การใช้บัตรเอทีเอ็มในประเทศจีน บัตรเอทีเอ็มของจีน มีข้อดีคือ สามารถหาตู้กดได้ง่าย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเวลากดเงิน (ธนาคารเดียวกัน) ต่างธนาคารเสียค่าธรรมเนียม 3.8หยวน/ครั้ง ซึ่งหากต้องการเปิดบัญชีธนาคารจีน (Bank of China) ทาง ศูนย์บ้านจีน ก็มีบริการดำเนินเรื่องไปยัง Bank of China สาขาประเทศไทย ให้ฟรี
บัตรเอทีเอ็มของไทย กดเงินที่ประเทศจีน จะเสียค่าธรรมเนียมการกด 100 บาทต่อครั้ง โดยหลังบัตรต้องมีสัญลักษณ์ visa v-first visa plus เป็นต้น ถึงจะสามารถกดได้ ก่อนเดินทางควรตรวจสอบกับทางธนาคารว่าสามารถนำไปใช้ที่ประเทศจีนได้หรือไม่ โดยค่าธรรมเนียมจะไม่โชว์ในสลิปและไม่สามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือได้จากตู้เอทีเอ็ม ควรกดเงินก่อนหน้าเทศกาลสำคัญของจีน เนื่องจากมีคนใช้เยอะระบบอาจจะล่มได้ ** วันหยุดยาวประจำปี มีอยู่ 3 วันคือ วันตรุษจีน (ไม่แน่นอน) วันแรงงาน ( 1พฤษภาคม ตรงกับประเทศไทย) และวันชาติ (1ตุลาคม)
เที่ยวเมืองเหมยเซี่ยน
ตอนเช้าไปออกกำลัง
ไปออกกำลังตอนเช้าวันนั้นอากาศสบายวิ่งไปกลับได้สักปากุงลีไม่คอยเหนื่อยริมแม่น้ำถนนสอาดสวยมีคนออกกำลังมากกลับมาอาบน้ำกินข้าวนั่งคุยกันไหง่คุยลึกมากไม่ได้ต้องอาศัยลูกสาวใช้ภาษากลางช่วย
อยากเอาจักรยานไปขี่ที่หมอยแย้น
อาโกสมจิตรเขาเป็นนักวิ่งชมรมลมโชย ราชบุรี ชมรมนี้เขาตั้งอยู่ที่สนามกีฬากลางราชบุรี มีทั้งชมรมลมโชย - รับอรุณ และ ชมรมลมโชย - ยามเย็น อาโกสมจิตรกี่ออกวิ่งล่าถ้วยมานักต่อนักแล้ว วิ่งแล้วสุขภาพดี มีเรี่ยวมีแรงไปหมอยแย้นได้ ซึ่งสุขภาพนี่ก็สำคัญต่อการเดินทางท่องเที่ยวด้วยครับไท้กา
การเดินทางท่องเที่ยวนี้ต้องมีครบ 3 ประการ แต่อย่าไปเรียกว่าแก้วสามประการแบบพวกบ้านั่นเลย ไหง่เรียกว่าต้องมีครบ 3 อย่างคือ
1. ยิ้วเฉียน - ต้องมีเงิน
2. ยิ้วสือเกียน - ต้องมีเวลา ( ว่าง )
3. ยิ้วซินที่เคี้ยนคอง - ต้องมีสุขภาพที่แข็งแรง
มีครบสามอย่างนี้ไปได้เลยแล
แต่อย่างว่าหละครับไท้กาในช่วงชีวิตคนมักจะมาครบแบบ 3 อย่างนี้ยากเหมือนกันนะไท้กา
ช่วงเด็กจนถึงวัยหนุ่ม - มีเวลาเยอะแน่ , สุขภาพก็แข็งแรงดี ( ซินที่เคี้ยนคอง ) แต่ หมอเฉียน ( ไม่มีเงิน )
ช่วงวัยหนุ่มถึงวัยกลางคนช่วงกำลังทำงานทำมาหากิน - สุขภาพก็ยังดีอยู่ ( ซินที่เคี้ยนคอง ) , ยิ้วเฉียน ( พอมีเงินแล้ว ) แต่ หมอสือเกียน ( ไม่มีเวลา ) วัยฉกรรจ์กำลังทำมาหากินไม่ค่อยมีเวลา ( ว่าง ) หมอสือเกียน
ช่วงวัยดึกหรือวัยชรา - ยิ้วเฉียน ( มีเงิน ) , ยิ้วสือเกียน ( มีเวลาเยอะเพราะเลยวัยทำงานแล้ว ) แต่ หมอซินที่เคี้ยนคอง ( สุขภาพเริ่มไม่ค่อยดีแล้ว เดินเหินก็ไม่ค่อยคร่องแล้ว )
แต่ไหง่แอบหนีเที่ยวมาบ่อยๆตลอดช่วงระยะเวลาประมาณ 20 กว่าปีนี้ไหง่ไปเมืองจีนมาร่วม 15 - 16 ครั้ง ไปในประเทศอาเซี่ยนมาเกือบครบแล้ว เคยไปมา 3 ทวีป มียุโรป อาฟริกา ( อียิปต์ ) และเอเซีย
เมื่อสิบปีก่อนนั้นไหง่ก็ชอบขี่จักรยานมีกลุ่มขี่จักรยาน เคยขี่จักรยานจากราชบุรีไปสวนผึ้งได้สบายๆ เวลาไปเที่ยวกันเป็นกลุ่มก็ชอบเอาจักรยานไปขี่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ไปกันมาแล้ว แต่ทิ้งไม่ได้ขี่ไปนานร่วม 7 - 8 ปี ตอนนี้เริ่มเอามาขี่ได้เกือบเดือนแล้ว
เมื่อสิบปีก่อนไหง่ยังเคยมีความคิดเลยว่าจะเอาจักรยานไปขี่ที่หมอยแย้นขี่ไปตามตำบลต่างๆคงจะสนุกดีนะ ไม่แน่หรอกสักวันอาจจะเอาจักรยานขึ้นเครื่องบินไปขี่ที่หมอยแย้นก็ได้
3 ประการกับการท่องเที่ยวค่ะ
อ่านข้อความของโกวีฟัดแล้วใช่เลยค่ะ ไปเที่ยวต้องมีเงิน มีเวลา และมีสุขภาพที่ดี แล้วในแต่ละช่วงวัยก็มีขีดจำกัดไม่เหมือนกันซะด้วย อ่านจบอยากออกไปเที่ยวเลยทันที งั้นเริ่มจากสงกรานต์เลยละกันนะคะ
ถือโอกาสสวัสดีวันปีใหม่ไทยเพื่อนๆสมาชิกเว็บฮากกาทุกท่านนะคะ ขอให้ทุกท่านมีเงินทองมากมาย มีเวลา และสุขภาพแข็งแรงค่ะ เมื่อครบทั้งสามอย่างแล้วพวกเราก็เตรียมเดินทางได้เลยค่ะ สมาชิกพร้อมแล้ว งานและกิจกรรมดีๆของผองเพื่อนสมาชิก พวกเราก็ไปด้วยกันนะคะ
ไม่ไปเสมือนไป! จะไปเสมือนจะไม่...?
จริงอยู่ไหง่ไม่เคยไปเมืองจีนเลย แต่เหมือนได้ไปท่องเที่ยวอยู่ทุกวัน เพราะดูรายการท่องเที่ยว " หยวนฟังเตอเจีย " ของ CC.TV.ของจีนทุกวัน ยิ่งตอนนี้มีรายการของขักหงิ่นที่เรียกว่า " เค่อเจียจั๋วจี้ " (ตามรอยเท้าขักกา) ก็พอได้เห็นวิถีชีวิตของขักหงิ่น ที่อยู่ตามป่าเขา เป็นเสมือนหน่วยซุ่มซ่อนยาวนาน พวกเขารู้ทางลัดทางลับตามป่าเขา ที่คนในเมืองไม่มีทางรู้ และคงเป็นด้วยเหตุนี้ คราวญี่ปุ่นบุกจีน แต่มักเข้าไม่ถึงจุดที่ขักหงิ่นอยู่ เพราะยกมาทีไร ก็ถูกซุ่มโจมตีเหมือนผีไร้เงา จนส่วนใหญ่ตายก่อนเห็นตัวข้าศึก นี่คือความปราดเปรียวของขักหงิ่น จนกองทัพที่ได้ชื่อว่าเกรียงไกรของญี่ปุ่น ต้องยอมเว้น " หม่อยเยี้ยน " และยุทธศาสตร์สําคัญของขักหงิ่น
ไหง่ดูรายการนี้แล้ว ทั้งเศร้าและดีใจ เศร้าก็ตรงที่ขักหงิ่นต้องอยู่อย่างลําบากตามป่าเขา ไม่ค่อยได้สัมผัสกับกลิ่นอายแสงสีความเจริญ แบบที่คนในเมืองได้รับอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ก็ดีใจตรงที่ขักหงิ่นเป็นยอดนักรบผู้กล้า จนเลื่องชื่อในศึกสงครามมาทุกยุคทุกสมัย
แต่พออาโกไหง่ที่อยู่เมืองจีน ส่งเงินค่าตั๋วให้ไปเยี่ยมกี่บ้าง เพราะกี่มาเยี่ยมถึง ๔ ครั้งแล้ว และกี่ก็อายุมากแล้ว ไหง่จึงต้องไป แต่พอไปติดต่อสถานทูตจีน ปรากฎว่ามีคนไปขอวี่ซ่ากันมากมายจริงๆ และเป็นอย่างที่ " วี่ฟัดโก " ว่า ต้องยุ่งยากหลายอย่าง ไปวันเดียวไม่เสร็จแน่ แต่ไม่เป็นไร เมื่อเข้าเกียร์เดินหน้าแล้ว เกียร์ถอยหักทิ้ง ยากยังไงก็ต้องไป เป้าคือภายในสิ้นเดือน เม.ย.56 นี้ แต่จะตามเป้าหรือไม่? ก็ต้องชนกันดู!
หลักกลยุทธ " จีน " 2 แบบ
เห็นภาพของ " โกสมจิตร " แล้วยิ่งกระตุ้นให้อยากไปจีนมากยิ่งขึ้น เพราะยังพออยู่ในข่าย 3 ข้อ ของวี่ฟัดโก แม้ข้อที่ 3 ที่ว่ายิวเฉี่ยน(มีเงิน)จะอ่อนสักหน่อย ก็ไม่เป็นไร เพราะอาโกทางเมืองจีนกี่มีซับปอร์ตให้ ไม่ต้องห่วงมากนัก
แต่ตอนขอวีซ่าที่สถานทูตจีนนี่ ถ้าไม่ใช่พอรู้เรื่องจีนบ้าง คงถอดใจดื้อๆได้เหมือนกัน แต่ความที่เคยศึกษาเรื่องกลยุทธ " ซุนวู " มาพอสมควร ในข้อที่ว่า " กลยุทธต้องมี 2 ประสาน " คือ " เจิ้ง " แบบแผนที่เป็นรูปธรรม และ " ฉี " ความพิสดารที่ไร้รูปแบบ สิ่งที่เป็น " เจิ้ง " คือ หนังสือเดินทาง สลิปเงิน 5 หมื่นในธนาคาร ตั๋วเครื่องบินไปกลับ และใบจองโรงแรมที่พัก
ในวันแรกไปแต่เช้า 7 โมง คนมายืนรอคิวยาวเหยียดแล้ว แต่เขาเปิดทําการ 9 โมงเช้า ยืนรอขาแข็ง 2 ช.ม. จึงได้แบบฟอร์ม ซึ่งมี 2 ภาษาที่ต้องกรอก คือจีน-อังกฤษ แค่แบบฟอร์มก็มึนแล้วสําหรับคนไม่เคย แต่โชคดีที่พออ่านออกเขียนได้ทั้ง 2 ภาษา แต่ความที่ไม่เคยก็คิดว่าจดหมายญาติพอแทนใบจองที่พักโรงแรมได้ เพราะญาติที่กวางเจาจะมารอรับที่สนามบิน แล้วไปพักที่บ้านกี่ก่อนเดินทางไปหม่อยแย้น 1 คืน นี่คือสิ่งที่จะบอกกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งคิดว่าผ่านแน่!
ตอนรอคิวแถวยาวเหยียด 6 แถว แถวไหนที่มีฝรั่งฝุ่งเมา(ผมแดง) ต้องรอนานมากเกิน 15-20 นาทีต่อคน เรียกว่าตรวจละเอียดยิบตามกฎ ไม่มีอภิสิทธิ์ใดๆเลย และไม่ง้อถ้าหมั่นไส้ไม่ไปก็ดี จนมีคนมาบอกตอนหลังว่า " การขอวีซ่าเข้าจีน เป็นระบบมาตรฐานเดียวกับสหรัฐ-ญี่ปุ่น มาตรการนี้ใช้มาปีเศษแล้ว " ไหง่ยืนรอ 2 ช.ม.จึงถึงคิว ปรากฎว่าไม่ผ่าน 1 เรื่อง คือ สลิปธนาคารไม่ถึง 5 หมื่น(เพราะคิดว่าไม่เป็นไร 4 หมื่นที่หมุนเวียนน่าจะได้ แต่ไม่ได้) เป็นอันฟลาว
ต้องกลับมาเอาเงินเข้าให้ครบ 5 หมื่นบาท แล้วไปครั้งที่ 2 ในอีกหลายวันต่อมา(ติดวันหยุดสงกรานต์)ต้องยืนรอคิวนานเหมือนเดิม เพราะคนไม่ลดลงเลย คราวนี้ไม่ผ่านอีก เพราะจดหมายญาติอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีใบสําเนาบัตรประชาชนญาติที่เมืองจีนแนบมาด้วย โดยทางเจ้าหน้าที่บอกว่าให้ญาติแฟกมา ไหง่ชักมีนําโหตะหงิดๆ คิดจะกลับบ้านไม่ไปมันละ ยุ่งยากนัก ก็พอดีมีคนมาเสนอตัวทําให้ ซึ่งทีแรกก็มีแบบนี้ แต่ไหง่ได้อ่านข้อความเตือนของสถานทูตที่ว่า ไม่รับผิดชอบใดๆต่อบุคคลภายนอก ที่เสนอทําวีซ่าให้ เลยพยายามทํามันทุกอย่าง แต่ก็มาติดขัดตรงบัตรประชาชนของญาติ จึงอยากลองดูว่าคนเสนอว่าอย่างไร เขาดูแล้วก็พูดถูกว่า แค่จดหมายญาติไม่ผ่าน ต้องมีใบจองห้องพักโรงแรม เขาทําให้ได้ ค่าบริการ 3 ร้อยบาท ปกติต้อง 5 ร้อย แต่นี่ขาดอย่างเดียว ไหง่ไม่ค่อยแน่ใจ แต่เขายําว่าผ่านแน่นอนถ้าให้เขาทํา
เงินค่าตั๋วเครื่องบิน 2 คน เกือบ 3 หมื่นหย่อนไม่กี่ร้อยยังจ่ายได้ แค่อีก 6 ร้อย ถ้าผ่านจะเป็นไร!
จึงตกลงยอมให้เขาทํา แต่เราไปยื่นเอง ซึ่งต้องต่อคิวรออีก 2 ช.ม. ปรากฎว่าผ่านง่าย ทั้งที่เป็นช่องเดิม เจ้าหน้าที่คนเดิม
ไหง่จึงพอมองออกว่า เขาบีบให้เราเข้าอยู่ใน " ฉี " คือหลักพิสดารที่ไร้รูปแบบของเขา ซึ่งเข้าตําราจีนเปะว่า " เจ้าที่ก็ต้องเซ่น(ค่าวีซ่า) เจ้าทางก็ต้องไหว้(นักการ) จึงเดินทางสะดวกโยธิน "
เป็นอันว่า ได้ไปเยี่ยมอาโกไป๊อากุง-อาโผ่ ที่หม่อยแย้นตามเป้าในสิ้นเดิอน เม.ย.นี้แน่นอน เฮ้ย...ในที่สุด...จีนก็คือจีน
...อาหงิ่ว...
หงิ่วโกไปเมืองจีน