท่านโจว เอินไหลผู้รู้หลักการธรรมชาติ เข้าใจและเห็นใจที่ไทยยังรับเงินจากสหรัฐฯ ก็ว่าไม่เป็นไร ติดต่อลับ ๆ กันไปก่อน ใช้วิธีประชาชนติดต่อกับประชาชน

“ที่น่าสังเกตประการหนึ่ง คือไทยทำกับจีนไว้เจ็บแสบพอสมควร แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของท่านโจว เอินไหลที่ว่า ‘เป็นมิตรดีกว่าเป็นศัตรู’”


http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000042596 


รูปภาพของ วี่ฟัด

ตอนสอง ส่งลูกในไส้ไปเป็นตัวประกันผูกมิตรไมตรีกับจีน

ส่งลูกในไส้ไปเป็นตัวประกันสานมิตรไมตรีกับจีน

“คุณพ่อสนใจประวัติศาสตร์มาก ได้อ่านเรื่องสานสัมพันธไมตรีระหว่างเจ้าผู้ครองแคว้น โดยส่งลูกหลานไปเป็นบรรณาการ เป็นบุตรบุณธรรม เป็นคนรับใช้ แต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นต้น จึงคิดส่งลูกไปเป็นตัวประกัน เพื่อแสดงความจริงใจ ให้จีนเชื่อว่าไทยต้องการผูกมิตรกับจีนจริงๆ

“หะแรก ท่านโจว เอินไหล ได้ทัดทานความคิดคุณสังข์ที่จะส่งลูกไปยังเมืองจีน ว่าอาจเกิดอันตรายเพราะพวกสายลับซีไอเอของสหรัฐฯ มีหูตาแพรวพราวทั่วไปหมด”

ในที่สุด คุณสังข์ก็ได้ตัดสินใจส่งบุตรธิดาสองคน คือ คุณวรรณไว และคุณสิรินทร์ (ขณะนั้นอายุ 12 ขวบ และ 8 ขวบ) ไปศึกษาที่เมืองจีน ภายใต้ความอุปการะของท่านโจว เอินไหลในเดือนส.ค. 2499

“นี่เป็นต้นตอของชีวิตพิศดารของผม ที่คุณพ่อเป็นผู้ลิขิต” คุณ วรรณไว เล่า

“ที่จริง คนที่ควรไปคือ พี่มั่น (ดร.มั่น พัธโนทัย) เพราะเป็นบุตรชายคนโต โตมากกว่า แต่ที่ส่งผม ซึ่งเป็นบุตรคนที่สองไป เพราะชื่อของผมพ้องกับพระองค์เจ้าวรรณไวทยากร (หรือเสด็จในกรมกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์) พระองค์วรรณฯประทานชื่อให้ผมเนื่องจากผมเกิดวันเดียวเดือนเดียวกับท่าน คุณพ่ออยากให้ท่านโจวได้ระลึกถึงคำมั่นสัญญาที่ท่านให้ไว้แก่พระองค์วรรณฯในการประชุมบันดง

“คุณพ่อได้บอกเรื่องส่งพวกเราไปเมืองจีนก่อนหน้าวันเดินทางวันเดียว พ่อน้ำตาคลอเบ้าด้วยความสงสารลูกกอดลูก อธิบายว่า ‘พ่อกับท่านจอมพลกำลังร่วมกันทำงานสำคัญเพื่อผูกมิตรกับประเทศจีน...พ่อรักลูก ลูกคือหัวใจของพ่อ แต่เพื่อชาติบ้านเมือง พ่อจำเป็นต้องตัดใจส่งลูกไปอยู่เมืองจีนสักพักหนึ่ง’

“และประวัติศาสตร์ตอนนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าคุณแม่ (วิไล พัธโนทัย) ไม่เห็นด้วย การยอมให้ลูกไปเมืองที่ไม่มีเครื่องบินไปลงโดยตรง ติดต่อทางจดหมาย-โทรศัพท์ก็ไม่ได้ สำหรับคนเป็นแม่ หัวอกแม่ เอาเลือดในอกสองก้อนไปอยู่ในประเทศศัตรู นับเป็นการตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้น ประวัติศาสตร์ตอนนี้ ถ้าพ่อเป็นวีรบุรุษ แม่ก็เป็นวีรสตรี”

“ปกติการเดินทางไปจีนสมัยนั้นไปทางฮ่องกง แต่ที่ฮ่องกงสายลับอเมริกันเยอะเหลือเกิน ไปทางพม่าดีกว่า เก็บความลับได้ดีที่สุด ความสัมพันธ์จีน-พม่าดีมาก พม่าเป็นศูนย์กลางปฏิบัติการติดต่อลับระหว่างไทย-จีนในขณะนั้น

“พวกเราสี่คน ผมและน้อง และพี่เลี้ยงสองคน คือคุณเจริญ กนกรัตน์ คุณพิศิษฐ์ ศรีเพชร คนสนิทของพ่อเป็นคนพาไป นั่งรถเข้าพม่าโดยไม่ต้องไปตรวจหนังสือเดินทางประทับตราเอกสารเข้าเมืองเลย ตรงนี้เป็นความอนุเคราะห์ของนายกฯอูนุ ท่านช่วยเต็มที่ เมื่อเห็นไทย-จีนจะเริ่มเปิดสัมพันธ์กัน ท่านก็ยินดีด้วย เอารถไปส่งขึ้นเครื่องบินทหารที่จีนส่งมารับที่ย่างกุ้ง...”

และการณ์ก็เป็นไปตามที่ท่านโจวมอง ปีต่อมาพวกสายลับอเมริกันก็รู้เรื่องหมด จอมพลป.ก็กระเด็นออกจากรัฐบาล โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบกทำการปฏิวัติล้มจอมพลป. ในวันที่ 16 ก.ย. 2500 “พวกอเมริกันนั้น ผลประโยชน์เป็นใหญ่ หมดประโยชน์ก็โยนทิ้ง ผิดกับจีนที่มีความจริงใจ แม้จอมพลป.หลุดจากอำนาจแล้ว ผู้นำจีนก็ยังเลี้ยงดูแลผมและน้องอย่างดีจนเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง แม้เวลาล่วงไปนานนับสิบๆปี ท่านโจว เอินไหล ได้ถึงแก่อสัญกรรมในปี 2519 คุณสังข์ล้มป่วยเป็นอัมพาตในปี 2521 รัฐบาลจีนก็ยังได้เชิญท่านไปรักษาตัวที่ปักกิ่งจนอาการดีขึ้น”

จอมสฤษด์ ธนะรัชต์ ผ่าตัดม้ามที่อเมริกาเพียงวันเดียวก็บินกลับมากรุงเทพฯทำการรัฐประหารอีกครั้งในวันที่ 20 ต.ค. 2501 ทำลายระบอบประชาธิปไตย ดำเนินนโยบายขวาจัด หันมาต่อต้านจีนอย่างไม่ลืมหูลืมตา สัมพันธ์ไทย-จีนมีอันหยุดชะงักงันไป มีการจับกุมผู้ที่เคยเดินทางไปจีน โดยยัดเยียดข้อหา ‘คอมมิวนิสต์’ รวมทั้งคุณสังข์ และกัลยาณมิตรในปฏิบัติการทูตใต้ดินในจีน

คุณสังข์ถูกคุมขังนาน 7 ปี ในยามวิบัติเช่นนั้น ระหว่างนั้น คุณวิไล ได้เสี่ยง “ดำดิน” ไปเยี่ยมลูกที่ปักกิ่ง ปี 2504

เมื่อศาลฯพิพากษาคุณสังข์ชนะคดี มิได้มีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ตามที่จอมพลสฤษดิ์และพวกกล่าวหาแต่อย่างใด และออกจากคุกในปี 2509 คุณสังข์คิดถึงลูกจะไปเยี่ยมลูกที่เมืองจีน ได้ติดต่อสันติบาล แต่สันติบาลแจ้งว่า “ท่านเป็นคนมีประวัติทางการเมือง ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ”

และจู่ๆนาย นอร์แมน บี. ฮันน่า ที่ปรึกษาเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ก็เชิญคุณสังข์ไปทานข้าว ฉลองการพ้นโทษ (ทั้ง ๆ ที่อเมริกันอยู่เบื้องหลังจับคุณสังข์เข้าคุก) เมื่อคุณสังข์บอกว่าไม่ได้เจอหน้าลูก 10 ปีแล้ว อยากไปเยี่ยมลูก ฮันน่าตอบว่า “ตกลง เดี๋ยวจัดการให้”

และหนึ่งสัปดาห์ต่อมา คุณสังข์ก็สามารถเดินทางไปประเทศจีน ‘อเมริกาสามารถบีบไทยออกหนังสือเดินทางได้’...! ซึ่งต่อมาเมื่อมีการแฉเรื่องนี้ออกหนังสือพิมพ์ สหรัฐฯโกรธมาก

การที่คุณสังข์ได้เดินทางไปเยี่ยมลูกครั้งนั้น หาใช่ความเมตตากรุณาของอเมริกันแต่อย่างใด แต่มีผลประโยชน์แลกเปลี่ยน โดยสหรัฐฯได้ฝากคุณสังข์ช่วยพูดจากับผู้นำจีนเรื่องสงครามเวียดนามที่ยืดเยื้อมานานและอเมริกันเบื่ออยากจะถอยโดยไม่เสียหน้า ขอให้ผู้นำจีนช่วยจัดการเจรจายุติสงครามในประเทศใดก็ได้...

แต่เวลานั้น คือ ปี 2509 (1966) จีนกำลังอยู่ในช่วงการปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรมโดยแก๊งสี่คน การจะพบตัวผู้นำนั้นยากลำบาก ผู้นำทางการเมืองหลายคนถูกใส่ร้ายว่าเป็นพวกปฏิกิริยา ถูกลงโทษส่งไปทำงานในชนบทก็มาก ส่วนท่านนายกฯโจว เอินไหลก็เหลือแต่ชื่อ อำนาจทุกอย่างตกอยู่ในอุ้งมือของแก๊งสี่คน นำโดยภรรยาของเหมา เจ๋อตง คือนางเจียง ชิง

เมื่อคุณสังข์ไปถึงจีน คุณวรรณไวได้เล่าสถานการณ์ในจีนน่ากลัวมาก การนำเรื่องที่สหรัฐฯฝากมาไปบอกแก่จีนนั้นเสี่ยงอันตรายมาก “...แต่คุณพ่อก็ไม่ยอม บอกว่าการทำให้คนเลิกฆ่ากันได้และกลับมาเป็นมิตรกันนั้นเป็นเรื่องที่ดี พ่อไม่กลัวอะไรทั้งนั้น...” คุณสังข์ยืนกราน และไปพบกับผู้นำยามพิทักษ์แดง หรือเรดการ์ด

พวกเรดการ์ดไม่ให้เข้าพบท่านโจว โดยอ้างว่าท่านโจวสุขภาพไม่ดี และได้มอบหมายให้ท่านทูตเหยา จงหมิง (ทูตจีนประจำพม่าที่เป็นตัวแทนนายกฯโจวเจรจากับคุณสังข์ที่ย่างกุ้งในปี 2598) มาฟังเรื่องราวที่คุณสังข์เล่าความปรารถนาของสหรัฐฯ

คุณวรรณไว เล่า “หลังจากรู้ไต๋ของมะกันแล้ว ทูตเหยาก็หายไปหลายวัน สุดท้ายได้กลับมาตอบอย่างแข็งกร้าวว่า มะกันทำจีนไว้เจ็บแสบ เลือดต้องล้างด้วยเลือด จีนไม่มีวันประนีประนอมกับสหรัฐฯเด็ดขาด จะยืนข้างเวียดนามต่อสู้กับสหรัฐฯต่อไป...”ท่านทูตเหยาบอกว่าโลกขณะนี้แบ่งเป็นสองค่าย จะซ้ายหรือขวา ให้คุณสังข์เลือกเอาเองว่า “จะอยู่ในจีนหรือจะกลับไปให้อเมริกาใช้งาน”

“คุณพ่อตอบไปว่า "ผมเห็นว่าเวลานี้ถ้าประเทศมหาอำนาจไม่หันมาจับมือกัน สันติภาพโลกก็เกิดขึ้นไม่ได้"

สุดท้ายคุณสังข์ตัดสินใจขอกลับเมืองไทย ขอให้จีนคืนหนังสือเดินทางให้ พร้อมกับขอเยี่ยมคารวะท่านโจวสักครั้ง แต่เรดการ์ดก็อ้างท่านโจว “ไม่ว่าง...ไม่ว่าง...” ทูตเหยากลับมาบอกว่าหาหนังสือเดินทางไม่เจอ จนคุณสังข์ยื่นคำขาดจะกลับเมืองไทย ในที่สุด คุณวรรณไว และนวลนภาก็มาส่งที่ชายแดน

ถูกขับออกจากจีน
เมื่อคุณสังข์กลับเมืองไทย ไม่กี่เดือนต่อมา ตำรวจจีนก็เอาแถลงการณ์มาประกาศ ระบุว่าคุณวรรณไวอยู่จีนมานาน ไม่รู้บุญคุณข้าวแดงแกงร้อน จึงตัดสินให้เป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา ขับออกจากจีนภายใน 48 ชั่วโมง

วันรุ่งขึ้นตำรวจก็มารับตัวคุณวรรณไวไปขึ้นเครื่องบินไปก่วงโจว ไปพักโรงแรมคืนหนึ่งรุ่งเช้าตีห้าก็มาปลุก พาขึ้นรถไปที่ชายแดน “ตอนนั้น กลัวมาก กลัวถูกยิงเสียกลางทาง โชคดีที่รอดมาได้ ส่วนน้องสาว (สิรินทร์) ก็แยกไปอยู่กับเรดการ์ด เขียนบทความด่าพ่อเป็นสมุนซีไอเอ ประกาศตัดพ่อตัดลูก ด้วยสถานการณ์บังคับ”

“ออกจากจีนแล้ว ก็เจอปัญหาพาสปอร์ตหมดอายุ จะขอลี้ภัยการเมืองอยู่ที่มาเก๊า ตอนนั้นกลับเมืองไทยไม่ได้ เพราะอยู่จีนมานาน อาจโดนข้อหาคอมมิวนิสต์ แต่เจ้าหน้าที่โปรตุเกสในมาเก๊าก็พาตัวไปที่สถานกงสุลไทย และก็คุมตัวอยู่ที่นั่น”

“จากนั้นเจ้าหน้าที่กงสุลไทยในมาเก๊าส่งเรื่องไปยังฮ่องกง ทูตไทยที่ฮ่องกงรู้ที่มาที่ไปเป็นอย่างดี ก็รีบเดินทางด่วนมาถึง ผมโทรเลขไปบอกพ่อ พ่อก็ไปหาทูตฮันน่าให้ช่วยจัดการ ผมไปอยู่ที่ฮ่องกง มีเจ้าหน้าที่ทหารไทยสามคนมาสัมภาษณ์ เขาจะเอาตัวกลับไทย แต่เราไม่ยอม กลัวโดนข้อหาคอมมิวนิสต์ ในที่สุดก็อยู่รอจนกระแสเย็นลง”

เมื่อกลับประเทศไทย เจ้าหน้าที่ก็พามาอยู่ที่บ้านสุขุมวิท ซอย 24 มีตำรวจไทยคอยเฝ้าอยู่สามคน เจ้าหน้าที่อเมริกันแวะเวียนมาซักถามเรื่องราวเกี่ยวกับจีนมิได้ขาด อิทธิพลอเมริกันสมัยนั้นแรงมาก ขนาดไล่ตำรวจสันติบาลไทยยศสูงที่เข้ามาหาคุณวรรณไว ว่า “นี่ คนของผม” สุดท้ายอเมริกันยื่นข้อเสนอให้คุณวรรณไวไปเป็นที่ปรึกษาฝ่ายจีนให้กับสหรัฐฯ

คุณวรรณไวปฏิเสธ “จะให้ออกจากจงหนานไห่ ไปเข้าทำเนียบขาวนั้น อกตัญญู ผมทำไม่ได้ ทำอย่างนั้นยิ่งกว่าหมาอีก จีนเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ก็เหมือนพ่อแม่เรา ”

และคุณวรรณไว ก็ได้กลับมาอยู่กับครอบครัว ได้ทำงานถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับจีน เขียนหนังสือ โจว เอินไหล ผู้ปลูกไมตรีไทย-จีน ซึ่งตีพิมพ์ครั้งสอง เมื่อปีที่ผ่านมา และแปลวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก

รูปภาพของ YupSinFa

เสริมต่อจากท่านวี่ฟัดโก

     ครบขวบปีแล้วที่ไหงไม่ได้โพสต์เรื่องราวอะไรต่อมิอะไรในเว็ปชุมชนฮากกาอันเป็นที่รักยิ่งของไหงเลย เหตุผลก็มีหลายอย่าง สำคัญที่สุดคือได้พูด(เขียน)ไว้ว่าขอหยุดสักปีันึง

     ประกอบกับธุรกิจการงานก็ต้องปลุกปั้นสานต่อให้สำเร็จราบรื่่น ต้องขึ้นเหนือไปประเทศจีน ค่อนข้างจะเกือบทุกเดือน เอาเป็นว่าปี สองพันสิบเอ็ด ไหง่เข้าจีนรวม แปดครั้ง ด้วยกัน ซึ่งจะนำมาเล่าให้สู่้กันฟังสนุก ๆ วันใดก็วันหนึ่ง

     วันนี้ได้อ่านบล๊อคของวี่ฟัดโก ชักมันเขี้ยว จึงขอเติมเสริมแต่งเท่าที่พอจำได้เลือน ๆ ลาง ๆ เพราะไหงอ่านหนังสืออัตชีวประวัติเชิงนวนิยายของคุณ "สิรินทร์ พัธโนทัย" น้องนุชคนสุดท้องของตระกูลพัธโนทัย ซึ่งเธอได้เขียนเรื่องราวของเธอกับพี่ชาย(คุณวรรณไว พัธโนทัย) ในการที่ถูกส่งตัวไปอาศัยอยู่้ในประเทศจีน ในชื่อเรื่องว่า "มุกมังกร" 

     ไหงได้อ่านหนังสือเรื่องมุกมังกรได้สัก สองถึงสามรอบ รู้สึกชอบมาก เนื้อหาภายในนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องราวและเหตุผลที่สองพี่น้องจะต้องถูกส่งไปอาศัยอยู่ ณ กรุงปักกิ่งในสมัยนั้น ยังมีเนื้อหาที่เป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ ทั้ง ฝั้งจีน และฝั่งไทย

     ไหงขออนุญาต เพิ่มเติมสรุปเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ให้ไท้ก๋าหยิ่นเพื่อรู้พอคร่าว ๆ เท่าที่สมองของไหง่จะพอจำได้ ที่สำคัญ ท่านทั้งหลายจะได้มีความสนใจ เสาะหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกัน

     เริ่มจาก คุณสังข์ พัธโนทัย ซึ่งในขณะนั้นมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูํลสงคราม นายยกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้นได้เสนอให้ท่านผู้นำ ผูกสัมพันธ์กับทางการจีนใหม่ อย่างลับ ๆ (นโยบายตีสองหน้า-ทางที่เปิดเผยก็สนับสนุนและเชื่อฟังสหรัฐอเมริกา-ในทางลับก็อยากผูกมิตรกับประเทศจีันใหม่-นับว่า ท่านสังข์ นี้เป็นบุคคลที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงและมีแววตาหรือวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลมาก ๆ )

     ในตอนแรกท่านผู้นำ หรือท่านจอมพลแปลก ก็ตกใจ และไม่เห็นด้่วยที่จะนำเด็กน้อยทั้งสองไปฝากเลี้ยงในจงหนานไห่ เพราะทั้งคุณวรรณไว และคุณสิรินทร์ ต่างก็เหมือนกับลูกแท้ ๆ ของท่านจอมพลเพราะท่านเห็นทั้งสองคนนี้มาตั้งแต่แบเบาะ และรักทั้งสองท่านเหมือนลูกในไส้ โดยเฉพาะคุณสิรินทร์นั้น ช่้างเป็นเด็กทีั่เฉลียวฉลาดและพูดจาเก่งมาก

     ในที่สุดท่านผู้นำไทยก็จำต้องเห็นคล้อยตามในเหตุผลของที่ปรึกษานามสกุลพัธโนทัย ท่านนี้

     .......................ฯลฯ

     เมื่อไปถึงปักกิ่ง เด็กทั้งสองถูกนำไปพักอาศัยยังบ้านพักรับรองที่ปลอดภัยมากที่สุด มีพ่อบ้าน แม่บ้าน เป็นพี่เลี้ยง เพื่อเรียนภาษาจีนกลางอย่างเข้มข้น มีพ่อครัวประจำบ้าน มีบอดี้การ์ดคอยคุ้มกัน และมีรถยนต์ประจำตำแหน่ง 

     ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฯพณฯ อัครมหานายกรัฐมนตรีมหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน เป็นผู้ "จัดให้" 

     เมื่้อเด็กทั้งสองคนได้เรียนภาษาจีนกลางจนสามารถพูดจาสื่อสารและอ่านออกเขียนได้แล้ว จึงได้พบกับท่านนายกฯโจว และถูกส่งเข้าโรงเรียนประถม หมายเลข......และท่านโจวก็เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศสาธารณรัฐจีนใหม่ ที่สำคัญท่านได้รับปากกับท่านจอมพลผู้นำไทย ว่าจะเลี้ยงดู "ฑูตน้อย ๆ " ทั้งสองคนนี้ดุจไข่ในหิน

     เนื่องจากท่านนายกรัฐมนตีโจวเิอินไหล มีภาระที่หนักอึ้งในการบริหารประเทศ ท่านจึงได้มอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีท่านหนึ่งมีนามกรว่า "เลี่ยวเฉิงจื้อ" หรือ เหลี่ยวเฉิ่งจึ บุตรชายของ ท่านเลี่ยวจ้งข่าย (เพื่อนรักและมือขวาคนสนิทของท่าน ด๊อกเตอร์ซุนจงซาน) กับมาดามเหอเซียงหนิง แกนนำพรรคกว๋อหมินตั่งฝ่ายซ้าย(ที่เป็นพันธมิตรกับพรรคก้งฉา่นตั่ง)

     ท่านเลี่ยวเฉิงจื้อนี้เอง เป็นชาวฮากกา เว้าภาษาเดียวกันกับพวกเราเนื่องด้วยบิดาของท่าน เป็นชาวฮากกาจากอำเภอหมอยเย้น นั่นเอง

     ทั้งคุณวรรณไว กับ คุณสิรินทร์ จึงมีพ่อบุญธรรม กับแม่บุญธรรมในประเทศจีน อยู่้ สอง คู่้ คือ ท่านโจวเอินไหล กับ ท่านเติ้งอิ่งเชา และท่านเลี่ยวเฉิงจื้อ กับ ภริยา

     แรกเริ่มเดิมที เด็กทั้งสองคน ได้นั่งรถประจำตำแหน่ง สุดแสนจะโก้หรู โดยมีพลขับ คอยรับ-ส่ง จากบ้าน ไปโรงเรียน โดยมีท่านเลี่ยวเฉิงจื้อมาเยี่ยมเยียนและติดตามผลการเรียนเป็นระยะ ๆ หรือในวันหยุดเรียนก็ไปนอนพักที่บ้านของท่านเลี่ยวเฉิงจื้อ โดยมี อาผอไท้เหอเซียงหนิง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร

     นาน ๆ ครั้ง ทั้งสองคนถึงจะได้พบกับท่านโจวเอินไหล ไม่ที่จงหนานไห่ ก็ที่บ้านพักของทั้งสอง

     บรรดาเด็ก ๆ ในโรงเรียนและเพื่อนร่วมชั้นเรียน แม้แต่ครูใหญ่ลงมาจนถึงครูน้อย นักการภารโรง ทุกคนต่างฉงนสนเท่ห์ ในสถานะของเด็กลึกลับสองคนพี่น้องนี้ แต่ทุกคน ถูกมือที่มองไม่เห็นสั่งให้ทำเป็นหูหนวกตาบอด ห้ามถามถึงสถานะของเด็กไทยสองคนนี้

     ทั้งสองคน ได้รับความรักความอบอุ่นจากท่านโจวเอินไหล กับท่านเติ้งอิ่งเชา ภริยา และท่านเลี่ยวเฉิงจื้อกับครอบครัว

     วันชื่นคืนสุขผ่านไปอย่างรวดเร็ว ล่วงเข้า ทศวรรษที่ หนึ่งพันเก้าร้อยหกสิบเจ็ด ประเทศจีนเกิดการก้าวกระโดดใหญ่ทางอุตสาหกรรมตามปัญหาอันแตกฉานจนกระเจิดกระเจิงของประธานเหมาเจ๋อตง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรมที่เลวร้าย บรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ร่วมสู้รบ กินข้าวหม้อเดียวกัน นอนด้วยกันมา ต่างถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นผู้ปฏิปักษ์กับคอมมิวนิสต์ บ้า่ง มีความคิดเอียงไปในทางทุนนิยมบ้าง เป็นปฏิบักษ์กับประธานเหมาบ้าง เกลียดชังนางเจียงชิงบ้าง(ซึ่้งก็ไม่มีใครในประเทศจีนรักผู้หญิงคนนี้)

     สถานการณ์ในประเทศจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมโหดร้ายทารุนและระส่ำระสายมาก ยากต่อการควบคุม เพราะพวกเยาวชนเรดการ์ดต่างกำลังบ้าคลั่ง ท่านนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ซึ่งกำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ ไม่พอ ท่านยังจะต้องวิ่งรอกป้องกันคนโน้น ปกป้องคนนี้(บรรดาผู้ที่มีตำแหน่้งสำคัญทั้งในพรรคและรัฐบาล)

     ขอยกตัวอย่างออกนอกเรื่องบ้า่ง ในบรรดาแกนนำที่เคราะห์ร้ายถูกทรมานหรือทำร้ายจนอสัญกรรมคาตำแหน่ง เช่น ท่านหลิวส้าวฉี ประธานาธิบดี และท่านหวางกวางเหม่ย ภริยา จอมพลเผิงเต๋อหวาย ผู้ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ประธานเหมาที่ีกำลังสติแตก รวมถึงท่านเลี่ยวเฉิงจื้อด้วย 

     ท่านโจวเอินไหลต้องวิ่งไปบ้านพักของแกนนำท่านโน้นท่านนี้ ่เช่นตอนที่พวกเยาวชนเรดการ์ดจะบุกทำลายบ้านของท่านซ่งชิ่งหลิง ท่านโจวเอินไหลรีบรุดไปห้ามทันที โดยให้เหตุผลว่า คุณูปการของท่านซ่งชิ่งหลิงนั้นเหลือคณานับ ท่านเป็นพันธมิตรของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นประธานประเทศจีนใหม่ และเ้ป็นภริยาของท่านด๊อกเตอร์ซุนจงซาน บิดาประเทศจี่น

     เหตุการณ์ตอนนี้ท่านสามารถอ่านได้ที่บล๊อค ยับเกี้ยนยิง ผู้กำจัดแก๊งสี่คน

     เหตุการณ์ในประเทศจีนตอนนั้นระส่ำระสาย ไม่เป็นผลดีและปลอดภัยสำหรับเด็กทั้งสองคนนี้ซึ่งกำลังเข้าสู่วัยรุ่น ทั้งสองถูกส่งออกมานอกประเทศจีนอย่างปลอดภัย (ขอประทานโทษครับถ้าไหงจำผิด รู้สึกว่าท่านทั้งสองจะถูกส่งไปศึกษาต่อในประเทศฝรั่งเศสเพราะส่งกลับประเทศไทยก็ไม่ได้เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปฏิวัติยึดอำนาจโดยมีอเมริกาให้ท้าย)

     ปัจจุบัน คุณวรรณไว และคุณสิรินทร์ อยู่ในวัยใกล้จะเจ็ดสิบแล้ว ทั้งสองท่านรักและเคารพท่านโจวเอินไหล กับ ท่่านเลี่ยวเฉิงจื้อ มาก ถึงขนาด คุณสิรินทร์ ตั้งชื่อเล่นให้กับบุตรชายของตนเองว่า "โจว" กับ "เลี่ยว"

     ปัจจุบันนี้ คุณสิรินทร์ เป็นภริยาของ ท่าน อันตัง สมิธแซนดองค์ อดีตเอกอัคราชฑูต และใช้ชีวิตในช่วงนี้อย่างมีความสุขในประเทศไทย ประเทศจีน และที่ยุโรป บ้านเกิดของสามีท่าน

     หนังสือเรืื่อง "มุกมังกร" นี้ ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของไทย และจีน มาก ๆ เรื่องราวของท่่าน เป็นที่รู้กันลึก ๆ ในหมู่คนที่เกี่ยวข้องทั้งฝั่งจีน และฝั่งไทย

     จนกระทั่งรัฐบาลจีน โดย สถานีโทรทัศน์ส่วนกลาง ได้จัดสร้างละครเรื่องนี้ขึ้นมา ให้ตายสิ ไท้ก๋าหยิ่น ตัวละครแต่ละท่าน ล้วนหน้าตาเหมือนกับตัวจริงมาก ๆ โดยเฉพาะท่านโจวเอินไหล ท่านเลี่ยงเฉิงจื้อ เสียดายไหงมีโอกาสได้รับชมเพียงไม่กี่ตอน

     ท่านใดมีแผ่นดีวีดี หรือพบเห็นละครเรื่องนี้ในเว็ปไซด์ต่าง ๆ ขอโปรดบอกไหงเอาบุญด้วยเถิดใ

      (ไหงไปเมืองจีนทีไร เสาะหาซื้อแผ่นละครเรื่องนี้ก็หาไม่ได้ซักทีพับผ่าซิเอ้า)

 

รูปภาพของ นายวีรพนธ์

มุกมังกร

 

 

รูปภาพของ วี่ฟัด

วรรณไว พัธโนทัย เล่าเรื่องสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนจบ: ประสบการณ์ชีวิต

            “ประสบการณ์ชีวิตในจีนช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม” จัดโดยโครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2555 คุณวรรณไว พัธโนทัย ได้เล่าถึงสภาพบ้านเมืองยุคที่พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งจีนใหม่ได้ 5 ปี “เป็นโลกที่แตกต่างแบบไม่รู้จะบรรยายอย่างไร เป็นสังคมที่หาดูที่ไหนไม่ได้ในโลก ราวกับยุคพระศรีอาริย์
       
       “ ไม่มีสถานเริงรมย์ สถานยั่วเย้าอารมณ์ อย่างบาร์ไนท์คลับ ไม่มีโสเภณี มีแต่โรงภาพยนตร์ โรงละคร ที่เสนอละครมีสาระทั้งสิ้น เสนอเรื่องราวคนกล้าหาญเสียสละในประวัติศาสตร์
       
       “ส่วนสินค้าในตลาด 90 เปอร์เซนต์ เป็นสินค้าผลิตเองในประเทศ ส่วนสินค้านำเข้าเป็นของที่ผลิตได้ไม่พอความต้องการหรือผลิตไม่ได้ ไม่มีน้ำอัดลมโคคา-โคลา เป็ปซี่
       
       “ประชาชนใส่เสื้อผ้าสีกรมท่าสีขาว เจ้าหน้าที่รัฐก็สวมชุดซุนจงซัน นักศึกษาไม่ต้องสวมเครื่องแบบ ผู้หญิงไม่แต่งหน้าทาปาก...
       
       “ประชาชนมีคุณภาพคับแก้ว คือขยัน ใฝ่เรียนรู้ศึกษา รักชาติ อดทน เชื่อมั่นในผู้นำ ผู้นำสามารถเรียกร้องประชาชนนับล้านในชั่วข้ามคืน และได้รับการตอบสนองอย่างพร้อมเพรียง...ประชาชนมีความกล้าหาญ เสียสละ ให้สิทธิพิเศษแก่คนแก่ เด็ก หญิงตั้งครรภ์ มีระเบียบอย่างการเข้าแถวซื้อสินค้าหรือใช้บริการต่างๆ ทั้งยังให้เกียรติคนต่างชาติให้ซื้อก่อน นับเป็นความเสียสละอย่างหนึ่ง มีจิตใจสูง
       
       “จีนสมัยนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก ไม่มีการทำร้ายร่างกายกัน ไม่มีอบายมุข ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินมีสูงมาก ผู้ร้ายขโมยโจรไม่มี เปิดประตูบ้านไว้ก็ไม่เป็นไร”

“การปฏิบัติตัวของผู้นำ ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้อำนาจหาประโยชน์ใส่ตัว... ประชาชนจะมีคุณภาพได้ ผู้นำก็ต้องมีคุณภาพสูง เป็นแบบอย่างด้วย” ในภาพ: ผู้นำเหมา เจ๋อตง(ซ้าย) และโจว เอินไหล (ขวา) ผู้นำรุ่นแรกแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ผู้ได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ประชาชน มากว่า 20 ปี จนได้ก่อตั้งจีนใหม่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปี 2492 (1949) (แฟ้มภาพ เอเจนซี)

       คุณวรรณไวได้วิเคราะห์ถึงปัจจัย ที่สร้างสังคมจีนที่ท่านได้เห็นและใช้ชีวิตอยู่ร่วมด้วยนับสิบปี (2499-2509) ได้แก่
       
       1) อำนาจรัฐมาจากการต่อสู้ จากกระบอกปืน พรรคคอมมิวนิสต์นำประชาชนต่อสู่สร้างสังคมใหม่ยาวนานถึง 28 ปี นับจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งในปี 2464 (1921) ทำให้ประชาชนเชื่อมั่นในผู้นำ สายสัมพันธ์ระหว่างผู้นำและประชาชนแนบแน่น เนื่องจากได้ต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกันมา
       
       2) ขจัดสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ ได้แก่ สถานเริงรมย์ โรงภาพยนตร์ โรงละครเสนอแต่เรื่องราวความรักชาติ ความเสียสละ
       
       3) ที่สำคัญที่สุด คือการศึกษาอบรมประชาชน เข้าโรงเรียนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน วิชาที่เรียนมีวิชาหน้าที่พลเมือง รักชาติ เสียสละ ประโยชน์ส่วนรวม สอนกันแต่ชั้นอนุบาล
       
       4) การลงโทษ ใช้วิธีการลงโทษโดยให้สังคมเป็นผู้ลงโทษ ไม่ใช้กฎหมาย ความผิดเล็กที่ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ก็ให้สังคมลงโทษด้วยการวิพากษ์วิจารณ์ในหน่วยงานในสถาบันการศึกษาต่างๆ โดยถือว่าทำให้คนละอายใจดีกว่า ในจีนยุคนั้น จึงมีการประชุมบ่อยมาก จนมีคำกล่าวว่า “พรรคคอมมิวนิสต์ชอบประชุม พรรคก๊กมินตั๋งชอบรีดภาษี”
       
       5) การปฏิบัติตัวของผู้นำ ไม่ทำตัวเป็นเจ้านายเหนือหัวประชาชน ใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ใช้อำนาจหาประโยชน์ใส่ตัว สมัยนั้นคนจีนทุกคนเรียกกันว่า “สหาย” ( 同志) ตั้งแต่สหายเหมา เจ๋อตง สหายโจว เอินไหล ไปถึงประชาชนทั่วไป ล้วนเป็นสหายกัน ประชาชนจะมีคุณภาพได้ ผู้นำก็ต้องมีคุณภาพสูง เป็นแบบอย่างด้วย
       
       คุณวรรณไวยกย่องผู้นำจีน “จากที่ผมศึกษาผู้เหมา เจ๋อตง, โจว เอินไหล, จู เต๋อ, เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำเหล่านี้ไม่ได้จบการศึกษาสูง จบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยดังอย่างออกซ์ฟอร์ด แคมบริดจ์ ฮาร์ดวาร์ด ทุกคนเรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิต การต่อสู้ การปฏิวัติ เสี่ยงตายกันมาเป็นสิบๆปี มีประสบการณ์สูงมากจนสามารถเขียนตำราให้คนชั้นดร.มาศึกษาได้
       
       “ผู้นำยุคนั้นอ่อนน้อมถ่อมตัวไม่โอ้อวด ลูกๆผู้นำที่ยังไม่มีตำแหน่งหน้าที่ ก็นั่งรถประจำทาง ขี่จักรยาน
       
       “ผู้นำมีความอดทนมากเหลือเกิน มักดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รอเวลาสุกงอม อย่างกรณีไต้หวันสมัยนั้น มีประกาศว่า ‘จีนเตือนไต้หวันครั้งที่ 325 กรณีพิพาทพรมแดนจีน-อินเดีย ทหารฝ่ายตรงข้ามล่วงล้ำเข้ามาหลายครั้ง จีนได้เตือนครั้งที่ 80, ครั้งที่ 81 แล้ว ก็ยังไม่เห็นรบกันเสียที เป็นต้น’
       
       “ผู้นำจีนใจใหญ่และจริงใจ กล้าได้กล้าเสีย เป็นมิตรกับผู้ใดก็เป็นมิตรตลอดไป ตัวอย่างครอบครัวผม ผมไปเมืองจีนได้ราวปีกว่าๆ เมืองไทยเกิดรัฐประหาร จอมพลป.หมดอำนาจไป โดยทั่วไปแล้วในโลกผลประโยชน์ จีนก็ไม่ต้องดูแลผมและน้องต่อไปก็ได้ หมดประโยชน์แล้วเลี้ยงไว้ทำไมเสียข้าวสุก แต่เขาก็เลี้ยงดูมาเรื่อยๆจนเติบโตเข้ามหาวิทยาลัยและเลี้ยงอย่างดีด้วย ไม่ใช่พ่อหมดอำนาจแล้วก็ปล่อยปละละเลย ตอนคุณพ่อผมป่วยเป็นอัมพาต พอผู้นำจีนรู้ก็เชิญไปรักษาตัวที่ปักกิ่ง นี่คือจิตใจของพวกเขา ดูแลพวกเราโดยไม่มีหนังสือสัญญาความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวผมกับจีนเลย

“ระบอบทุนนิยมสร้างความสบายภายนอก จีนตอนนี้เหมือนทุนนิยมทั่วไป คนรวยมีอยู่กระจุกเดียว คนจนมหาศาลเมื่อท้องคนหิวก็อันตราย...” ในภาพ: จีนยุคแรกทศวรรษที่ 1980 ที่ประชาชนจำนวนมากยังยากจน (แฟ้มภาพ เอเจนซี)

       คุณวรรณไว ได้ตอบคำถามเกี่ยวกับสภาพการณ์จีนวันนี้ที่แตกต่างไปจากยุคที่เล่ามาข้างต้น “สำหรับทัศนะของผม ภาพเหล่านั้นหวนกลับมาได้ยากมาก เมื่อท่านเติ้ง เสี่ยวผิง ให้เปิดประเทศ ก็เริ่มมีสิ่งไม่ดีต่างๆเข้ามา วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามา นักวิชาการจีนกลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วย เพราะกลัวทุนนิยมอาจฟื้นง่ายๆ แต่ผู้นำจีนที่เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งบอกว่าการเปิดประเทศก็เหมือนเปิดหน้าต่างบ้าน ก็ต้องยอมให้แมลงวันแมลงหวี่เข้ามาบ้างตัวสองตัว แต่นี่ไม่ใช่ตัวสองตัวแล้ว เข้ามาเป็นฝูงเลย น่ากลัวมาก จะกลับไปเป็นสังคมที่บริสุทธิ์เหมือนเดิม สงสัยต้องมี ‘จิ่งกังซัน ภาคสอง’ (井冈山革命)คือฐานปฏิบัติการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการนำประชาชนต่อสู้กับอำนาจรัฐจนได้รับชัยชนะ
       
       “ระบอบทุนนิยมสร้างความสบายภายนอก จีนตอนนี้เหมือนทุนนิยมทั่วไป คนรวยมีอยู่กระจุกเดียว คนจนมหาศาลเมื่อท้องคนหิวก็อันตราย ถ้าปล่อยให้เดินอย่างนี้เรื่อยๆ ปกครองไม่ดีก็ไปได้ง่ายๆ ประชาชนรวมตัวกันเมื่อไหร่ ก็อาจเกิด ‘จิ่งกังซัน ภาคสอง’
       
       “ก็ภาวนาขออย่าให้เกิดความวุ่นวายขึ้นเลย เพราะเมืองจีนคนเขาเยอะ มีเรื่องทีคนตายมหาศาล"
       

http://www.manager.co.th/china/ViewNews.aspx?NewsID=9550000049196

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal