หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

ลูกจีน..โหลนแขก...ในเมืองสยาม

รูปภาพของ นายวีรพนธ์

ลูกจีน..โหลนแขก...ในเมืองสยาม

อาจารย์วราวุธ    ฤกษ์วรารักษ์

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

            จากการค้นคว้าและทำวิจัยปริญญาเอกของผม เรื่องชาติพันธุ์กับการทำธุรกิจขนาดย่อม ทำให้ได้พบข้อมูลแปลกๆ เป็นผลพลอยได้ที่อยากจะนำมาเผยแพร่ให้ท่านที่สนใจได้อ่านกัน  ดังนี้
            ลูกหลานคนจีนที่มาจากเมืองจีน อาจจะไม่ใช่เชื้อสายจีนแท้ๆ อย่างที่เข้าใจกัน  เนื่องจากบริเวณที่คนจีนอาศัยอยู่ก่อนที่จะอพยพมายังเมืองไทยนั้น เป็นย่านที่เคยเป็นเมืองท่านานาชาติมาตั้งแต่ยุคโบราณ แต่เท่าที่ศึกษาค้นคว้า เก่าแก่สุด คือ ประมาณ คศ 1100-1300 เมืองกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน เซี่ยงไฮ้ ซัวเถา แต้จิ๋ว ไหหลำ และย่านของคนจีนแคะ ได้เคยถูกปกครองโดยคนต่างชาติ ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิจีนที่มีนามว่า กุบไลข่าน ในเมืองทั้งหลายที่กล่าวมานี้ ดั้งเดิมก็ไม่ใช่คนจีนแท้อยู่แล้ว แต่เป็นชนเผ่าชายแดนต่างๆ เมื่อท่านกุบไลข่านครองแผ่นดินจีน ก็ตีมาทางใต้ได้เมืองเหล่านี้ทั้งหมด แต่เนื่องจากเมืองหลวงอยู่ทางเหนือไกลมาก เกรงจะดูแลไม่ทั่วถึง อาจมีกบฎแข็งเมือง จึงอนุมัติให้ชาวต่างชาติที่ล่องเรือสำเภามาค้าขายอยู่ตามเมืองท่าต่างๆ เหล่านี้ และบ้างก็ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้างแล้ว ให้ช่วยปกครองเมือง และดูแลการค้าระหว่างประเทศให้ด้วย น่าจะเทียบได้กับสมัยอยุธยาของไทยที่ให้แขกเปอร์เชียดูแลกรมท่าขวาให้เพื่อส่งเสริมการค้ากับชาวต่างประเทศทางฝั่งซ้ายมือของแผนที่ประเทศไทย
             ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิ์อยู่ทางเมืองท่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีนเหล่านี้ได้แก่ เปอร์เชีย อาหรับ อินเดีย และซีเรีย  รวมทั้งชาวยิวจากเวนิส  แต่ที่โดดเด่นที่สุด เห็นจะเป็น แขกขาวเปอร์เชีย  ซึ่งมีครอบครัวสำคัญๆ ที่ได้เป็นขุนนางบริหารบ้านเมือง และได้เป็นเจ้ากรมการค้าระหว่างประเทศ เทียบได้กับ ทางตระกูลบุนนาคนั่นก็ว่าได้  สำหรับประชาชนโดยทั่วไป ตัวอย่างที่สำคัญคือ ในเมืองฮกเกี้ยนใต้ ช่วงนั้นมีประชากรในเมืองประมาณ 3 แสนคน แต่เป็นคนต่างชาติเหล่านี้ถึง 2 แสนคน  นับว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย และไม่มีการกีดกันเชื้อชาติกันด้วย จึงน่าจะมีการอยู่กินกันผสมผสานกันจนแยกแทบไม่ได้ว่าใครมีเชื้ออะไรบ้าง  ส่วนที่เกาะไหหลำนั้น แขกอาหรับผสมมากกว่าใครๆ ทั้งหมด  จึงอธิบายได้คร่าวๆ ว่า ทำไมคนที่มีเชื้อจีนไหหลำ จึงหน้าตาคมคาย จมูกโด่ง ผิวเข้ม คงเพราะได้รับยีนจากทางแขกอาหรับนี่เอง  ส่วนจีนแคะ บางกลุ่มอาจจะอพยพลงมาสมทบจากทางตอนเหนือของจีน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กรุงปักกิ่ง แต่คนเหล่านั้น ก็ได้เคยผสมกับกองทัพแขกขาวตุรกี และหรือ ชาวเติร์ก ทาร์ทาร์ ยูเรเซีย มาแล้ว ไม่มากก็น้อย นี่ก็อาจจะอธิบายได้ว่า ทำไมคนจีนแคะจึงขาวมาก หน้าตาคล้ายแขกขาว หรือ ฝรั่งมาก  สรุปโดยรวมๆ ที่พอจะดูได้จากลูกหลานจีนในไทยในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่ได้รับยีนมองโกลเด่นมากจนตาตีเรียวแล้ว ก็จะเป็นลูกจีนชนิดผิวขาวชมพู จมูกโด่ง ตาโตสองชั้น และลองจ้องมองกันดีๆ จะเห็นตาดำไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีน้ำตาลเข้มหรืออ่อน แล้วแต่ยีน และเส้นผมตอนเด็กๆ ก็มักจะน้ำตาลๆ หรือปนทองนิดๆ แต่เท่าที่ได้ยินฝรั่งยืนยันมา คนเหล่านี้มีเชื้อคอเคเชียน จึงมักมีเลือดกรุ๊ป โอ  มากกว่า กรุ๊ป เอ หรือ บี หรือ เอบี   ดังนั้นใครที่เป็นลูกหลานจีนแต่หน้าออกไปทางแขกขาวหรือฝรั่งๆ แถมยังมีเลือดกรุ๊ปโอ อย่าไปสงสัยว่าบรรพบุรุษไปลักลอบเป็นชู้กับฝรั่ง แต่เป็นเพราะว่าท่านน่าจะมีเชื้อสายคอเคเชียนผสมมาตั้งแต่ยุคสุโขทัยนั้นแล้ว  ที่สำคัญคือ อาจจะต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เพราะอาหารบางอย่างย่อยยาก สำหรับคนเชื้อสายคอเคเชียน หรือคนกลุ่มเลือดโอ จะมีปัญหาสุขภาพตามมาได้โดยไม่ได้ตั้งใจ
            อีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่ามากๆ คือ อย่าคิดว่า คนค้าขายต้องมีแต่เชื้อสายจีน เพราะตามที่ได้ศึกษาค้นคว้ามา พบว่า คนในสยามก็มีหลายคนที่น่าจะมีบรรพบุรุษเป็นแขกพราหมณ์อินเดีย ที่ติดกระบวนกองเรือหรือกองคาราวานเกวียนเข้ามาในไทยด้วย เพราะมีอภิสิทธิ์ในการค้าขาย  ทั้งที่พราหมณ์น่าจะเป็นชนชั้นสูงไม่ควรค้าขาย แต่เนื่องจากยุคก่อน โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา โจรปล้นฆ่ากองคาราวานชุกชุมมาก แต่โจรเหล่านี้จะเคารพพราหมณ์มากๆ ไม่แตะต้องเลย คนจึงขอให้พราหมณ์มาอยู่ในกระบวนค้าขายของตนด้วย เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน  นานวันเข้าพราหมณ์เล่านี้ก็อาจจะยึดอาชีพค้าขายไปด้วยเลย เพราะทำกำไรงามมากๆ
            ส่วนที่ว่าคนไทยหรือคนลาวไม่ค่อยถนัดทำการค้า ไม่ใช่เพราะไม่ขยันหรือว่าไม่ฉลาดด้านนี้ แต่เพราะผลพวงของระบบไพร่ ได้ทำให้พลเมืองขาดโอกาสที่จะสะสมทุนหรือลืมตาอ้าปากได้เท่าเทียมกับคนจีน จึงหันไปรับราชการหรือทำการเกษตรดีกว่า  ทั้งนี้แนวโน้มที่คนนานาชาติพันธุ์จะหันมาทำธุรกิจขนาดย่อมในปัจจุบันน่าจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคสมัย ที่สังคมเปิดโอกาสให้ทุกคนมากขึ้น และสื่อต่างๆ ได้ทำให้ผู้คนคุ้นเคยกับการค้าขายมากขึ้น  แต่จะอยากค้าขายเพียงใดก็ย่อมจะขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละคน โดยเฉพาะเรื่องทุน และประสบการณ์ในทางค้าขาย โดยเฉพาะความกล้าได้กล้าเสีย กล้าเสี่ยง

 



<< กลับหน้าหลัก
 
 

เรียบเรียงโดยอาจารย์วราวุธ    ฤกษ์วรารักษ์
ภาควิชาบริหารธุรกิจ
คณะวิทยาการจัดการและสารสนเทศศาสตร์
มหาวิทยาลัยนเรศวร จ.พิษณุโลก

ที่มา http://www.mis.nu.ac.th/sharing/prof/warawut1.phpขอขอบคุณ


 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal