หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

กรณี "ซีอาน" อันสะเทือนเลือนลั่นประวัติศาสตร์จีน

รูปภาพของ YupSinFa

ไม่ได้เขียนเรื่องประวัติศาสตร์จีนที่ตัวเองรักและชอบมานานมากแล้ว เนื่องด้วยภารกิจการงานที่แสนวุ่นวาย จึงทำให้ชุมชนของเราขาดสาระบทความไป อย่ากระนั้นเลย วันนี้จึงขอชดเชยด้วยการนำเรื่องราวที่สำคัญ เป็นเหตุการณ์เสี้ยวหนึ่งของประวัติศาสตร์จีน ที่มีส่วนทำให้ประวัติศาสตร์หรือ ไทม์แมชชีนในโลกปัจจุบันเป็นมาในรูปแบบนี้ ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในครั้งนี้ บางทีประวัติศาสตร์จีน หรือประเทศจีน อาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้ ในหลาย ๆ ครั้ง คนที่มีความ "รักชาติ" อย่างบริสุทธิ์ใจ จริงใจ และยอมเสียสละเพื่อชาติ จะเป็นมหาบุรุษผู้พลิกประวัติศาสตร์ และชะตาฟ้าดินของประเทศหรืออาณาจักรนั้น ๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับคณะบุคคล ที่ร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรื่องหรือตกต่ำ อย่างใดอย่างหนึ่ง

กรณีซีอาน ถ้าแปลตามตัวอักษร ควรจะต้องแปลอย่างนี้ เราจะไม่เรียกว่า "ปฏิวัติซีอาน" หรือ กบถซีอาน เพราะว่าต้นฉบับไม่ได้เขียนมาอย่างนี้ ทั้งฉบับภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ในเนื้อข่าวและเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ เขาใช้คำว่า "กรณีซีอาน" เป็นหัวข้อ เรามาดูเหตุการณ์ใน "กรณีซีอาน" กันนะครับ ว่ามันมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์จีนอย่างไร ใครเป็นตัวละครสำคัญในกรณีซีอานนี้บ้าง

มาติดตามไปด้วยกันเลยครับ

ก่อนอื่นขอร่ายรายชื่อบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน ที่เกี่ยวข้องกับ "กรณีซีอาน" นี้ก่อน ว่ามีใคร เป็นใคร กันบ้าง

1.ขุนศึก "จางเสวียเหลียง" บุตรชาย ขุนศึก "จางจั๋วหลิน" ขุนศึกภาคอีสานของจีน ในยุคต้นสาธารณรัฐ

 

2.ขุนศึก "หยางหู่เฉิง" ขุนศึกซีอาน จางเสวียเหลียง กับ หยางหู่เฉิง เป็นนายพลผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือทั้งสองคน

3."เหมาเจ๋อตง" ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมการกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน

 

4."โจวเอินไหล" รองประธานคณะกรรมการกรมการเมืองแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และ ประธานสภาการทหารปฏิวัติของกองทัพแดง(กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน)(ในสมัยนั้น)

5.จอมพล "เจี่ยงเจี้ยสือ" ตัวละครสำคัญของเรื่องนี้

6.มาดาม " ซ่งเหม่ยหลิง" สตรีหมายเลข 1 ของจีน ในสมัยนั้น ภริยาของ เจี่ยงเจี้ยสือ

7.มาดาม "ซ่งชิ่งหลิง" ภริยาม่ายของ ดร.ซุนจงซาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของจีน

8.มาดาม "เหอเซียงหนิง" ภริยาม่ายของ เลี่ยวจ้งข่าย อดีตสตรีหมายเลข 2 ของจีน (เลี่ยงจ้งข่ายเป็นฮากกาและเป็นเพื่อนรักและเป็นเบอร์ 2 ของก๊กมินตั๋งรองจาก ดร.ซุนจงซาน ภายหลังถูกถล่มยิงเสียชีวิต-ประวัติศาสตร์เขียนว่าผู้ต้องสงสัยคือ เจี่ยงเจี้ยสือ)

เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นจาก.....

ญี่ปุ่นได้พยายามรุกรานมาทางตะวันออกอย่างบ้าระห่ำ โดยเฉพาะในประเทศจีน ญี่ปุ่นไ้ด้พยายามรุกรานเข้ามาตามลำดับ
ตั้งแต่ปีใหม่ของ ค.ศ.1933 กองทหารญี่ปุ่นก็ได้ข้ามด่านซานไห่กวานอันเป็นประตูไปสู่ปักกิ่ง (หลังจากที่ได้ยึดภาคอีสานของจีนเป็นประเทศ"แมนจูกว๋อ" แล้วยกอดีตฮ่องเต้ปูยี เป็นจักรพรรดิ์หุ่น) ได้อย่างง่ายดาย กองกำลังทหารญี่ปุ่นได้แผ่ขยายไปยังภาคเหนือของประเทศจีนในสมัยนั้น ซึ่งเป็นสมัยของการปกครองภายใต้การนำของจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือ และกำลังทำสงครามกลางเมืองกับกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตง และกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนภายใต้การนำของโจวเอินไหล กับ จอมพลจูเต๋อชาวฮากกาซื่อชวน

กองทัพญี่ปุ่นได้เข้ายึดครองเย่อเหอ(เฉิงเต๋อ-เมืองตากอากาศฤดูร้อนของราชวงศ์ชิงขึ้นไปทางเหนือของปักกิ่งราว 90 กิโลเมตร) และในไม่ช้าก็ผนวกเย่อเหอเข้ารวมกับประเทศแมนจูกว๋อของตัวเอง บีบให้รัฐบาลจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือต้องยอมถอนทหารออกมาจาก้านตะวันออกของมณฑลเหอเป่ย ในปีนั้น แล้วยังไม่หนำใจ บุกเข้ายึดครองเขตมองโกลเลียใน โดยพยายามเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ ของจีน ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ 

แต่รัฐบาลและตัวจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือกลับไม่สะทกสะท้านต่อพฤติการณ์ของญี่ปุ่น กลับมองว่า กองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์คือศัตรูหมายเลข 1 และเป็นหอกข้างแคร่ของตัวเอง ต้องถือหลัำกในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ก่อน การรุกรานของญี่ปุ่นเป็นเรื่องรอง ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงถือโอกาสเข้ายึดดินแดนที่เป็นประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเป็นเรื่องตลกที่รัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านอะไรอยู่แล้ว ดังนั้น ญี่ปุ่น จึงได้ ภาคอีสานของจีนทั้ง สาม มณฑล เป็นประเทศแมนจูกว๋อ มณฑลเหอเป่ย รวมถึงปักกิ่งและเย่อเหอ มองโกลเลียใน หนิงเซี่ย ซานซี ซานตง(จุดยุทธศาสตร์สำคัญ-ยึดไปจากรัฐบาลของเยอรมัน)

ในขั้นตอนต่อ ๆ ไป รัฐบาลญี่ปุ่นหวังที่จะบีบให้จอมพลเจี่ยงเป็นพันธมิตรกับตน เพื่อต่อต้านโซเวียตรัสเซีย อเมริการ และฝ่ายสัมพันธมิตร ไม่ว่าชาวจีนจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ต่อรัฐบาล จอมพลเจี่ยงก็ยังดื้อตาใสจะทำการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ก่อน

วันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ.1936 สภาการทหารปฏิวัติของกองทัพแดงได้ส่งโทรเลขไปถึงคณะกรรมการทหารของรัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือในหนานจิง(นานกิง) เรียกร้องให้ล้มเลิกความขัดแย้งในอดีตเสียก่อน ระงับสงครามกลางเมืองระหว่างกัน มาจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อต่อต้ัานญี่ปุ่นขึ้น และยังยืนยันว่า คณะกรรมการกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีมติให้ระงับการสู้รบงกับพรรคกว๋อหมินตั่งแล้ว 

โทรเลขที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน แทบจะไม่มีผลใด ๆ เลยเพราะเจี่ยงเจี้ยสือไม่เล่นด้วย และไม่ยอมเจรจาใด ๆ เลย ยกเว้นแต่ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะยอมจำนนต่อรัฐบาลของตนเองอย่างสิ้นเชิง (ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้น มีกลุ่มปีกซ้าย ของพรรคกว๋อหมินตั่งที่ไม่เอาเจี่ยงเจี้ยสือนำโดย ซ่งชิ่งหลิง เหอเซียงหนิง ฯลฯ ที่ไม่เอาเจี่ยงเจี้ยสือและเป็นพันธมิตรกับคอมมิวนิสต์ด้วย) และจะต้องยุบเลิกกองทัพแดง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมาหลอมรวมกับกองทัพของรัฐบาล ซึ่งข้อเสนอหรือปัญหานี้ ทางคอมมิวนิสต์ก็ยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาดเช่นเดียวกัน แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนก็ได้เปรียบในด้านมวลชนเพราะคนจีนทั้งประเทศล้วนแต่เข้ัาข้างพรรคคอมมิวนิสต์กันหมดทุกคน พรรคคอมมิวนิสต์จีนพยายามอดทนอดกลั้น เสนอให้เจี่ยงเจี้ยสือเลิกข้อพิพาททั้งหมดก่อน ขอให้มาร่วมด้วยช่วยกันปราบปรามต่อต้านญี่ปุ่นอย่างจริงจังเท่านั้น 

ในด้านประชาชนและนักศึกษา เริ่มมีเสียงกระหน่ำเรียกร้องให้รัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือยุติสงครามกลางเมืองหันมาร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนต่อต้านญี่ปุ่น มากขึ้น ๆ ทุกที ทั้งพวกนักศึกษา ปัญญาชน คนชั้นกลาง และประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ ๆ ทางด้านตะวันออกของจีน

ปฏิกริริยาในการเรียกร้องให้รัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือที่รุนแรงและสำคัญที่สุดได้แก่กลุ่มนักศึกษาจีน การชุมนุมต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นเกิดขึ้นอย่างครั้งใหญ่ที่สุดได้อุบัติขึ้นที่ปักกิ่ง อันได้เรียกกันภายหลังว่า "ขบวนการเคลื่อนไหว 9 ธันวาคม"  การเคลื่อนไหวของนักศึกษาครั้งนี้ถือว่า เป็นการเดินขบวนที่ใหญ่ที่สุดในปักกิ่งเท่าที่เคยมีมาก่อน และมีการเคลื่อนไหวการต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นตามมาอีก แม้กระทั่งพ่อค้าและกุลีจับกังต่าง ๆ ตามเมืองแต่ละเมือง ล้วนร่วมมือกันอย่างแข็งขันไม่ยินดีต่อสินค้าญี่ปุ่นอีกเลย เป็นการร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่นกันทั้งชาติและประชาชน คงค้างเพียงจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือที่ศรีษะปราศจากเส้่นผมเพียงคนเดียว

นอกจากนี้แล้ว บุคคลสำคัญต่าง ๆ ในพรรคกว๋อหมินต่าง ได้ร่วมกันจัดตั้งสันนิบาติกู้ชาติจีนขึ้น นำโดย ท่าน ซ่งชิ่งหลิง ภริยาหม้ายของ ดร.ซุนจงซาน และ มาดาม เหอเซียงหนิง ภริยาหม้ายของเลี่ยวจ้งไข่(่่ัทั้งหมดเป็นชาวฮากกากว่างตง-ซ่งชิ่งหลิงเป็นฮากกาเกาะไห่หนาน) มาดามเหอเซียงหนิงเคยเป็นข่าวอย่างใหญ่โตเพราะตอนที่ทหารญี่ปุ่นบุกเซี่ยงไฮ้ ท่านเป็นผู้ที่ส่งเสื้อผ้าสตรีไปให้เจี่ยงเจี้ยสือ เหตุเพราะว่าเจี่ยงเจี้ยสือไม่มีความกล้าเยี่ยงวีรบุรุษในการสั่งให้กองทหารของตัวเองสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นเลย 

ต่อมา เจี่ยงเจี้ยสือถึงกับสั่งจับสมาชิกสันนิบาติกู้ชาติินี้ 7 คน ในเซี่ยงไฮ้ เมื่อ พฤศจิกายน ต.ศ.1936 (แต่ไม่กล้าจับซ่งชิ่งหลิงพี่เมียของตัวเองและเหอเซียงหนิง) ทำ้ให้เกิดการประท้วงโดยทั่วไป แต่เจี่ยงเจี้ยสือก็ไม่ไยดีต่อเสียงประท้วงเหล่านี้ยังคงยืนกรานที่จะกำจัดกองทัพแดงอย่างเดียว 

และแล้วเหตุการณ์สำคัญมันก็ขมวดเกลียวเข้ามาหากันจนเกิดกรณีซีอานนี้ขึ้นมาจนได้.....

สายลับของเจี่ยงเจี้ยสือรายงานว่า มีผู้ต้องสงสัยเป็นคอมมิวนิสต์ ได้มาเยี่ยมเยียนขุนพลจางเสวียเหลียงบ่อย ๆ และขุนพลหนุ่มผู้นี้ก็เคยเขียนจดหมายถึงจอมพลเจี่ยง เสนอให้ยุติสงครามกลางเมืองและร่วมกับคอมมิวนิสต์ต่อต้านญี่ปุ่น ถึงแม้ว่า กองทหารของนายพลหยางหู่เฉิง ขุนศึกซีอาน จะเคยสู้รบปรบมือกับคอมมิวนิสต์มาแล้ว แต่ภายหลังเมื่อกองทหารของจางเสวียเหลียงในแมนจูเรียได้ถอยร่นออกมาพำนักพักพิงกับหยางหู่เฉิงที่ซีอาน โดยไม่ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นแม้แต่น้อยเลย แต่กองทหารของจางเสวียเหลียงและตัวจางเสวียเหลียงเอง ก็ล้วนชิงชังกองกำลังทหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว(จางเสวียเหลียงเป็นบุตรชายคนเดียวของ ขุนศึก "จางจั๋วหลิน" ขุนศึกจอมเผด็จการรุ่นแรกของจีน รุ่นพี่ของเจี่ยงเจี้ยสือที่เจี่ยงเจี้ยสือเกรงใจ-สองพ่อลูกนี้ ผู้พ่อคือ จางจั๋วหลินได้ชื่อว่า เป็นคนขายชาติ ผู้ลูกได้ชื่อว่า "เป็นผู้รักชาติ") แต่ขุนศึกจางจั๋วหลินก็มาจบชีวิตด้วยฝีมือของกองทหารญี่ปุ่นบิดาของจอมพลหนุ่มจางเสวียเหลียง แล้วยังรุกรานแมนจูเรียและยึดครอง ทำให้กองทหารของจางเสวียเหลียงต้องพเนจรร่อนเร่มาจากบ้านเกิดเมืองนอนของตน มาปักหลักอยู่กับหยางหู่เฉิงที่ซีอาน แม้ว่าจางเสวียเหลียงจะเข้าข้างเจี่ยงเจี้ยสือมาโดยตลอดในการต่อสู้กับขุนศึกทั้งหลายก่อนหน้าที่จะมาเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว และต่อมาจางเสวียเหลียงก็ผิดหวังในตัวเจี่ยงเจี้ยสือ เพราะไม่ยอมต่อต้านญี่ปุ่นเลย ความหวังของจางเสวียเหลียงขุนพลหนุ่ม(มาก ๆ และหล่อด้วย) จึงต้องมาลงที่พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งมีนโยบายต่อต้านญี่ปุ่ยโดชัดแจ้ง

ในปีนี้เอง (ค.ศ.1936) จางเสวียเหลียงกับกองทัพแดงก็แอบตกลงสงบศึกกันได้ ในเรื่องนี้ จอมพลเจี่ยงถึงกับคิดว่า เป็นเรื่องร้ายแรงอย่างใหญ่หลวง (ท่านโจวเอินไหลยังอุตส่าห์ลักลอบมาพบปะเจรจาอย่างลับ ๆ กับจางเสวียเหลียงและได้มอบให้ท่านจอมพลยับเกี้ยมยิน(ชาวฮากกาหมอยเย้น) มาประจำอยู่ที่คณะเสนาธิการของนายพลหยางหู่เฉิงเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันด้วย) ทั้งสองฝ่าย คือ พรรคคอมมิวนิสต์จีน กับ ฝ่ายของจางเสวียเหลียงกับหยางหู่เฉิง ตกลงกันว่า จะให้ความสนับสนุนให้นักศึกษาได้เคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่น ดังนั้น ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ผู้นำนักศึกษาหลายคนในมหาวิทยาลัยทางภาคอีสานของจีน(แมนจูกว๋อ) ก็เดินทางมาถึงซีอานที่จอมพลจางเสวียเหลียงและจอมพลหยางหู่เฉิงมีกองกำลังทหารของตัวเองตั้งมั่นอยู่ การเคลื่อนไหวของนักศึกษาในซีอานมีความคึกคักอย่างใหญ่หลวง ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือจอมพลไร้ผมจต่อต้านญี่ปุ่นเกิดมีน้ำหนักและมีความสำคัญยิ่งขึ้นทุกที ทุกที

เจี่ยงเจี้ยสือกระโดดเป็นเจ้าเข้า รีบจับเครื่องบิน บินไปถึงซีอาน ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1936 เพื่อเป็นประธานในการประกาศการปราบปรามคอมมิวนิสต์ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง(ยังไม่รู้สึกสำนึกตัวเองอีก) โดยให้ครั้งนี้เป็นบทบาทความรับผิดชอบของกองทหารของจางเสวียเหลียงกับหยางหู่เฉิงโดยเฉพาะ ในขณะเดียวกันนั้นเอง กองทหารญี่ปุ่นก็ได้ประกาศให้มองโกลเลียในเป็นเขตปกครองของตัวเอง แล้วก็บุกมณฑลซุนหยวน(ชื่อเดิมของมณฑลซานซีติดกับส่านซีอันเป็นที่ตั้งของนครซีอาน)

จางเสวียเหลียงกับหยางหู่เฉิงเสนอต่อเจี่ยงเจี้ยสือว่า ขอเสนอตัวไปปราบกองทัพญี่ปุ่นแทนการสู้รบกับคอมมิวนิสต์แต่เจี่ยงเจี้ยสือก็ไม่ยินยอม(ทั้ง ๆ ที่ข้าศึกมายึดถึงปากประตู???) จอมพลเจี่ยงเจี้ยสือถือว่า ทั้งสองเป็นนายทหาร จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของตนซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาคือต้องปฏิบัติหน้าที่โดยการปราบปรามคอมมิวนิสต์ก่อนอื่นใดทั้งสิ้น

วันที่ 9 ธันวาคม ต.ศ.1936 ปีนั้นเอง นักศึกษาก็พากันออกมาเดินขบวนในซีอาน ตำรวจก็พยายามปราบปรามและจับกุม แต่จางเสวียเหลียงกลับสนับสนุนให้นักศึกษาเดินขบวนกันต่อไป และยืนยันกับนักศึกษาว่า ตัวเองจะต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ และเมื่อจางเสวียเหลียงทำบันทึกเสนอต่อเจี่ยงเจี้ยสือเพื่อการต่อต้ัานญี่ปุ่น เจี่ยงเจี้ยสือจึงสั่งบรรณาการด้วยการปลดขุนพลหนุ่มออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพตงเป่ย(อีสาน-แมนจูเรีย) กรณีนี้ ถือว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เจี่ยงเจี้ยสือใช้มัดมือตัวเอง จางเสวียเหลียงกับหยางหู่เฉิงจึงหมดความอดทน เช้าวันที่ 12 ธันวาคม กองทหารภายใต้การบังคับบัญชาของจางเสวียเหลียงก็บุกที่พักพิงของจอมพลเจี่ยงเจี้ยสือในซีอาน(ถึงแม้ว่าตัวเองจะถูกปลดแต่กองทหารก็ยังเป็นกองทหารที่ยังจงรักภักดีต่อเจ้านายของตัวเองและไม่พอตำแหน่งทางทหารก็เป็นเพียงตำแหน่งลอย ๆ เพราะพื้นที่ควบคุมจริงถูกญี่ปุ่นยึดไปแล้ว) ฆ่าหลานชายของจอมพลเจี่ยงที่เป็นองค์รักษ์ไปหนึ่งคน 

ในขณะนั้นเอง ขุนศึกจางเสวียเหลียงก็ได้ออกแถลงการณ์ต่อประชาชาติจีนเป็นข้อเรียกร้อง 8 ข้อให้จอมพลเจี่ยงเจี้ยสือปฏิบัีติตาม  ส่วนสำคัญ ๆ ได้แก่ ปรับปรุงการจัดการพรรคกว๋อหมินตั่งและรัฐบาล กำจัดทุนนิยมญี่ปุ่นออกไป รับคอมมิวนิสต์ที่ต่อต้านญี่ปุ่นมาร่วมมือกันทำสงครามต่อต้านญี่ปุ่น ปล่อยผู้นำสันนิบาติต่อต้านญี่ปุ่น 7 คนที่ถูกจับที่เซี่ยงไฮ้ ยุตินโยบายปราบคอมมิวนิสต์ ร่วมมือกับกองทัพแดงต่อต้ัานญี่ปุ่น ให้มีการประชุมเพื่อร่วมกันกู้ชาติ ให้มีผู้แทนของกว๋อหมินต่าง กลุ่มการเมืองต่าง ๆ รวามทั้งกองทัพ และวงการต่าง ๆ เข้าร่วมด้วยช่วยกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นข่าวใหญ่สะเทือนโลกในสมัยนั้น เรียกกันว่า "กบฏซีอาน" (แต่ในภายหลัีงเปลี่ยนเป็นกรณีซีอานเพราะข้อสรุปภายหลังไม่ได้ถือว่าเป็นกบฏ) 

ทุกฝ่ายในประเทศจีนต่างมีการวิพากษ์กันไปต่าง ๆ ที่เป็นที่ตลกขบขันกันมากที่สุดคือ "นายพลเหอยิ่งชิน" รัฐมนตรีกลาโหมของรัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสือ ซึ่งมีืชื่อลือกระฉ่อนว่านิยมญี่ปุ่นมาก เหอยิ่งชินมันได้เสนอให้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดซีอานโดยด่วน เพื่อกำจัดพวกกบฏให้สิ้นซาก ทำอย่างนี้ก็เท่ากับว่าฆ่าเจี่ยงเจี้ยสือไปด้วยความตั้งใจ แล้วตัวเองจะได้ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน (นอกจากนี้ยังจะมีพวกขุนศึกนายพลเสือหมอบแมวเซาต่าง ๆ ที่จ้องจะเสียบอยู่หลายก๊กหลายกลุ่ม)

ทางฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่างก็ร้อนรนไม่แพ้กัน ต่างก็มีความเห็นเป็นไปต่าง ๆ นานา บ้างก็เห็นว่า ให้นำตัวเจี่ยงเจี้ยสือมาขึ้นศาลที่เอี๋ยนอานเมืองหลวงของตน(อยู่ในส่านซีใกล้ ๆ กับซีอาน) บ้างก็เห็นว่า ควรหาการตกลงกันโดยสันติวิธี จนกระทั่งขุนพลจางเสวียเหลียงติดต่อมาทางเอี๋ยนอาน ขอให้ส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาเจรจาหารือกันเพื่อหาทางออกในปัญหานี้ 

ท่านโจวเอินไหล จึงต้องขี่ม้าขาว เอ้ย ขี่ม้าฝ่าหิมะจากเป่าอานที่ทำการของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ในขณะนั้น รีบรุดมายังเอี๋ยนอานในระยะทางห่างถึง 100 กิโลเมตรให้ทันภายใน 2 วัน แล้วขึ้นเครื่องบินที่ขุนพลจางเสวียเหลียงส่งมารับให้ไปถึงซีอานให้ทันในวันที่ 16 ธันวาคม ในฐานะผู้แทนของพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งใช้หลักการว่า จะใช้การตกลงกันโดยสันติวิธี โดยต้องไม่ทำอันตรายต่อเจี่ยงเจี้ยสือ แล้วท่านโจวเอินไหลก็ได้พบปะเจรจากับ มาดามซ่งเหม่ยหลิง และ ซ่งจื่อหวุน(ทีวี ซ่ง) น้องชายของเธอ(ฮากกาอีกแล้วครับท่าน) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศของเจี่ยงเจี้ยสือ และก็ตัวเจี่ยงเจี้ยสือเอง 

หลังจากการเจรจาแกมบีบบังคับ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา จอมพลเจี่ยงจึงยอมตกลงด้วยวาจาว่า จะยุติสงครามกลางเมืองและร่วมมือกับชาวจีนทุกฝ่ายเพื่อปราบปรามกองทัพญี่ปุ่นต่อไป 

หลังจากเหตุการณ์การตกลงกันในกรณีซีอานจบลง จางเสวียเหลียงก็ปล่อยตัวเจี่ยงเจี้ยสือในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.1936 และแล้วเมื่อเจี่ยงเจี้ยสือออกเดินทางกลับหนานจิง ก็มีจางเสวียเหลียงติดตามไปด้วย(นัยว่าไปเพื่อควบคุมให้เจี่ยงปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาแต่เป็นการไปเพื่อเป็นตัวประกันให้กับเจี่ยงเจี้ยสือและเป็นการรับโทษที่ปฏิบัติต่ีอผู้บังคับบัญชาอย่างนี้มากกว่า จึงถูกพิพากษาจากศาลทหารให้จำคุก 10 ปี และหลังจากนั้น จางเสวียเหลียงยังคงถูกควบคุมตัวให้อยู่แต่ในที่พัก(กักบริเวณ) จนเมื่อเจี่ยงเจี้ยสืออพยพหนีไปไต้หวันในปี 1949 ก็นำตัวจางเสวียเหลียงกับภริยาไปด้วย แล้วเมื่อเจี่ยงเจี้ยสือตายไปในปี 1975 จางเสวียเหลียงก็ยังคงถูกกักบริเวณตลอดในบ้านพักที่ไต้หวัน จนถึงวัยชรา ส่วนขุนศึกหยางหู่เฉิงนั้น มีชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าจางเสวียเหลียงมากมายนัก ในภายหลังรัฐบาลเจี่ยงเจี้ยสืออพยพมาตั้งเมืองหลวงที่ฉงชิ่ง มณฑลเสฉวน(ซื่อชวน) เขาก็ถูกจับส่งเข้าคุกนอกเมืองฉงชิ่ง แล้วเจี่ยงก็สั่งให้ประหารเสียในคุก เมื่อตอนที่จะอพยพไปไต้หวันใน ปี 1949)

เกร็ดประวัติศาสตร์สนุก ๆ ต่อจากเหตุการณ์ข้างบน

จากการที่เจี่ยงเจี้่ยสือรอดชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะว่า ความมีสติและให้เกียรติแก่พรรคคอมมิวนิสต์ของจางเสวียเหลียง แต่หยางหู่เฉิงยังยืนยันที่จะฆ่าเจี่ยงเจี้ยสือให้ได้ก่อนเพื่อเป็นการลงโทษ แต่ีในบรรดาแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ต่อผลได้ผลเสียที่จะทำการกำจัดเจี่ยงเจี้ยสือ กล่าวคือ ประธานเหมาเจ๋อตง เสนอให้ว่า ควรนำเจี่ยงเจี้ยสือมาขึ้นศาลที่เอี๋ยนอาน แล้วพิพากษาประหารชีวิต เหมาเจ๋อตงให้เหตุผลว่า ในการฆ่าประชาชนครั้งใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ในปี 1927 นั้น "เจี่ยงเจี้ยสือเป็นหนี้เลือดเรา กองสูงเท่าภูเขา" แต่แล้วในคณะประชุมผู้แทนพรรคฯ หลังจากที่ได้ประเมินสถานการณ์ผลได้ผลเสียต่อการฆ่าเจี่ยงเจี้ยสือแล้ว มีผลสรุปว่า ถ้าเจี่ยงเจี้ยสือตายไป จะทำให้กลุ่มที่นิยมญี่ปุ่นแล้วพร้อมที่จะเป็นหุ่นเชิดให้ญี่ปุ่นภายในกว๋อหมินตั่ง อย่างว่างจิงเว่ย กับ เหอยิ่งชิน (ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ตัวจริง) ก็จะตั้งตัวเป็นรัฐบาลและเป็นหุ่นเชิดให้ญี่ปุ่นได้ และจะเกิดการอำนาจการบังคับบัญชากำลังรบ อันจะเป็นการส่งผลเสียต่อพรรคคอมมิวนิสต์ การรวมประเทศจีนก็จะมีความยากลำบากและคอมมิวนิสต์ก็จะมีศึกสองด้าน นอกจากนี้ บรรดาขุนศึกต่าง ๆ ล้วนจ้องจะเป็นอิสระ จะทำให้ประเทศจีนแตกแยกออกเป็นเสี่ยง ๆ ไปอีก และญี่ปุ่นก็จะสนับสนุนขุนศึกเหล่านี้อย่างเต็มที่ แล้วก็จะมีอำนาจเหนือประเทศจีนโดยตรง 

ในขณะนั้น ทางฝั่งกว๋อหมินตั่ง ซึ่งเป็นรัฐบาล ไม่มีผู้นำคนไหนจะมีบารมีสูงเทียบเท่ากับเจี่ยงเจี้ยสือได้ 

เหตุการณ์ที่ทางฝั่งคอมมิวนิสต์ตกลงไว้ชีวิตเจี่ยงเจี้ยสือและให้กลับมาร่วมกันสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นนั้น ได้รับคำยกย่องชื่นชมจากประชาชนจีนเป็นอย่างยิ่ง ทางฝ่ายซ้ายของกว๋อหมิ่นต่าง ล้่วนกล่าวว่า เป็นจุดเิริ่มต้นของชัยชนะของกองทัพคอมมิวนิสต์ที่มีต่อเจี่ยงเจี้ยสือโดยแท้

หลังจากนั้น กองทัพแดง หรือกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพของเจี่ยงเจี้ยสือ ในการสู้รบกับกองทัพญี่ปุ่น กองทัพแดงภายใต้การนำของจอมพล "จูเต๋อ" หรือ จูเต้(ชาวฮากกาเสฉวน) ก็เปลี่ยนชื่อเป็น "กองทัพลู่ที่ 8" 

กองทัพลู่ที่ 8 ของคอมมิวนิสต์ สู้รบกับกองทัพญี่ปุ่นอย่างกองโจร ทำให้ญี่ปุ่นเสียกำลังพลและยุทธโธปกรณ์ไปเป็นอันมาก บ่อย ๆ ครั้งที่กองทัพญี่ปุ่นพ่ายแพ้ให้แก่กองพลต่าง ๆ ของคอมมิวนิสต์จีน ส่วนกองทัพของเจี่ยงเจี้ยสือรบอย่างสะเปะสะปะขอไปที เมื่อญี่ปุ่นบุกเพิล์ฮาเบอร์ อเมริกาจึงบอมท์ ญี่ปุ่นด้วยปรมาณูที่ฮิโรชิม่า และ นางาซากิ ทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้สงครามทั่วโลกอย่างไม่มีเงื่อนไข 

ในประเทศจีนก็เช่นเดียวกัน กองทัพญี่ปุ่นได้ยอมแพ้สงครามต่อจีนซึ่งถือเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร แต่ทหารญี่ปุ่นก็มีวินัยแรงกล้า ถือว่าคู่ต่อสู้ที่แท้จริงของตัวเองคือ กองทัพแดงของคอมมิวนิสต์หรือกองทัพลู่ที่ 8 หาได้ใช่ฝ่ายของเจี่ยงเจี้ยสือไม่ ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงส่งมอบปฏิกรรมสงครามให้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์เพียงฝ่ายเดียว ทำให้ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนมีแสนยานุภาพที่เพิ่มขึ้นมามากอีกหลายสิบเท่า เพราะได้รถถัง รถหุ้มเกราะ รถบรรทุกทหาร ปืนใหญ่ เครื่องบินทิ้งระเบิด ปืนต่อสู้อากาศยาน ปืนกล กระสุน ฯลฯ อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อคอมมิวนิสต์กับเจี่ยงเจี้ยสือกลับมาสู้รบกันอีก ด้วยยุทธปัจจัยและกลศึกในการสู้รบที่เหนือกว่า จึงทำให้คอมมิวนิสต์สามารถยึดประเทศจีนได้ทั้งหมด

กลับมาถึงช่วงที่เจี่ยงเจี้ยสือถูกจับ กุมคุมขังในซีอาน (กักบริเวณในที่พัก) เจี่ยงเจี้ยสือเหมือนเสือติดจั่น ได้แต่ตะโกนด่าทอ หยางหู่เฉิงกับ จางเสวียเหลียง สั่งให้ฆ่าตนเสีย เพราะเป็นชายชาติทหาร ยอมตายเสียดีกว่ายอมเสียศักดิ์ศรี ว่ากันว่าเจี่ยงเจี้ยสือตะโกนด่าทอจนเหนื่อยหอบ บ้างก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนติดต่อกับคนของตัวเองที่หนานกิง

ทางด้านมาดามซ่งเหม่ยหลิง(ชาวฮากกาไห่หนาน น้องสาวคนสุดท้องของท่านซ่งชิ่งหลิง) กล่าวกันว่า เธอมีกุศโลบายทางการเมืองที่เยี่ยมยอด เธอวางมาดที่เคร่งขรึม และเด็ดเดี่ยว เธอจับเครื่องบิน หอบกระเป๋าเดินทางไปหลายสิบใบ แต่ละใบล้วนใหญ่ ๆ โต ๆ ทั้งนั้น ดุจดั่งว่าเธอกำลังจะย้ายบ้านไปตากอากาศ ก็มิปาน ลักษณะเช่นนี้เป็นการแสดงออกถึงความไม่ยินดียินร้าย ต่อชะตากรรมของสามี ทำทีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำยิ้มสู้และใจดีสู้เสือ ในขณะเดียวกันก็มั่นคงด้วยบุคลิกที่สง่างาม ปราศจากความประหม่า และวางตัวเป็นมาดาม สตรีหมายเลข 1 อยู่อย่างเดิม โดยไม่มีการพินอมพิเทา สองขุนพลเลยแม้แต่น้อย และก็มิได้เอ่ยถึงความปลอดภัยของสามีและสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นด้วย ว่ากันว่า เธอได้รับการยกย่องในกุศโลบายนี้มาก

ในระหว่างเกิดเหตุการณ์กรณีซีอานในครั้งนี้ ดร.ข่งเสียงซี เขยใหญ่ของตระกูลซ่ง (สามีของมาดามซ่งอ้ายหลิงพี่ใหญ่ของ 3 ดรุณีซ่ง-ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของ ชาร์ลี ซ่ง ชาวฮากกาอำเภอเหวินชาง เกาะไห่หนาน) ได้กุลีกุจอไปหาท่านมาดามซ่งชิ่งหลิง ภริยา ดร.ซุนจงซาน บิดาประชาชาติจีนชาวฮากกาของเรา ซึ่งเป็นน้องภรรยาของตัวเอง ณ บ้านพักที่เซี่ยงไฮ้ ขอร้องให้ท่านซ่องชิ่งหลิงลงนามในหนังสือประนามจอมพลจางเสวียเหลียงและจอมพลหยางหู่เฉิง ท่านซ่งชิ่งหลิงตอบไปทันทีว่า "ที่จางเสวียเหลียงกับหยางหู่เฉิงทำไปนั้นเป็นการถูกต้องแล้ว...ถ้าฉันอยู่ในฐานะเดียวกับเขา...ฉันก็ต้องทำอย่างเดียวกับเขา...เว้นเสียแต่ว่า.....ฉันจะต้องทำเกินเลยไปกว่าเขาแน่ ๆ "

 

หมายเหตุ-ไหงได้บันทึกรูปภาพไว้แล้วเพื่อให้ท่านชม ปรากฏว่า ใ่ส่รูปภาพไม่ได้เพราะไม่รองรับไฟล์
โปรดรอการแก้ไขในภายหลับ ขอบพระคุณ

 


 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal