หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

วิถีแห่งเซน

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

วิถีแห่งเซน ปรัชญา คำคม และการดูแลสุขภาพ

รวมบทความดีๆที่เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งเซน ปรัชญา คำคม และบทความที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ

Zen in the Martial Arts

สติสัมโพชฌงค์ ก็คือสติที่มีเองทุกขณะ โดยไม่ต้องออกแรงตั้งใจให้มีสติ และมีอยู่เองโดยไม่มีความต้องการที่จะให้มีสติ เพราะเห็นว่าสตินั้นมีประโยชน์
-
วันทิพย์ -

การบรรลุธรรม หมายความอย่างง่ายๆ คือการตระหนักในความกลมกลืนกัน อันไม่อาจแบ่งแยกออกได้ในชีวิตประจำวัน ความรู้อันแท้จริงแล้วต้องผ่านประสบการณ์ตรง เราจะอธิบายรสน้ำตาลได้อย่างไร การบรรยายด้วยวาจาไม่อาจให้ความรู้สึกได้ การจะรู้รส ต้องมีประสบการณ์กับมัน ปรัชญาของศิลปแขนงนี้ ไม่ใช่ว่าจะครุ่นคิดออกมาได้เอง จะต้องมีประสบการณ์ ดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่ถ้อยคำเป็นเพียงการนำความหมายไปได้บางส่วนเท่านั้น
- Joe Hyams -

รู้จักคนอื่นเป็นความฉลาด รู้จักตนเองเป็นการตรัสรู้
-
เล่าจื๊อ -

เมื่อคุณแสวงหา คุณไม่อาจพบมัน
-
บททายของเซน -

คุณต้องเรียนรู้วิธีดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตหรืออนาคต เซนสอนว่า ชีวิตต้องยึดขณะปัจจุบัน โดยการอยู่กับปัจจุบัน คุณต้องสัมพันธ์กับตนเอง และสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ ต้องไม่ทำให้พลังของคุณกระจายไป ต้องพร้อมเสมอในปัจจุบัน ไม่มีความเสียใจต่ออดีต โดยการคิดถึงแต่อนาคต ก็ทำให้ปัจจุบันเบาบางลง เวลาที่จะดำรงอยู่คือ "เดี๋ยวนี้"
-
อาจารย์หาน -

ล่องลอยไปตามกระแส ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จงปล่อยให้จิตใจเป็นอิสระอยู่ ด้วยความเป็นกลาง ด้วยการรับรู้สิ่งที่กระทำอยู่นั้น นี่เป็นสิ่งสูงสุด
-
จวงจือ -

จิตใจไม่ควรอยู่ที่ใดเป็นการเฉพาะ
-
ต้ากวน -

เวลาทำอะไร ทำให้ดี ขอให้ทำให้ไม่มีที่ติ ทำให้สุดความสามารถของคุณ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่สุดด้านศิลปะการต่อสู้ จะใช้เวลาหลายปีเรียนรู้เทคนิค และการเคลื่อนไหว นับร้อยท่าจนชำนาญ แต่ในยกหนึ่งๆ แชมป์จะใช้เทคนิคสี่หรือห้าอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีก เทคนิคเหล่านี้ เป็นเทคนิคที่เขาทำได้ดีเลิศ ไม่มีที่ติ ทั้งเขารู้ว่า เขาพึ่งเทคนิคเหล่านั้นได้

หยุดเปรียบเทียบตัวเองตอนสี่สิบห้ากับยี่สิบหรือสามสิบ อดีตเป็นมายา คุณต้องเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และยอมรับว่า ตัวเองเป็นอะไรตอนนี้ สิ่งที่คุณขาด คือความยืดหยุ่น กับความปราดเปรียว ที่คุณต้องสร้างเสริมขึ้นมาด้วยความรู้ และการฝึกหัดอย่างคงเส้นคงวา
-
บรู๊ซลี -

บุคลิกภาพของมนุษย์ที่แท้

มนุษย์ที่สมบูรณ์แบบของขงจื๊อ คือคนมีบุคลิกโดดเด่นเหนือคนทั่วไป มีพลังดึงดูด โน้มน้าวใจคน และมีคุณธรรมเที่ยงตรง ทำให้มีอำนาจเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป คุณลักษณะ 7 ประการ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีพลังอำนาจตามวิธีคิดของขงจื๊อ คือ

- นอบน้อม เพราะคนนอบน้อมจะไปทำอะไร ที่ไหน ย่อมไม่เป็นที่เกลียดชังของคนทั่วไป

- เมตตากรุณา เพราะคนมีเมตตากรุณา มักจะมี positive aura บนใบหน้าที่ทำให้สามารถเอาชนะใจคนได้โดยง่าย

- จริงใจ เพราะจะส่งผลให้มีบุคลิก ซึ่งเป็นที่ไว้วางใจของผู้อยู่เหนือกว่าผู้ใต้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป

- จริงจัง เพราะย่อมทำทุกสิ่งทุกอย่างลุล่วงลงได้

- ใจคอกว้างขวาง เพราะย่อมใช้ให้คนทำงานแทนได้ และสามารถเป็นผู้นำที่ดี

- ไม่กินอิ่มเกินไป ไม่แสวงหาความสะดวกสบายจนเกินไป เพราะจะทำให้กลายเป็นคนเกียจคร้าน ไม่แสวงหาหนทางปรับปรุงชีวิต พัฒนาตนเองในขณะที่ยังมีกำลังวังชา และสติปัญญาสมบูรณ์

-มีอารมณ์มั่นคง ไม่หวั่นไหวง่าย ถ้ากล่าวแบบคนสมัยใหม่ ก็คือการมี EQ สูง

การปฏิบัติตามแนวชีวจิต

จะมุ่งไปในด้านการสร้างสุขภาพกายและใจก่อน

โดยการใช้ อาหารสุขภาพ

การใช้เครื่องอุปโภคที่มาจากธรรมชาติ

หรือใกล้กับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ในขณะเดียวกัน ชีวิตความเป็นอยู่ก็ต้องเป็นไปตามธรรมชาติ

คือใช้ชีวิตที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย

และโดยเหตุที่สังคมได้เปลี่ยนไป ยึดเรื่องวัตถุนิยมมากเหลือเกิน จึงควรพยายามละเรื่องวัตถุนิยมให้มากที่สุดที่จะมากได้ สิ่งไหนที่จะเปรียบความหลงผิดของสังคมได้ก็ให้เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ก็อย่าไปยึดติดกับสังคมนั้น

ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมชาติ
จะเป็นชีวิตที่มีอายุยืน แข็งแรง มีความสุข สดชื่นตลอดเวลา

ชีวิตในสังคมปัจจุบันไม่เป็นแบบนั้น
บางคนอาจจะอายุยืน
แต่สุขภาพของเขาอ่อนแอ เจ็บป่วยออดแอด
ร่างกายเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทรมาน
สมองและสติปัญญาไม่สมประกอบ ความจำเลอะเลือน
นี่ไม่ใช่อายุยืนตามทัศนะของชีวจิต

เมื่อมีการปฏิบัติทางกายแล้ว ก็ต้องมีการปฏิบัติทางใจด้วย
ในด้านจิตใจ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดคือความสงบ ความสงบทางกายซึ่งอาศัยธรรมชาติเป็นปัจจัย
จะทำให้เกิดความสงบทางใจ
เกิดปัญญามองเห็นสัจธรรมของโลกและชีวิต

จุดสูงสุดของสัจธรรมนี้คือความหลุดพ้น
ซึ่งแต่ละคนย่อมมีหนทางและแนวทางเป็นของตนเอง ชีวจิตสัญญาไม่ได้ว่าเราจะพาคุณไปถึงจุดนี้
แต่เราสัญญาได้ว่าถ้าคุณปฏิบัติตามแนวของชีวจิต ชีวจิตจะเป็นผู้เปิดประตูซึ่งนำไปสู่ความหลุดพ้นอันนี้
ประตูชีวจิตจะเป็นผู้นำคุณได้ง่ายกว่าที่อื่น
แต่เมื่อคุณเข้าประตูไปแล้ว
ก็อยู่ที่ตัวคุณเองว่า
คุณจะเดินไปถึงความหลุดพ้นนั้นได้เร็วช้าประการใด

การไม่แย่งแข่งขัน

ยอมเป็นผู้ต่ำต้อยจึงรักษาตนไว้ได้

ยอมงอจึงกลับตรงได้

ยอมว่างเปล่าจึงเต็มได้

ยอมเก่าจึงกลับใหม่

ผู้มีน้อยก็จะได้รับ

ผู้มีมากจะถูกลดทอน

ดังนั้นปราชญ์ย่อมรักษาความเป็นหนึ่งเดียวไว้

ท่านจึงกลายเป็นแบบอย่างของโลก

ท่านมิได้แสดงตนให้ปรากฏ

ความรุ่งโรจน์ของท่านกลับปรากฏขึ้น

ท่านมิได้ผยองลำพอง

ชื่อเสียงของท่านกลับลือเลื่อง

ท่านมิได้โอ้อวดตน

ประชาชนกลับไว้วางใจ

ท่านมิได้ภาคภูมิใจ

แต่กลับได้เป็นผู้นำของประชาชน

กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ

ผู้ที่ไม่เชื่อใครเลยคือ คนโง่ !

ผู้ที่เชื่ออะไรง่ายๆ คือ คนงมงาย !

ผู้ที่รู้จักรับฟังผู้อื่นและวิเคราะห์เหตุผลด้วยปํญญา ชื่อว่า ปราชญ์ !

ทำอย่างไรจึงจะได้ชื่อว่าเชื่ออย่างฉลาดอ่านคำสอนของ พระพุทธเจ้าในกาลามสูตรนี้

กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ

ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดี ก่อนเชื่อ

มี ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา

๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา

๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ

๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา

๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

กินแบบหยินหยาง

ฉะนั้นเรามาสร้างสมดุลให้ร่างกายด้วยการกินอย่างสมดุล ตามแนวคิดของหยิน หยางกันค่ะ

ถ้าคุณมีอาการร้อนในแล้วพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้เกิดอาการร้อนในยิ่งขึ้น อย่างลำไย ทุเรียน หรือถ้าคุณมีอาการเป็นหวัดคัดจมูก น้ำมูกไหล แล้วพยายามกินพืชผักผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ววิธีคิดและวิธีกินแบบนี้นี่แหละ ที่เข้าข่ายกินตามแบบหยินหยางที่เรากำลังจะพูดกัน

ตามหลักคิดแบบหยินหยางนั้น ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้จะประกอบไปด้วยสองด้าน ซึ่งด้านทั้งสองจะอยู่ตรงข้ามและขัดแย้งกัน แต่ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน ภาวะตรงข้ามอย่างนี้เรียกว่า ภาวะหยิน (ลักษณะหดตัวไหลลงสู่เบื้องล่าง) และ หยาง (ลักษณะแผ่ออกไหลขึ้นสู่เบื้องบน) ค่ะ

เมื่อนำหลักคิดแบบหยินหยางมาใช้กับเรื่องการกิน เราก็จะพิจารณาได้จากการที่อาหารทุกประเภท

ล้วนมีภาวะหยินและหยางอยู่ด้วยกันทั้งหมด แล้วแยกแยะว่าอาหารชนิดนั้นๆ มีความเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน

โดยดูที่คุณสมบัติหลักของอาหารชนิดนั้นเป็นเกณฑ์ตัดสิน อย่างพริกไทยมีรสชาติเผ็ดร้อน ก็ถือเป็นอาหารแบบหยาง หรือมะระมีรสชาติขม ถือเป็นอาหารแบบหยินค่ะ

ทีนี้เราลองมาดูตัวอย่างอาหารกันค่ะว่า อาหารแบบไหนที่มีภาวะหยินและอาหารแบบไหนที่มีภาวะหยางมากกว่า

อาหารหยิน : อาหารที่ให้ความเย็น มีรสชาติเค็ม ขม เปรี้ยว เช่น กล้วย ส้ม สาลี่ อ้อย แตงโม สับปะรด องุ่น มะพร้าว มะละกอ ถั่วเขียว ถั่วฝักยาว ถั่วเหลือง เต้าหู้ ชา แตงกวา มะเขือเทศ บวบ ขึ้นฉ่าย ข้าวโพด ปู เป็ด ห่าน หอยนางรม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีต้ม นึ่ง ตุ๋น

อาหารหยาง : อาหารที่ให้ความร้อน มีรสชาติเผ็ด หวาน เช่น ขิง กระเทียม พริก ผักชี มะเขือยาว พริกไทย หอม เนื้อวัว ไก่ มะกอก งาดำ หัวหอม รวมทั้งอาหารที่ผ่านการปรุงด้วยกรรมวิธีทอด ย่าง รมควัน

ความต่างระหว่างหยิน – หยาง

หยิน

หยาง

ความมืด
ผู้หญิง
กลางคืน
ดิน
น้ำ
ความเย็น
ความชื้น
ลบ

ความสว่าง
ผู้ชาย
กลางวัน
ฟ้า
ไฟ
ความร้อน
ความแห้ง
บวก

คุณเป็นโรคหยินหรือหยางกันแน่ ?

ตามความเชื่อแบบหมอจีนโบราณ โรคแบบหยินและหยางจะแตกต่างกัน โดยสังเกตได้จาก

โรคหยิน

โรคหยาง

เราจะมีอาการไม่สดใส หน้าซีด ไม่มีแรง ไม่กระหายน้ำ แขน ขาเย็น ขี้หนาว เสียงเบาค่อย หายใจเบาชีพจรเต้นช้า ปัสสาวะมากและใส อุจจาระน้อยและค่อนข้างเหลว ท้องอืด ลิ้นบวมโต แถมมีสีซีด และมีชั้นฝ้าขาวลื่น

เราจะมีอาการหน้าแดง ตาแดง หายใจแรง เสียงดังใหญ่ ตัวร้อน หงุดหงิด กระวนกระวาย เจ็บคอ คอแห้ง ท้องผูก ชีพจรเต้นเร็ว ลิ้นแห้งแต่มีสีแดงเข้ม มีชั้นฝ้าเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม

แล้วร่างกายเราอยู่ในภาวะ หยินหรือหยาง ?

นอกจากจะดูที่คุณสมบัติของอาหารเป็นหลักแล้ว

เราควรดูคุณสมบัติในตัวของเราด้วยว่า

ภาวะร่างกายของเราเป็นหยินหรือหยางมากกว่ากัน เช่น ถ้าเรากินอาหารพวกหยาง

ในปริมาณไม่มากเกินไปแล้วเกิดมีอาการเจ็บคอหรือคอแห้ง อย่างนี้แสดงว่าร่างกายเราอยู่ในข่ายพวกหยางค่ะ

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพยายามหาอาหารพวกหยินมากิน เพื่อให้เกิดความสมดุลขึ้น

เพื่อความเข้าใจ ลองคิดตามตัวอย่างที่ยกมานี้ดูนะคะ สมมติว่าเรากำลังกินแกงเลียงที่มีภาวะหยางมากกว่าหยิน เพราะใส่พริกไทย หัวหอม และเครื่องเทศต่างๆ ถ้าเรารู้สึกว่าทุกครั้งที่เรากินแกงเลียงจะเกิดอาการร้อนใน

เราอาจตั้งข้อสงสัยได้ว่าร่างกายเรามีภาวะหยางมากกว่าภาวะหยิน ทีนี้เมื่อคิดตามแบบหยินหยางแล้วก็ลองเติมบวบ ใบตำลึง และข้าวโพด (หยิน) เข้าไปมากๆ ในแกงเลียง ก็จะช่วยให้อาหารมื้อนี้เกิดความสมดุลต่อร่างกายเรามากขึ้น

อาการร้อนในก็จะลดลงหรือไม่เกิดขึ้น

ในทางกลับกัน ถ้าเรากินอาหารพวกหยินปริมาณไม่มากนัก แต่เกิดอาการท้องอืด มึนหัว นั่นแสดงว่าร่างกายเราอยู่ในภาวะของหยินมากกว่าหยาง ดังนั้น การกินอาหารหยินที่เย็นมากๆ เช่น บวบ ผักกาดขาว ในช่วงที่ร่างกายเราไม่ค่อยแข็งแรง จะทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้า

จากหลักการกินข้างต้น จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่รู้ได้ค่ะว่า นอกจากจะต้องเลือกอาหารที่ทำให้ภาวะร่างกายเราสมดุลแล้ว

เราควรดูด้วยว่าตัวของเรานั้นอยู่ในภาวะหยินหรือหยางด้วย เพื่อช่วยให้การกินอาหารนั้นๆ ได้ประโยชน์สูงสุดและช่วยให้ภาวะในร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอค่ะ

เรียบเรียงจากบทความพิเศษโดย คุณวิกิต วัฒนาวิบูล

คมคำ คำคม

"The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes."

- Benjamin Disraeli - -
ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง

"You get the best out of others when you give the best of yourself."
- - Harvey Firestone - -
"คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป"

"If you always do what interests you, then at least one person is pleased."
- - Katherine Hepburn - -
ถ้าคุณลงมือทำในสิ่งที่คุณสนใจอยู่เสมอ อย่างน้อยจะมีคนคนหนึ่งที่พอใจ

"Only two things are infinite, the universe and human stupidity,
and I'm not sure about the former."
- - Albert Einstein - -
มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่หาที่สิ้นสุดไม่ได้ สิ่งหนึ่งคือจักรวาล และอีกสิ่งคือความโง่เขลาของมนุษย์ ทว่าฉันไม่แน่ใจว่าจักรวาลจะเป็นเช่นนั้น

"Life remains the same until the pain of remaining the same
becomes greater than the pain of change."
- - Anonymous - -
ชีวิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนกระทั่ง ความเจ็บปวดจากการอยู่นิ่งเฉย มีมากกว่า ความเจ็บปวดที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง

"He who loses money, loses much; He who loses a friend, loses more; He who loses faith, loses all."
- - Anonymous - -
ผู้สูญสิ้นทรัพย์สินไป
คือผู้..สูญเสียมากเหลือเกิน

ผู้สูญสิ้นเพื่อนไป
คือผู้..สูญเสียมากกว่า

แต่..ผู้สูญสิ้นความศรัทธา
ผู้นั้น.. สูญเสียยิ่งกว่าใครๆ

"The determined man finds the way, the other finds an excuse or alibi."
- - Anonymous - -
ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว

"The only thing in life achieved without effort is failure."
- - Anonymous - -
มีเพียงสิ่งเดียวในชีวิตที่จะสามารถพิชิตได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายคือพิชิตความล้มเหลว

"Some dream of worthy accomplishments, while others stay awake and do them."
- - Anonymous - -
บางคนฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ

"No bird soars too high if he soars with his own wings."
- - William Blake - -
ไม่มีนกตัวใดบินสูงเกินไปถ้ามันบินด้วยปีกของมันเอง

"Obstacles are those frightful things you see
when you take your eyes off your goals."
- - Anonymous - -
อุปสรรคคือสิ่งที่น่าตกใจก็ต่อเมื่อคุณไม่ได้มองไปที่จุดหมายปลายทาง

"Advice is like snow; The softer it falls the longer it dwells upon,
and the deeper it sinks into, the mind."
- - Samuel Taylor Coleridge - -
คำแนะนำเหมือนหิมะที่โปรยปราย ตกเบาบางรู้สึกเพียงแค่เยือกเย็น และหากหนักหนาก็ยิ่งลงลึกถึงความรู้สึกที่เหน็บหนาว

"There is nothing either good or bad but thinking makes it so."
- - W.Shakespeare - -
ไม่มีสิ่งใดๆในโลกที่ดีหรือเลว มีแต่ความคิดของเราเท่านั้นที่ทำให้เกิดความดีและความเลว

"Great minds discuss ideas; Average minds discuss events;
Small minds discuss people."
- - Anonymous - -
จิตใจที่ยิ่งใหญ่วิพากษ์วิจารณ์ความคิด จิตใจสามัญวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ แต่จิตใจที่ต่ำต้อยนั้นวิจารณ์เพียงผู้คน

"Life is a big canvas and you should throw all the paint you can on it."
- - D.Kaye - -
ชีวิตเหมือนภาพเขียนขนาดใหญ่และคุณควรจะใช้สีทั้งหมดที่คุณมีสร้างสรรค์มันขึ้นมา

"Forgive your enemies, but never forget their names."
- - J.F.Kennedy - -
จงยกโทษให้แก่ศัตรูของคุณ แต่อย่าลืมชื่อของพวกเขาเป็นอันขาด

"The only man who never makes mistakes is the man who never does anything."
- - T.Roosevelt - -
คนที่ไม่เคยทำผิดคือคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย

"If you want to increase your success rate,double your failure Rate."
- - T.Watson Jr (Founder of IBM) - -
ถ้าคุณต้องการประสบความสำเร็จมากขึ้นหนึ่งเท่าตัว จงเพิ่มความล้มเหลวเป็นสองเท่าตัว

"Even a Step back can be fatal."
- - W.Brudzinski - -
แม้แต่การก้าวถอยหลังก็อาจถึงแก่ชีวิตได้

"Imagination is more important than knowledge."
- - Albert Einstein - -
จินตนาการสำคัญกว่าความรู้ที่มี

"The reward of a good thing well done is to have it done."
- - Ralph Waldo Emerson - -
รางวัลของสิ่งที่เรียกว่ายอดเยี่ยมคือการได้สร้างมันขึ้นมา

"You see things and you say, 'Why?'!But I dream things that never were; and I say, 'Why not?"
- - George Bernard Shaw - -
คุณเห็นบางสิ่งบางอย่าง คุณจะพูดว่า"ทำไม" ในขณะที่ฉันได้เห็นความฝันของฉันซึ่งไม่เคยเป็นไปได้ ฉันพูดว่า "ทำไมถึงไม่มีสิ่งนั้นล่ะ"

"Do what you can, with what you have, where you are."
- - Theodore Roosevelt - -
ทำในสิ่งที่คุณสามารถจะทำได้ พร้อมกับสิ่งที่คุณมีและที่ที่คุณอยู่

"Freedom is nothing else but a chance to do better."
- - Albert Camus - -
อิสรภาพ ไม่ใช่อะไรอย่างอื่นเลย หากแต่คือโอกาสที่จะทำสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น

"The future belongs to those who believe in the beauty of their dreams."
- - Eleanor Roosevelt - -
อนาคตเป็นของคนที่เชื่อในความฝันของตัวเองเท่านั้น

"God gives every bird it's food, But He does not throw it into it's nest".
- - Anonymous - -
พระเจ้ามอบอาหารให้แก่นกทุกตัว แต่ไม่เคยโยนอาหารให้ถึงรังของนกเหล่านั้น

"When life is giving you a hard time, try to endure and live through it.
You must never run away from a problem.
Convince yourself that you will survive and get to the other side."
- - Margaret Ramsey * British literary agent - -
เมื่อคุณเห็นการมีชีวิตเป็นสิ่งที่หนักหนาสาหัส ลองพยายามอดกลั้นและต่อสู้กับมัน จงอย่าวิ่งหนีต่อปัญหาใดๆที่คุณเผชิญอยู่และเชื่อใจในตัวเองว่าสองมือของคุณสามารถทำให้คุณฝ่าฟันช่วงวิกฤตและผ่านมันไปได้

"There is Nothing so Sweet as Love's Young Dreams!"
- - Anonymous - -
ไม่มีสิ่งใดจะหอมหวานเท่ากับความฝันในวัยเยาว์

"First say to yourself what you would be, and then do what you have to do."
- - Epictetus (55-135 C.E.) - -
สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจกับตัวเอง และลงมือทำ

"A person who lives right, and is right, has more power in their silence
than another has by words."
- - Phillips Brook - -
บุคคลที่มีชีวิตอยู่อย่างถูกต้องและเหมาะสมแม้อยู่ในความเงียบก็แลมีอำนาจกว่าผู้อื่น

"Life is like a box of choclates."
- - F.Gump - -
ชีวิตก็เหมือนกล่องใส่ชอกโกแลตที่มีหลากหลายสีสันและรสชาติ

"Glory in life is not in never failing, But rising each time we fail."
- - Anonymous - -
ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่การที่ไม่เคยพ่ายแพ้ หากแต่เพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ล้มลง

"It is never too late to be what you might have been."
- - George Eliot - -
ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น

"Do not be too timid and squeamish about your actions. All life is an experiment."
- - Ralph waldo Emerson - -
อย่าขาดความมั่นใจในตัวเอง อย่าตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะทุกๆสิ่งคือประสบการณ์


"Learn from the mistakes of others.
You can't live long enough to make them all yourself."
- -
Anonymous - -
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นเพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง

"This year's success was last year's impossibility."
- -
Anonymous - -
ความสำเร็จของปีนี้ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในปีที่ผ่านมา

"Who never made a mistake never made a discovery."
- -
Soren Kierkegaard - -
คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่งใด

"Praise the bridge that carried you over."
- -
George Colman - -
จงขอบคุณสะพานที่ให้คุณเดินข้ามมา

"To follow, without halt, one aim: There is the secret of success."
- -
Anna Pavlova - -
เคล็ดลับของความสำเร็จคือการเดินทางอย่างต่อเนื่องไปสู่จุดมุ่งหมาย

"Our deeds determine us, as much as we determine our deeds."
- -
George Eliot - -
การกระทำตัดสินเราเท่าๆกับที่เราตัดสินใจกระทำ

"The difference between the impossible and the possible
lies in a man's determination."
- -
Tommy Lasorda - -
เส้นบางๆที่คั่นระหว่างความเป็นไปได้และความเป็นไปไม่ได้คือการตัดสินใจของเรา

"If you don't stand for something, you'll fall for anything."
- -
Anonymous - -
ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มเหลวในทุกๆสิ่ง

"It is not fair to ask others what you are not willing to do yourself."
- -
Eleanor Roosevelt - -
ไม่ยุติธรรมเลยที่คุณจะขอร้องให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณไม่ต้องการทำ

"A wise man will make more opportunities than he finds."
- -
Francis Bacon - -
คนที่ฉลาดคือคนที่สร้างโอกาสมากกว่าที่เขาหาได้

"We write our own destiny. We become what we do."
- -
Madame Chiang Kai-Shek - -
ตัวเราเองที่กำหนดพรหมลิขิตและเราจะเป็นในสิ่งที่เราได้กระทำ

"Well done is better than well said."
- -
Ben Franklin - -
การลงมือทำดีกว่าคำพูดที่สวยหรู

"Life moves pretty fast...if you don't stop to look around once in a while, you might miss it."
- -
Ferris Bueller, "Ferris Bueller's Day Off" - -
ชีวิตผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถ้าคุณไม่หยุดและมองไปรอบๆบ้าง คุณอาจจะพลาดบางอย่างไป

Nobody has Wisdom if he does not know the Dark.
- -
H.Hesse - -
ไม่มีใครฉลาดโดยปราศจากการได้รู้จักความโง่เขลามาก่อน

"Great minds must be ready not only to take opportunity, but to make them."
- -
Colton - -
ความคิดที่ยิ่งใหญ่ไม่ใช่แต่เตรียมพร้อมต่อโอกาส แต่ยังพร้อมที่จะลงมือทำ

"Do or do not; there is no try."
- -
Yoda - -
การตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องใช้ความพยายามแต่อย่างใด

"He who knows little often repeats it."
- -
Thomas Fuller - -
ใครที่รู้อะไรเพียงนิดหน่อยก็มักจะคุยโวถึงมัน

"Wealth is like Sea Water:The more you drink the more thirsty you get."
- -
A.Schopenhauer - -
ความร่ำรวยเปรียบเหมือนน้ำทะเล ยิ่งดื่มมาเท่าไหร่ก็ยิ่งกระหายมากขึ้นเท่านั้น

"Progress always involves risk. You can't steal second with your foot on first."
- -
Fredrick Wilcox - -
พัฒนาการจะมีเรื่องของความเสี่ยงมาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ คุณจะไม่มีโอกาสไปถึงเบสสองได้ ถ้าเท้าคุณยังยืนอยู่บนเบสหนึ่งอยู่

"You don’t get harmony when everybody sings the same note."
- -
Doug Floyd - -
คุณจะไม่สามารถหาความกลมกลืนได้ เมื่อทุกคนร้องเพลงด้วยโน้ตที่เหมือนกัน

"Thinking: The talking of the soul with itself."
- -
Plato - -
การคิด คือ จิตวิญญาณกำลังพูดกับตัวมันเอง

"Nature is as complex as it need to be.... and no more."
- -
Albert Einstein - -
ธรรมชาติซับซ้อนเท่าที่มันจำเป็น...ไม่มากกว่านั้น

Heaven never helps the men who will not act.
- -
Henry Bergson - -
สวรรค์ไม่ช่วยคนเกียจคร้าน

Move out man! Life is fleeting by.
Do something worthwhile, before you die.
Leave behind a work sublime,
that will outlive you and time.
- -
Alfred A. Montepert - -
อันชีวิตคนเราช่างสั้นนัก
ต้องรู้จักทำประโยชน์ก่อนจะสาย
ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์หลังความตาย
มีความหมายคงอยู่ ตลอดไป

Seize the day. Make your lives extraordinary.
- -
From The Dead Poets Society - -
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วชีวิตคุณจะไม่ธรรมดา

Only those who dare to fail greatly can ever achieve greatly.
- -
Robert F. Kennedy - -
คนที่กล้าจะจะพ่ายแพ้เท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่

It is only in adventure that some people succeed in knowing themselves--in finding themselves.
- -
Andr Gide - -
มีแต่ในการผจญภัยเท่านั้น ที่บางคนประสบความสำเร็จในการรู้จักตัวเอง นั้นคือ การค้นพบตัวเอง

If we do not find anything very pleasant, at least we shall find something new.
- -
Voltaire - -
ถึงแม้ว่าเราจะไม่พบสิ่งที่พอใจ อย่างน้อย เราก็จะได้เจอสิ่งใหม่ๆ

You can fool all the people some of the time, and some of the people all the time,
but you cannot fool all the people all the time.
- -
Abraham Lincoln - -
คุณหลอกคนทุกคนได้ในบางเวลา และหลอกบางคนได้ตลอดเวลา แต่ คุณไม่สามารถหลอกทุกคนได้ตลอดเวลา

Beware of small expenses; a small leak will sink a great ship.
- -
Benjamin Franklin - -
จงระวังสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เช่น รอยรั่วเล็กๆ อาจจะทำให้เรือใหญ่ล่ม

You know you're old when the candles cost more than the cake.
- -
Bob Hope - -
คุณจะรู้ว่าคุณแก่ตัวก็ต่อเมื่อเทียนที่ต้องจุดในงานวันเกิดแพงกว่าเค้กวันเกิด

Age does not protect you from love. But love, to some extent, protects you from age.
- -
Jeanne Moreau - -
อายุป้องกันคุณจากความรักไม่ได้ แต่ความรัก ในจำนวนที่พอเหมาะ ปกป้องคุณจากอายุได้

When you go in search of honey you must expect to be stung by bees.
- -
Kenneth Kaunda - -
เมื่อคุณต้องการน้ำผึ้ง คุณต้องรู้ว่า คุณจะถูกผึ้งต่อย

If men cease to believe that they will one day become gods then they will surely become worms.
- -
Henry Miller - -
เมื่อมนุษย์เลิกเชื่อว่าวันหนึ่งเค้าจะกลายเป็นพระเจ้า เมื่อนั้น เค้าจะเป็นแค่หนอนตัวหนึ่งเท่านั้น

The ripest peach is highest on the tree.
- -
James Whitcomb Riley - -
ลูกพีชที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่สูงที่สุดบนต้น

And he that strives to touch the stars,
Oft stumbles at a straw.
- -
Edmund Spenser - -
คนที่พยายามจะสัมผัสดวงดาว มักจะพลาดกับสิ่งเล็กน้อย

It takes two flints to make a fire.
- -
Louisa May Alcott - -
ต้องใช้หินถึง2ก้อนถึงจะเกิดไฟได้

We boil at different degrees.
- -
Ralph Waldo Emerson - -
คนเรามีจุดเดือดไม่เท่ากัน

Let not the sun go down upon your wrath.
- -
Ephesians 4:26 - -
อย่าให้พระอาทิตย์ตกลงไปพร้อมกับความโกรธของคุณ

The best and most beautiful things in the world cannot be seen or even touched.
They must be felt with the heart.
- -
Helen Keller - -
สิ่งที่ดีและสวยงามที่สุดในโลก มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่จะรู้สึกได้จากหัวใจ

Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.
- -
Dr. Robert D. Ballard - -
จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริง และอย่ายอมแพ้

Keep your eyes on the stars, and your feet on the ground.
- -
Theodore Roosevett - -
สายตาจับจ้องที่ดวงดาว และเท้ายังคงติดดิน

There is a magnet in your heart that will attract true friends. That magnet is unselfishness,
thinking of others first. When you learn to live for others, they will live for you.
- -
Paramahansa Yogananda - -
มีแม่เหล็กอยู่ในหัวใจของคุณ ซึ่งจะดึงดูดมิตรแท้ แม่เหล็กชนิดนี้คือ ความไม่เห็นแก่ตัว
และการคิดถึงคนอื่นก่อน เมื่อคุณเรียนรู้ที่จะอยู่เพื่อคนอื่น พวกเขาก็จะอยู่เพื่อคุณ

รวบรวมจากhttp://zixzen.blogspot.com/2007/10/blog-post_14.html

คมคำ เต๋า

13510
.
ความนุ่มนวลพิชิตความแข็งกระด้าง.

ความอ่อนโยนพิชิตความแข็งแกร่ง.

เป็นเหตุผลที่ทุกคนรู้ดี .

แต่น้อยคนนักที่จะทำได้
.

40675

ร่างกายของคน เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ย่อมอ่อนนุ่ม

ต่อเมื่อตายแล้วจึงแข็งกระด้าง


สรรพสิ่งในโลก ต้นไม้ใบหญ้า


เมื่อยังสดอยู่ ย่อมอ่อนนุ่ม


ต่อเมื่อตายแล้วจึงแห้งกรอบ

ดังนั้น การแกร่งกล้าหาญหัก

จึงเป็นหนทางแห่งความตาย


ความนุ่มนวลผ่อนปรน


จึงเป็นหนทางแห่งการมีชีวิต


40677



รู้ ทำเป็นไม่รู้ จึงอยู่เหนือ(ผู้อื่น)

ไม่รู้ ทำเป็นรู้ จึงตกทุกข์ลำบาก

คำเตือนแห่งเซน

การเดินตามแบบแผนและติดในกฎเกณฑ์
เป็นการผูกมัดตัวเองโดยไม่ต้องมีเชือก

การกระทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจ
เป็นสิ่งอกุศลและเลวร้าย

การกระทำเพียงแค่รวมจิตเป็นหนึ่ง
และบังคับมันให้สงบลง
เป็นลัทธินิยมความนิ่งเฉยและเป็นเซนที่ผิด

การยึดถือความคิดของตนเอง
และลืมโลกที่ปรากฎอยู่ตามสภาพของมัน
เป็นการตกลงไปสู่หลุมที่ลึก

ความรู้สึกยึดมั่นที่ว่าตนจะต้องรู้ทุกอย่าง
และไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกลวง
เป็นการตกลงไปสู่หลุมที่ลึก

ความรู้สึกยึดมั่นที่ว่าตนต้องรู้ทุกอย่าง
และไม่ยอมให้สิ่งใดมาหลอกลวง
เป็นการใส่โซ่ตรวนให้กับตัวเอง

การคิดถึงความดีและความชั่ว
เป็นการติดอยู่ในสวรรค์หรือนรก

การค้นหาพระพุทธเจ้านอกตัว
การค้นหาความจริงนอกตัว
เป็นการถูกคุมขังอยู่ในระหว่างซี่กรงเหล็ก

ใครที่คิดว่าเขาบรรลุเห็นแจ้ง
ด้วยการยกระดับความคิด
เป็นเพียงการเล่นกับสิ่งอันหลอกหลอน

การนั่งอย่างเลื่อนลอยในเซน
เป็นเงื่อนไขของสิ่งที่เลว

การทำให้ก้าวหน้า
เป็นเพียงสิ่งลวงตาในทางปัญญาอันเกิดจากการปรุงแต่ง

ความเสื่อมถอย
เป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับหนทางของเรา

การไม่ก้าวหน้าและไม่ถอยหลัง
เป็นเพียงลมหายใจของบุคคลที่ตายแล้ว

เธอจะต้องมานะพยายามอย่างถึงที่สุด
ในอันที่จะบรรลุถึงการตรัสรู้ของเธอในชีวิตนี้
และจะต้องไม่ผลัดมันออกไปวันแล้ววันเล่า
ด้วยการก้าวข้ามพ้นโลกทั้งสาม

จงมองด้วย "ตา" แล้วปล่อยให้ "ปัญญา" เป็นผู้วินิจฉัย

วันหนึ่ง ขงจื๊อ เมธีจีน พร้อมศิษยานุศิษย์
เดินทางรอนแรมลี้ภัยการเมืองอยู่กลางป่า
พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าวใส่จานพร้อมสำรับอาหาร
ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่างๆ นั้น ท่านขงจื๊อสังเกตเห็นว่า
ลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว
ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่า
การหยิบอาหารจากสำรับของครูบาอาจารย์
มารับประทานก่อนได้รับอนุญาตนั้น
แสดงถึงความ "อนารยะ" ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง

ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง
"
อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อน
หาใช่กระทำไปด้วยความเขลาหรือขาดคารวะก็หาไม่
แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในจานข้าวของอาจารย์
มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่
ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ
จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดาย
เพราะข้าวหายากและจำเป็นมาก สำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ
กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ"

แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์
ค่อยๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา
ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว

บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดาย

จนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน และบางทีก็เสียผู้เสียคน

เสียเกียรติภูมิที่สู้สั่งสมมาทั้งชีวิตในชั่วพริบตา

เพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน

ขณะที่บางด้านของความจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง

สามีทะเลาะกับภรรยา พ่อแม่ทะเลาะกับลูก

นายเข้าใจผิดลูกน้อง เพื่อนแตกจากเพื่อน

คนรักหันหลังให้กันทั้งที่ต่างฝ่ายก็แสนดี

เพียงเพราะต่างก็เชื่อใน "สิ่งที่ตาเห็น"

แต่ละเลยการ "เมียงมอง" อย่างพินิจแยบคาย

โดยใช้ "ปัญญาจักษุ" อันสุขุม

เราจึงติดอยู่ใน "ภาพลวงตา" อันเป็นมายาคติ

พลอยทำให้หลงลืม "ความจริง"

ที่เป็นจริงอีกด้านหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

จงมองด้วย "ตา" แล้วปล่อยให้ "ปัญญา" เป็นผู้วินิจฉัย
สิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ปัญญาประจักษ์

ไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกันเสมอไป

จงใช้ตานอกสำหรับ "ดู" แล้วจงใช้ตาในสำหรับการ "เห็น"

ชนะแข็งด้วยอ่อน

ผู้ที่ถูกลดทอน

จะต้องมีมากมาก่อน

ผู้ที่อ่อนแอ

จะต้องเข็มแข็งมาก่อน

ผู้ที่ได้รับ

จะต้องให้มาก่อน

เหล่านี้คือนัยที่แสดงออกให้ปรากฏ

ความอ่อนละมุนมีชัยเหนือความแข็งกร้าว

ควรปล่อยให้มัจฉาอยู่ในสระลึกจะดีกว่า

เหมือนดังเก็บงำศัตราวุธทั้งมวล

ของบ้านเมืองไว้มิให้ใครเห็น

ถ้าก้าวพลาดไปหนึ่งก้าวจะเป็นไร เพราะยังมีก้าวใหม่ที่มั่นคง

  • ในกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว ปลาย่อมว่ายทวนน้ำเสมอ
    ปลาที่ลอยตามน้ำ ก็มีแต่ปลาตาย
    มนุษย์ต้องต่อสู้กับอุปสรรค เหมือปลาว่ายทวนน้ำ
    ผู้ที่ปล่อยชะตาไปตามเหตุการณ์
    ก็เหมือนคนที่ตายแล้ว
  • ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม
    ถ้าหมดลมว่าวก็ตก มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้
    ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค
    ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย
  • ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง
    อุปสรรค คือหนทางแห่งความสำเร็จ
    ขอให้เราทั้งหลายพึงใจในการต่อสู้
    ยินดีเผชิญหน้ากับศัตรู และกล้าฝ่าฟันอุปสรรค
  • ดอกไม้งามได้เพราะ รูปลักษณ์ และสีสัน
    คนจะงามได้เพราะ พระธรรม
  • การยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดีทั้งปวง
    รสแห่งธรรม ย่อมชนะรสทั้งปวง
    การให้ทานธรรม ย่อมชนะการให้ทานทั้งปวง
  • ยิ้มแย้มอย่างแจ่มใส เห็นใครทักก่อน
    นี่คือ.. วิธีแสดงเสน่ห์แบบง่ายๆ แต่ให้ผลมาก
  • ทุกชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหามีมาให้แก้
    ไม่ใช่มีมาให้กลัดกลุ้ม การแก้ปัญหา เป็นหน้าที่ของชีวิต
  • บางคน มีวัตถุอำนวยความสะดวกมาก
    แต่ยังหาสุขไม่ได้
    บางคนมีวัตถุอำนวยความสะดวกไม่มาก
    แต่หาสุขได้
    สุขหรือไม่สุข....
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัตถุ แต่ขึ้นอยู่ที่ใจ
    ที่มองเห็นความเป็นจริงของโลกและชีวิต
    จนสามารถปล่อยวางคลายความยึดมั่นได้
  • การให้อภัยไม่ต้องลงทุนอะไรเลย
    แต่การแก้แค้นลงทุนมาก
  • เวลาเป็นยารักษาความทุกข์ ถ้าเราปล่อยให้ผ่านไป
    ยิ่งนานเท่าไร ความทุกข์ก็ยิ่งลดลง
    และอาจจะหายไปในที่สุด
  • การสะกิดคุ้ยเขี่ย ความผิดพลาดของผู้อื่น
    ปมด้วยของผู้อื่น มีแต่จะทำให้เขาเสียใจ และอาจทำให้เสียมิตร
    ส่วนรา.... ไม่ได้อะไรเลย
  • เรายังเคยเข้าใจผิดผู้อื่น
    ถ้าคนอื่นเข้าใจเราผิดบ้าง
    ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลกอะไร
    ทำไมต้องเศร้าหมอง
    ในเมื่อเราไม่ได้เป็นอย่างที่ใครเข้าใจ
  • อย่าโกรธฟุ่มเฟือย อย่าโกรธจุกจิก
    อย่าโกรธไม่เป็นเวลา อย่าโกรธมาก
    จะเสียสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
  • คนที่ถูกนินทาด่าว่ามีอยู่ทั่วไป ถ้าจะเพิ่มเราเป็นผู้ถูกนินทา
    เข้าไปอีกสักคน จะเป็นไรไป
  • การนินทาว่าร้ายเป็นเรื่องของเขา
    การให้อภัยเป็นเรื่องของเรา
  • การชอบพูดถึงความดีของเขา คือความดีของเรา
    การชอบพูดถึงความไม่ดีของเขา คือความไม่ดีของเรา
  • เราเข้าใจเขาผิด เรายังรู้สึกเสียใจ
    เขาเข้าใจเราผิด ถึงเขาไม่พูด เขาก็คงรู้สึกเสียใจบ้างเหมือนกัน

สายกลาง

ไม่เข้าไปข้างใดข้างหนึ่ง

ต้องมีความยืดหยุ่น รู้จักปรับ

ไม่อิ่มเกิน ไม่หิวเกิน
ไม่ชอบ ไม่เกลียดชัง

เผื่อแผ่ แต่ต้องไม่เดือดร้อนตนเอง
ช่วยคนอื่นตามสมควร แต่อย่ายัดเยียด
เข้าสังคมบ้าง แต่อย่าทำให้ตนเองอึดอัด

หาความสงบส่วนตัวบ้าง แต่ไม่ใช่หนีโลกแห่งความจริง
ไม่ใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ไม่ตระหนี่

ไม่ใช้อารมณ์มาตัดสินในเรื่องที่ต้องใช้เหตุผล
ไม่ใช้เหตุผลมาตัดสินในเรื่องที่ต้องใช้ความรู้สึกละเอียดอ่อน

ทำงานหนัก ต้องรู้จักพักผ่อน
เครียด ต้องรู้จักคลายกังวล
เฉื่อยชา ต้องรู้จักกระตุ้นเตือนตน

อย่าเหลิงดี อย่าใฝ่ชั่ว
ไม่ลุ่มหลงสิ่งที่คาดหวัง แต่ต้องมีเป้าหมายชัดเจน
ไม่หวนถึงอดีตที่ไม่มีประโยชน์ แต่รู้จักนำอดีตที่ผิดพลาดมาใช้ปรับปรุงแก้ไข

เมื่อหายใจเข้า ต้องหายใจออก

ปรัชญาจีน

ครูเปิดประตูให้ แต่คุณจะต้องเดินเข้าไปด้วยตัวคุณเอง

ความหิวแก้ด้วยอาหาร ความเขลาแก้ด้วยการศึกษา
ถ้าไม่ศึกษาเพิ่มเติมขึ้นทุกๆ วัน ก็จะล้าหลังลงทุกๆ วัน
การศึกษาเปรียบเสมือนพายเรือทวนน้ำ ถ้าไม่รุดหน้าก็ถอยหลัง

เลี้ยงลูกชายโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงลา

เลี้ยงลูกสาวโดยไม่ให้การศึกษา ก็เหมือนเลี้ยงหมู

เงียบลง คุณจึงจะคิดได้ ถ้าคุณไม่เงียบ คุณจะไม่ได้ยินทุกอย่างที่คนพูดกับคุณ
เพราะว่าใจคุณพะวงอยู่กับสิ่งที่คุณคิดว่าคุณรู้แล้ว เรียนรู้ที่จะฟัง ฟังด้วยหัวใจของคุณ

หนังสือทุกเล่มอ่านอย่างละเอียด แบบขบเคี้ยวเพื่อให้ได้เนื้อแท้ของมัน

ผู้ใดรู้จักใช้พู่กัน จะไม่ต้องขอทานเขากิน

อุดมการณ์เล็กนิดเดียว แต่ใจใหญ่ ผลสุดท้ายย่อมแย่ ลังเลโลเล สุดท้ายย่อมเสียใจ

เรียน จึงรู้ว่าตนเองด้อยความรู้ สอน จึงรู้ว่าลำบาก
ผู้ที่รู้ว่าด้อยความรู้ จึงจะเตือนตัวเองได้ ผู้ที่รู้ว่าลำบาก จึงจะฝึกตนให้เข้มแข็ง

ไม่เป็นจึงต้องเรียน ไม่รู้จึงต้องถาม

พูดถึงอะไรสำคัญที่สุด ความประพฤติย่อมสำคัญที่สุด

การเรียนภาษาต่างประเทศนั้นไม่ยาก มันก็เหมือนกับการคบเพื่อน ยิ่งคบก็ยิ่งคุ้นเคย พบหน้ากันทุกวัน มิตรภาพก็ยิ่งสนิทแน่นแฟ้น

คนที่เก่งทุกทาง แท้จริงคือคนที่ไม่มีอะไรเก่งจริงสักอย่าง คนที่รอบรู้ไปหมดทุกเรื่อง แท้จริงคือคนที่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย

ปรัชญาจีน2

สิ่งที่แข็งที่สุด เอาชนะได้ด้วยสิ่งที่อ่อนที่สุด

เมื่อประตูบานหนึ่งปิด
อีกบานหนึ่งก้อเปิด
แต่บ่อยครั้งที่เรามัวแต่จ้องประตูบานที่ปิด
จนไม่ทันเห็นว่ามีอีกบานที่เปิดอยู่

อย่ามัวค้นหาความผิดพลาด จงมองหาหนทางแก้ไข

อารมณ์ขันเป็นสิ่งยอดเยี่ยมที่สุดที่ช่วยรักษาสิ่งอื่นได้
เพราะทันทีที่เกิดอารมณ์ขัน
ความรำคาญและความขุ่นข้องหมองใจจะมลายไป
กลับกลายเป็นความเบิกบานแจ่มใสของจิตใจเข้ามาแทนที่

อย่ากลัวที่จะนั่งหยุดพักเพื่อคิด

1 นาทีที่คุณโกรธเท่ากับคุณได้สูญเสีย 60 วินาทีแห่งความสงบในจิตใจไปแล้ว

หนทางเดียวที่จะรักษาภาพพจน์ได้คือการซื่อสัตย์ตลอดเวลา

ผู้ชนะไม่เคยลาออก และผู้ลาออกก็ไม่เคยชนะ

ออกซิเจนสำคัญต่อปอดเช่นไร ความหวังก็เป็นเช่นนั้นต่อความหมายของชีวิต

การมีชีวิตอยู่นานเท่าใดมิใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ มีชีวิตอยู่อย่างไร

เราเข้าใจชีวิตเมื่อมองย้อนหลังเท่านั้น แต่เราต้องดำเนินชีวิตไปข้างหน้า

เราไม่อาจล้างมือที่แปดเปื้อนซ้ำได้เป็นครั้งที่ 2 ในสายน้ำไหล(สุภาษิต ทิเบต)

ไม่มีสิ่งใดช่วยให้คุณได้เปรียบคนอื่น
มากเท่ากับการควบคุมอารมณ์ให้สงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาในทุกสถานการณ์

ความอดทนคือเพื่อนสนิทของสติปัญญา

พรสวรรค์ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ คือ การที่เราสามารถเอาใจเขามาใส่ใจเราได้

ในธรรมชาติไม่มีสิ่งใดดีพร้อม แต่ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบในตัวเอง ต้นไม้อาจบิดเบี้ยวโค้งงออย่างประหลาด แต่ก็ยังคงความงดงาม

มักพูดกันว่ากาลเวลาเปลี่ยนทุกสิ่ง แต่จริงๆแล้ว คุณต้องเปลี่ยนทุกสิ่งด้วยตนเอง

ปรัชญาไท้เก็ก

ปรัชญาไท้เก็กได้รับอิทธิพลมาจากหลักปรัชญาสามอย่าง คือ พุทธ, เต๋า และขงจื๊อ อันเป็นสิ่งที่หยั่งรากในกระแสความคิดของชาวจีนมานานนับพันปี ปรัชญาทั้งสามได้ผสมผสานกันอย่างกลมกลืนสอดคล้องกัน เกิดเป็นวิถีชีวิตของชาวตะวันออก ปรัชญาพุทธสอนให้รู้จักเหตุและผล ปรัชญาเต๋าสอนให้รู้จักความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ปรัชญาขงจื๊อสอนให้รู้จักการปฏิบัติตนให้เหมาะสมในสังคม

นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจากปรัชญาเซ็นที่แพร่หลายไปถึงญี่ปุ่น ซึ่งท่านตั๊กม้อจากอินเดียนำมาเผยแผ่ในแผ่นดินจีน ปรัชญาเซ็นสอนในเรื่องความว่าง

ปรัญญาต่างมุม

1.ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้...
เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า

2.คำว่า 'พรุ่งนี้รวย' ของคนขายลอตเตอรี่ ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นปรัชญาที่ต้องตี ความ...เหมือนคำพูดของนักการเมือง ตอนหาเสียง

3.สิ่งที่คนเมาพูด คือ สิ่งที่คนปกติคิด

4.ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ไม่ว่าคุณจะแก้ดียังไง มันก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ ที่ต้องให้คุณคิดหาทางแก้ไขต่อไป..เป็นเช่นนี้ไปเรื่อย

5.ทุกปัญหาย่อมมีวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด...
แต่วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด จะพบหลังจากใช้วิธียากที่สุดไปแล้ว

6.อะไรก็ตามที่คุณอยากจะถาม... เป็นไปได้มากว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ควรจะรู้

7.คนเรามักจะพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ในเวลาที่ไม่เหมาะที่สุด และกับคนที่ไม่น่าจะพูดที่สุด

8.สินค้าที่ประสบความสำเร็จทางการตลาดที่สุด คือ สินค้าที่คนโง่ที่สุดใช้เป็น และอยากจะใช้ แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม

9.เมื่อคุณ

มาประชุมสาย ประธานจะมาตรงเวลา
และเมื่อคุณมาตรงเวลา การประชุมเลื่อนไปไม่มีกำหนด

10.อะไรก็ตามที่คุณคิดได้ และรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆ คุณก็จะพบว่า มีคนอื่นที่ไหนสักแห่ง คิดมาแล้ว

 

พื้นฐาน 5 ประการของพุทธนิกายเซน

(1) ความจริงสูงสุดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงได้ด้วยคำพูด ความจริงสูงสุดของเซนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแสดงออกได้ด้วยคำพูดหรือตัวหนังสือ ดังคำพูดของเซนที่ว่า "การส่งมอบพิเศษนอกคัมภีร์ ไม่ต้องอาศัยคำพูดหรือตัวหนังสือ" ซึ่งก็ตรงกับคำพูดในปรัชญาเต๋าที่ว่า "เต๋าเป็นสิ่งที่ไม่อาจเรียกได้ด้วยคำพูด เต๋าที่เรียกได้ด้วยคำพูดไม่ใช่เต๋าที่แท้จริง" และ "ผู้พูดไม่รู้ ผู้รู้ไม่พูด" พุทธะอันสูงสุดนั้นคือธรรมชาติอันแท้จริงที่มีอยู่ภายในชีวิตของเรานี้เอง เมื่อคำพูดและความคิดปรุงแต่งหยุดลง ธรรมชาติดังเดิมก็พลันปรากฎ

ดังนั้นเซนจึงมุ่งหวังในเรื่องประสบการณ์ ความตื่นของชีวิตมากกว่าคำพูด ประสบการณ์นี้เรียกว่า "ความว่าง" หรือ "ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ" หรือ ธรรมชาติดั้งเดิม เปรียบเสมือนการดื่มน้ำ ร้อนหรือเย็นรู้ได้โดยไม่ต้องบอก

(2) การฝึกฝนในทางธรรม เป็นสิ่งที่ไม่อาจฝึกได้ (ด้วยความพยายามที่เกิดจากการปรุงแต่ง) ในความคิดปรุงแต่งใดๆก็ตาม จะมีความรู้สึกที่มีตัวตนประสมอยู่ด้วยเสมอ ทำให้เกิดการแบ่งแยกระหว่างสิ่งที่เป็นภายในกับสิ่งที่เป็นภายนอก และทำให้เกิดความยึดมั่นผูกพันกับวัตถุภายนอก ความพยายามที่เกิดจากการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นการฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า การท่องพระสูตร การบูชาพระพุทธรูป การประกอบพิธีต่างๆนั้น โดยแท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ตรงข้าม บุคคลควรปล่อยจิตใจให้เป็นอิสระ เฝ้าดูและขจัดกระแสแห่งความคิดปรุงแต่ง และจะต้องเข้าถึงธรรมชาติของความเป็นเอง การปฎิบัติธรรมที่แท้จริงจึงเกิดขึ้นได้

(3) ผลบั้นปลายสุดท้าย ไม่มีอะไรที่ใหม่ ประสบการณ์ของความตื่น ความรู้สึกตัวถึงเอกภาพอันแบ่งแยกมิได้ของสรรพสิ่งทั้งมวล การเห็นแจ้งธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะภายในของตน เหล่านี้ไม่ได้หมายความว่า ได้อะไรมาใหม่ เพียงแต่เป็นการรู้แจ้งบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ในตัวเองตลอดเวลาเท่านั้น ปัญหามีเพียงว่าที่เราไม่ได้รู้สึกตัวถึงสิ่งนี้เป็นเพราะอวิชชาของเราเอง ในภาวะของความตื่น เมื่อตัวตนที่ปรุงแต่งถูกขจัดออกไป ธรรมชาติในส่วนลึกลับอันแอบเร้นลับปรากฎตัวขึ้นแทนที่และผู้กระทำจะกระทำสิ่งต่างๆอย่างปราศจากตัวตนและอย่างเป็นกันเอง

(4) "ไม่มีอะไรมากในคำสอนทางพุทธศาสนา" แท้จริงแล้วนั้น ส่งที่เรียกว่าความคิด ลัทธิ และคำพูด ไม่มีความหมายแต่อย่างใด สิ่งสำคัญที่สุดเพียงประการเดียวคือ ประสบการณ์ของความตื่นเท่านั้น ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าพระพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชาวพุทธ และไม่มีแม้กระทั่งสิ่งที่เรียกว่าพุทธศาสนา เพราะตราบใดที่ยังยึดติดในสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่อาจรู้แจ้งความเป็นจริงในสิ่งทั้งหลายอยู่ตราบนั้น

(5) ในขณะที่กำลังหาบน้ำ ผ่าฟืน นั่นแหละ เป็นขณะแห่งการสัมผัสกับชีวิตทางธรรม การตรัสรู้นั้นไม่จำกัดอยู่ในรูปแบบใด ในขณะแห่งการทำงาน ในชีวิตประจำวันก็อาจเป็นขณะแห่งการตรัสรู้ได้ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นสิ่งสากล เราอาจพบมันได้ในทุกหนทุกแห่ง ดังบทเพลงจีนบทหนึ่งที่ว่า

ทันทีที่พระอาทิตย์ขึ้น

ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน

เราขุดบ่อน้ำ

เราไถหว่านบนผืนดิน

อำนาจอะไรของเทพเจ้า
เราเริ่มต้นทำงาน
เราพักผ่อน

และเราดื่ม

และเรากิน

จะมาเกี่ยวข้องกับเรา

รวบรวมจาก.. http://zixzen.blogspot.com/

 

ระเบียบวินัย

ขงจื๊อกล่าวถึงระเบียบวินัย 3 ประการ ของคนวัยต่างๆ กัน

วัยหนุ่มสาว พลังยังไม่มั่นคง ต้องมีวินัยเรื่องกามคุณ

วัยกลางคน พลังกายใจเข้มแข็งมากที่สุด
ต้องมีวินัยเรื่องความพึงพอใจ
อย่าเพิ่งเฉยชาหรือพอใจกับอะไรง่ายๆ

วัยชรา หมดเรี่ยวแรง พลังงานถดถอย
ต้องมีวินัยกับความโลภ
คืออย่ามีความต้องการมากมายไม่มีที่สิ้นสุด

การคบคน

ขงจื๊อเชื่อว่า ชีวิตคนเรา จะสุข ทุกข์ ประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนที่เราจะเข้าไปเกี่ยวข้องคบหาด้วย
ดังนั้น ขงจื๊อจึงมีกฎในการเลือกคบคน ดังนี้

ข้อแรก ไม่คบหาคนที่มีคุณงามความดีไม่เท่าเรา

ข้อสอง ไม่แสวงความเห็น หรือปรึกษาหารือคนที่มีเส้นทางชีวิตไม่เหมือนเรา

ข้อสาม คนที่ควรคบหาคือ คนที่มีความซื่อตรง จริงใจ และมีความรู้

ข้อสี่ พึงเลี่ยงคบหาบุคคลที่เสแสร้ง พูดจาไร้สาระ ฉวยโอกาส ฟุ้งเฟ้อ

ข้อห้า เมื่อคบหาใครเป็นเพื่อนแล้ว จงมีความจริงใจต่อกัน แต่อย่าปล่อยให้เขาชักนำเราไปในทางที่ต่ำ

การพูด

คำพูดของเราต้องแสดงออกถึงความ ซื่อตรง
สอดคล้องกับกิริยาทางกาย
เพราะถ้าหากคำพูดเราเกิด พร้อมกับกิริยา มุ่งมั่นจริงใจ พูดสิ่งใดก็ย่อมประสบผลเป็นที่น่าเชื่อถือ

การวางตัว

คนเราจะมีคนรักทั่วทิศ หากวางตัวได้ดังนี้

เวลาอยู่นอกบ้านแล้วพบผู้คน วางตัวเรากับคนผู้นั้นเป็นแขกสำคัญในบ้าน

เมื่อต้องสั่งการ วางตัวราวกับเราเป็นแม่งานของพิธีการที่สำคัญยิ่งใหญ่
คนที่เป็นแม่งานจะต้องเป็นภาพงานทุกอย่าง
ตั้งแต่ต้นจนจบอย่างรอบด้าน และมีจิตมุ่งุุ่มั่น
ต้องการทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ในระยะเวลาที่ตั้งใจเอาไว้
เพราะฉะนั้นเวลาคนเป็นแม่งานสั่งงาน
จะไม่สักแต่ว่าขอให้ใครทำอะไร
แต่จะคิดอย่างรอบคอบถึงผลที่ตามมา
จะไม่สั่งการแบบขอไปทีแต่จะต้องมีการติดตามผล
แนะนำเพื่อให้งานลุล่วงไปได้

อะไรที่เราไม่ชอบ ก็อย่าปฏิบัติต่อคนอื่น

เข้มงวดต่อตนเอง แต่ให้อภัยคนอื่น

การวางจิต

ขงจื๊อเน้นการมีจิตใจที่ซื่อตรง
เขาเห็นว่าประเทศชาติจะสงบสุขได้ครอบครัวต้องดีก่อน
แต่ครอบครัวจะดีได้ มนุษย์แต่ละคนต้องมีคุณธรรม
มนุษย์แต่ละคนจะมีคุณธรรม ก็ต้องมีจิตใจที่ซื่อตรง
และจิตใจที่ซื่อตรง จะมีได้ก็ต้องมีเจตนาที่ซื่อตรงก่อน

ขงจื๊อเน้นจิตที่สามารถมองอะไรชัดเจน ทะลุปรุโปร่ง
จิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้
ก็จากการมองเห็นและรู้จักตนเองอย่างรอบด้านก่อน

วิธีคิดของผู้มีปัญญา

คนเราเกิดมา มีปัญญาสูงต่ำไม่เท่ากัน มีโอกาสในการศึกษาไม่เท่ากัน แต่ขงจื๊อเห็นว่าในชีวิตประจำวันคนเราสามารถค่อยๆ สร้างสมพัฒนาสติปัญญาให้ได้ด้วยตนเอง
โดยการเปลี่ยนปรับวิธีคิดเสียใหม่
เลิกคิดปรุงแต่ง และคิดถึงเรื่องไร้สาระ
และหันมาพิจารณาเฉพาะเรื่องที่เป็นประโยชน์แทน ดังนี้

มนุษย์ที่แท้ จะต้องพิจารณาอยู่เสมอว่า ทำอย่างไร เราจึงจะมองอะไรแล้วสามารถจะเห็นและเข้าใจสิ่งนั้นทะลุปรุโปร่ง
และเมื่อได้ยินอะไรแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะฟังให้เข้าใจได้หมด
ซึ่งก็คือการใช้สมาธิตั้งใจดู ตั้งใจฟัง นั่นเอง
ปัญหาของจำนวนมาก คือ ดู เห็น ฟัง แล้วเข้าใจไม่หมด
ตีความผิด ตีความเข้าตนเอง เอาตนเองเป็นที่ตั้งอยู่ตลอด
ถ้าแก้ไขจุดนี้ได้ เราก็จะมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ
ซึ่งต้องใช้ประกอบการคิด การตัดสินใจต่อไป

อย่าคิดกังวลว่าใครจะยอมรับยกย่องเราหรือไม่
แต่ให้เป็นกังวลมากๆ ว่า ขณะนี้เรายังขาดคุณสมบัติข้อใด
ที่ทำให้ยังไม่เป็นที่ยกย่องของผู้คน
และอย่าเป็นกังวลว่าคนอื่นจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของเรา แต่ให้กังวลว่าตัวเราจะไม่รู้จักนิสัยใจคอของคนอื่นดีกว่า

จุดนี้คือ ขงจื๊อต้องการให้คนเราเน้นการพิจารณา
เข้าใจ และปรับปรุงตนเอง
ในขณะที่แนวโน้มของคนโดยทั่วไปจะชอบ
"ส่องนอก ไม่ส่องใน"
และใช้เวลาไปกับการจับผิด วิพากษ์วิจารณ์คนอื่นเสียมาก

เวลาเห็นช่องทางได้ผลประโยชน์
ต้องคิดถึงความยุติธรรมด้วย
ขงจื๊อเห็นว่า
มนุษย์เรามีแนวโน้มจะคิดแบบเห็นแก่ได้
และตัดสินใจผิดพลาด เมื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้น เพื่อจะไม่ทำผิดคุณธรรม
คนเราต้องพิจารณาเรื่องความยุติธรรมอยู่เสมอๆ
ความยุติธรรมที่ให้พิจารณาก็คือ
หลักการง่ายๆ ถ้าเราไม่ชอบอะไร รังเกียจอะไร
ก็จงอย่าทำกับคนอื่นแบบนั้น คิดได้แค่นี้

นอกจากนี้ ขงจื๊อยังให้ข้อเตือนใจไว้ว่า
เกิดมาเป็นมนุษย์ต้องหัดคิดการณ์ไกล
เพื่อจะได้ไม่ต้องหลงทาง
นอกจากนี้ เวลาร่ำเรียนศึกษาก็ต้องหัดคิดตาม
เพราะคนที่ศึกษาหาข้อมูลต่างๆ โดยไม่คิด
ย่อมไม่ฉลาดมากนัก
ในทางตรงกันข้าม คนที่เอาแต่คิดวิเคราะห์สิ่งต่างๆ
โดยไม่ชอบศึกษาหาข้อมูล ก็จะเป็นเพียงการคาดเดาหรือ
speculation ย่อมจะคิดผิดพลาดได้ง่ายๆ ดังนั้น คนเราต้องหัดฝึกฝนการคิดและการศึกษาหาข้อมูลไปพร้อมๆ กัน

สิ่งต่างอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ

เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย

ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น

เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี

ความชั่วก็อุบัติขึ้น

มีกับไม่มีเกิดขึ้นด้วยการรับรู้

ยากกับง่ายเกิดขึ้นด้วยความรู้สึก

ยาวกับสั้นเกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ

สูงต่ำเกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง

เสียงดนตรีกับเสียงสามัญเกิดขึ้นด้วยการรับฟัง

หน้ากับหลังเกิดขึ้นด้วยการนึกคิด

ดังนั้นปราชญ์ย่อมกระทำด้วยการไม่กระทำ

เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจา

การงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลง

ท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง

แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ

ประกอบกิจยิ่งใหญ่

แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้

เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ

เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย

"เมื่อวันนี้มีโอกาสได้บำเพ็ญ ขอจงเห็นความสำคัญรุดก้าวหนา เมื่อยังมีลมหายใจบนโลกา รุดนำพาตนก้าวพ้นห้วงแห่งกรรม"
พระโอวาท พระพุทธบรรพจารย์เทียนหราน เมตตา (อั่งเปาปี๒๕๕๓)

โลหิตแห่งชีวิตคือ ความรัก กระดูกสันหลังของชีวิตคือ คุณธรรม
(โอวาทพระธรรมจารย์เทียนหยาน ไท่ห่าว 27/9/50)

กล้วยไม้
พระอาจารย์เซนท่านหนึ่งชอบปลูกต้นไม้ดอกไม้มาก โดยเฉพาะ กล้วยไม้รอบๆบริเวณวัดปลูกกล้วยไม้ชนิดต่างๆไว้มากมาย กล้วยไม้เหล่านั้นล้วนมาจากที่ต่างกัน ยามว่างท่านมักจะดูแลรดน้ำกล้วยไม้เหล่านี้ด้วยตัวเอง วันหนึ่งท่านมีธุระจะต้องลงเขาไป จึงกำชับลูกศิษย์ให้ดูแลรดน้ำต้นไม้ให้ดี ขณะที่ลูกศิษย์กำลังรดน้ำอยู่นั้น เกิดหกล้มชนเสากล้วยไม้ล้มลง ทำให้กระถางแตก และกล้วยไม้ตกลงมาระเนระนาด ลูกศิษย์คิดในใจว่า อาจารย์กลับมาต้องโกรธ และตัวเองจะต้องถูกลงโทษเป็นแน่ เมื่อพระอาจารย์กลับมา ทราบเรื่องแล้วก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด และยังพูดอีกว่า ตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่ได้ปลูกไว้ เพื่อที่จะโกรธ แต่เพื่อที่จะบ่มเพาะนิสัยและฝึกฝนจิต และเพื่อนำมาบูชาพระและสร้างทัศนียภาพรอบๆวัดให้ดูสวยงามและน่าอยู่

เรื่องราวต่างๆในโลกนี้ล้วนแต่เป็นอนิจจัง อย่ายึดติดกับสิ่งที่ตนเองรักจนแยกจากสิ่งนั้นไม่ได้ นั่นไม่ใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม

ละเว้นความชั่วทั้งปวง กระทำแต่ความดี

อำมาตย์ท่านหนึ่งไปเยี่ยมพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง เห็นพระอาจารย์ กำลังนั่งสมาธิอยู่บนกิ่งไม้

จึงพูดว่า “อันตรายเหลือเกิน นั่งอย่างนี้”

พระอาจารย์ตอบว่า “สิ่งแวดล้อมตัวเจ้าอันตรายเสียยิ่งกว่า”

“ข้าพเจ้าเป็นอำมาตย์ใหญ่ ดำรงตำแหน่งสำคัญของบ้านเมือง มีอะไรที่อันตราย”

“วงการข้าราชการในราชสำนัก มีแต่แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ประจบสอพลอ อันตรายรอบด้าน” พระอาจารย์ตอบ

“อะไรคือหลักใหญ่ๆของธัมมะ”อำมาตย์ถาม

“ละเว้นความชั่วทั้งปวง กระทำแต่ความดี”

ท่านอำมาตย์นึกว่าจะได้ฟังธรรมอันล้ำลึก ที่แท้ก็เป็นแค่คำพูดธรรมดาๆ รู้สึกผิดหวัง

แล้วพูดขึ้นว่า “หลักการอันนี้ เด็กสามขวบก็ยังรู้เลย”

“เด็กสามขวบแม้จะรู้ แต่คนแก่อายุ 80 ก็ยังทำไม่ได้” พระอาจารย์ตอบ

รสแห่งเซน
เรื่องราวในโลกล้วนเป็นทุกข์
ไม่เหมือนอยู่ในป่าเขา
เอนกายใต้ต้นหวาย
ใช้ก้อนหินมาหนุนนอน

ไม่อยากเป็นพระราชา
หรือจะอยากเป็นอำมาตย์
เกิดตายไม่กังวล
หรือจะกลัวการเปลี่ยนแปลง

พระอาจารย์ท่านหนึ่งเขียนบทกลอนด้านบนนี้ไว้ ฮ่องเต้ถังเต๋อจงเมื่อได้อ่านบทกลอนนี้แล้ว

อยากจะพบและสนทนาธรรมกับพระท่านนี้ ว่าเป็นอย่างไร? จึงให้ท่านเสนาออกไปเชิญพระอาจารย์มาเข้าเฝ้า

เสนาท่านนั้นนำพระราชโองการมาถึงปากถ้ำที่พระอาจารย์ท่านนี้อยู่ ก็เห็นพระอาจารย์กำลังก่อไฟอยู่ในถ้ำ จึงตะโกนเข้าไปว่า

“พระราชโองการมาถึง รีบมาคุกเข่ารับพระราชโองการ”

แต่พระท่านนั้นทำเป็นคนหูหนวกไม่รู้ไม่ชี้

เสนานั้นเห็นพระอาจารย์เอาขี้วัวมาก่อไฟ บนเตานั้นกำลังเผาแตงชนิดหนึ่งอยู่ ไฟยิ่งมายิ่งลุกโชน

ควันไฟลอยคละคลุ้งออกมาทั้งในถ้ำและนอกถ้ำ ควันไฟนั้นทำให้น้ำมูกของพระอาจารย์ไหลออกมา

เป็นทางยาวเฟื้อยจนหยดติ๋งๆ เสนานั้นเห็นสภาพอย่างนั้น จึงพูดขึ้นว่า

“พระอาจารย์ น้ำมูกของท่านไหลออกมาอย่างนี้ ทำไมไม่เช็ดเสียเล่า?”

“ข้าไม่มีเวลาว่างจะมาเช็ดน้ำมูกให้กับชาวโลกหรอก” พระอาจารย์ตอบ

พูดพลางก็คีบแตงร้อนๆนั้นเข้าปากพลาง “อร่อยจริงๆ! อร่อยจริงๆ!”

แล้วก็ยื่นแตงนั้นให้เสนา แล้วพูดว่า
“รีบกินตอนที่ยังร้อนๆอยู่!
สามโลกก็มีแค่จิต ธรรมทั้งหลายก็อาศัยรู้
รวยหรือจน สูงหรือต่ำ ดิบหรือสุก อ่อนหรือแข็ง
จิตรู้อยู่แต่ตรงกลาง อย่าแบ่งแยกมันออกเป็นสองฝั่ง”

เสนานั้นเห็นพระอาจารย์ทำอะไรแปลกๆ พูดธัมมะที่ฟังไม่รู้เรื่อง เลยรีบกลับไป ทูลฮ่องเต้

ฮ่องเต้ตรัสว่า “ประเทศของเรามีพระอาจารย์อย่างนี้ เป็นบุญกุศลของทุกคนจริงๆ”

สวยเพียบพูนด้วยเสน่ห์

มีอุบาสิกาหญิงคนหนึ่ง เกิดในตระกูลที่มั่งคั่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพย์สมบัติ ยศถาบรรดาศักดิ์

หรืออำนาจวาสนา หรือความสวยงามภายนอก เรียกได้ว่า หาคนเปรียบเทียบได้ยาก

แต่ก็ยังไม่มีใครมารักมาชอบ ไม่มีแม้แต่คนที่มาคุยถูกคอ จึงไปขอคำชี้แนะจากพระอาจารย์ ว่าทำยังไงถึงจะมีเสน่ห์ให้คนมารักมาชอบ

พระอาจารย์เลยตอบว่า ถ้าเจ้าสามารถร่วมงานกับผู้อื่น ด้วยจิตที่มีเมตตา พูดจาด้วยคำเซน

ฟังเสียงของเซน ทำเรื่องราวเกี่ยวกับเซน ใช้จิตของเซน เจ้าจะกลายเป็นผู้มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนมากที่สุด

“คำของเซน พูดยังไงเจ้าคะ?” อุบาสิกานั้นถาม

“คำของเซน คือพูดแต่เรื่องเรื่องดีๆ พูดแต่ความจริง พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน พูดแต่เรื่องที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่น”

“แล้วเสียงของเซน ฟังยังไงเจ้าคะ?”

“เสียงของเซนคือทำเสียงทั้งหมดให้เป็นเสียงละเอียดอ่อน ทำเสียงด่าทอเป็นเสียงที่มีเมตตา

ทำเสียงดูถูกเหยียดหยามเป็นเสียงที่คิดจะช่วยเหลือ และถ้าเจ้าฟังเสียงร้องไห้ เสียงวุ่นวาย

เสียงหยาบ เสียงน่าเกลียด โดยที่เจ้าก็ไม่ถือสา นั่นคือเสียงของเซน”

“แล้วเรื่องราวของเซนทำยังไงเจ้าคะ”

“เรื่องของเซนคือ ทำบุญบริจาค ช่วยเหลือ งานกุศล ช่วยบรรเทาสาธารณภัย ทำสิ่งที่ถูกต้องตามศีลธรรม”

“แล้วจิตของเซนใช้ยังไงเจ้าคะ”

จิตของเซนคือ จิตของเจ้า ของข้าพเจ้า ของปุถุชน ของอริยะชน ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน เป็นจิตที่ห่อหุ้มสรรพสิ่ง เป็นประโยชน์ให้กับสรรพสิ่ง

หลังจากที่อุบาสิกาท่านนั้นได้ฟังคำชี้แนะจากพระอาจารย์ จึงเปลี่ยน ความเย่อหยิ่งจองหองที่มีอยู่เดิม

ไม่คุยโวโอ้อวดถึงฐานะตนเองต่อหน้าผู้อื่น ไม่ยกยอตัวเองว่าสวยเลอเลิศกว่าคนอื่น

และมักจะอ่อนน้อมและมีมรรยาทต่อผู้อื่น เป็นห่วงเป็นใยและดูแลเอาใจใส่ต่อคนในปกครอง

เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ไปนานเข้า อุบาสิกาท่านนั้นก็ได้รับฉายาจากผู้อื่นว่า

“เป็นอุบาสิกาที่มีเสน่ห์มากที่สุด”

อุทิศส่วนกุศล

มีชาวนาคนหนึ่งได้เชิญพระอาจารย์ท่านหนึ่งไปที่บ้าน เพื่อสวดอภิธรรมให้กับศพของภรรยาที่เสียชีวิต หลังจากที่สวดเสร็จแล้ว ชาวนานั้นถามว่า

“ท่านคิดว่า ภรรยาของผมจะได้ส่วนกุศลจากการสวดนี้สักเท่าไหร่”

“พระธรรมเหมือนยานแห่งความเมตตา เหมือนพระอาทิตย์ที่ส่องแสง ไม่แต่ภรรยาของเจ้าจะได้ คนอื่นๆยังพลอยได้รับส่วนกุศลไปด้วย”

ชาวนานั้นรู้สึกไม่พอใจ พูดว่า “ภรรยาของข้าพเจ้าอ่อนแอมาก คนอื่นๆ ย่อมจะมาเอาเปรียบ

แย่งเอาส่วนกุศลไป ขอให้ท่านสวดอุทิศส่วนกุศลให้เขาโดยเฉพาะ อย่าอุทิศให้กับผู้อื่น”

พระอาจารย์พูดต่อไปว่า “การแผ่ส่วนกุศลของตัวเองให้กับผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นได้รับส่วนกุศลโดยทั่วกัน เป็นสิ่งที่ดีที่เราชาวพุทธควรรักษาไว้

หลักการของการแผ่ส่วนกุศลเป็นการอุทิศจากเหตุไปหาผล จากส่วนน้อยไปหาส่วนใหญ่ ก็เหมือนกับ

แสงสว่างไม่ได้เจาะจงจะส่องสว่างให้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ แสงสว่างสามารถส่องให้กับคนได้ทั้งหมด

เหมือนกับดวงอาทิตย์ดวงเดียว ส่องสว่างให้กับคนทั้งโลก เหมือนเมล็ดพันธุ์ 1 เม็ด สามารถให้ผลผลิตได้นับไม่ถ้วน

เจ้าควรจะใช้จิตของเจ้า จุดสว่าง เทียนในใจให้กับตัวเอง แล้วไปจุดต่อให้กับเทียนเล่มอื่นๆ

เพื่อทำให้แสงสว่างเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า และนั่นก็ไม่ได้ทำให้ตัวของเทียนเองต้องสูญเสียแสงสว่างแต่อย่างใด

ถ้าหากทุกคนมีจิตสำนึกอย่างนี้ จากจุดเล็กๆที่ตัวเรา รวมกันเป็นกลุ่มชนเป็นมหาชน จะดีสักแค่ไหน

พุทธศาสนิกชนทุกคน ควรจะมองผู้คนอย่างเสมอภาคเหมือนกันหมด”

ชาวนานั้นยังมีทิฐิอีก พูดต่อไปอีกว่า “คำสอนนี้ดีมาก แต่ก็ยังอยากมีข้อยกเว้นอีกอย่าง

คือคนข้างบ้านของข้าพเจ้า มักจะชอบกลั่นแกล้งและรังแกข้าพเจ้า ยกเว้นเขาสักคน ไม่ให้มารวมกลุ่มอยู่ในกลุ่มชนทั้งปวงได้ก็ดี”

“อยู่ใต้หล้าเดียวกัน มีอะไรต้องยกเว้น” พระอาจารย์ตอบ

ใครคือขี้วัว

ซูตงพอเป็นศิษย์ของพระอาจารย์เซนท่านหนึ่ง ซูตงพอเป็นทั้งอำมาตย์และเป็นนักกวีชื่อดังแห่งยุค

(พ.ศ. 1580 -1644) บ้านของเขาอยู่คนละฟากฝั่งแม่น้ำกับวัด แต่ก็ไปมาหาสู่พระอาจารย์เป็นประจำ เพื่อมาต่อกลอนและมาภาวนาร่วมกัน

วันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิด้วยกัน พระอาจารย์นั่งนิ่งอยู่ในสมาธิ แต่ซูตงพอ นั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ก็นั่งไม่ได้แล้ว

เที่ยวมองไปก็มองมา เขานึกเอาเองว่าตัวเองนั่งสมาธิได้ไม่เลว จึงพูดกับพระอาจารย์ว่า

“ท่านเห็นลักษณะการนั่งของข้าพเจ้าเป็นอย่างไร?”

“เหมือนพระพุทธรูปองค์หนึ่ง”

“แล้วท่านนักประพันธ์ใหญ่เห็นอาตมาเหมือนอะไร”

“เหมือนขี้วัวหนึ่งกอง”ซูตงพอตอบ

พระอาจารย์ยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรแล้วนั่งสมาธิต่อ ซูตงพออิ่มอกอิ่มใจที่สามารถพูดอำพระอาจารย์ได้

จึงกลับไปเล่าให้ คนที่บ้านฟัง คิดว่าคนที่บ้านต้องชมว่า ตนโต้ตอบได้ยอดเยี่ยมแน่ แต่น้องสาวของเขารู้สึกขำแล้วพูดว่า

“พี่โง่จ๋า ยังจะนึกสะใจอยู่อีกพี่แพ้พระอาจารย์แล้ว”

“เป็นไปได้ยังไง? พี่แพ้ยังไง?”

“พระอาจารย์ในสายตาของพี่ มองเหมือนกับขี้วัว แต่ที่แท้คือพุทธะ แต่พี่ดูเหมือนพุทธะ แต่ในจิตใจ บรรจุขี้วัวไว้เต็มไปหมด”

ซูตงพอยังเหมือนกับไม่เข้าใจอยู่อีก น้องสาวเขาเลยอธิบายให้ฟังว่า

“เพราะในจิตของพระอาจารย์มีแต่พุทธะ ดังนั้นในมุมมองของท่าน

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้จึงเป็นพุทธะ แต่พี่ยังภาวนาไปไม่ถึงไหน ในจิตย่อมมีแต่สิ่งสกปรก จึงเห็นพระอาจารย์เป็นขี้วัว”

ซูตงพอฟังแล้วถึงได้เข้าใจ และรู้ว่าตัวเองเรื่องที่จะไปให้ถึงนั้นยังอยู่อีกไกล

 

Nightingale - sound of nature

นรก

มีคนๆหนึ่งเมื่อตายแล้ว วิญญาณล่องลอยไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเข้าประตู คนเฝ้าประตูถามว่า

“เจ้าชอบกินหรือเปล่า? ที่นี่มีแต่ของกินที่วิเศษสุด
เจ้าชอบนอนหรือเปล่า? ที่นี่จะนอนนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน
เจ้าชอบเล่นสนุกไหม? ที่นี่มีของเล่นทุกอย่างให้เลือก
เจ้าเบื่อทำงานใช่ไหม? ที่นี่รับรองว่าไม่ต้องทำอะไร และไม่มีใครบังคับเจ้า”

วิญญาณนั้นรู้สึกดีใจที่ได้อยู่ที่นี่ อิ่มแล้วก็นอน นอนพอแล้วก็เล่น เล่นไปกินไป พอผ่านไป 3 เดือน รู้สึกเริ่มจะเบื่อ จึงไปหาคนเฝ้าประตูนั้น

“ใช้ชีวิตทุกวันอย่างนี้ ไม่เห็นจะดีตรงไหน
เล่นมากจนเกินไป ก็ไม่เห็นจะสนุกอะไร
กินอิ่มเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ
นอนมากเกินไป ก็ทำให้ความรู้สึกเฉื่อยชา
ของานให้ข้าทำหน่อยได้มั้ย?”
วิญญาณนั้นถาม

“ขอโทษ ที่นี่ไม่มีงานให้ทำ” ยามเฝ้าประตูตอบ

ผ่านไปอีก 3 เดือน วิญญาณนั้นทนไม่ได้แล้วจริงๆ พูดกับยามอีกว่า

“ข้าทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าหากไม่ให้งานข้าทำ ข้ายอมตกนรกดีกว่า”

ยามตอบว่า “เจ้านึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์หรือ?
ตรงนี้คือนรกต่างหาก มันทำให้เจ้าไม่ต้องใช้ความคิด
ไม่ต้องสร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต ค่อยๆหลอมละลาย
การทรมานลักษณะนี้ ทรมานยิ่งกว่า เมื่อเทียบกับขึ้นภูเขามีด ลงกระทะทองแดง ซึ่งเป็นความทรมานทางกาย

ตะขาบ


กบตัวหนึ่งเห็นตะขาบเดินมา เลยมองขาตะขาบแล้วคิดจนเครียดว่า ตัวเรามี 4 ขา ยังเดินอย่างยากลำบาก

แต่ตะขาบมีขานับไม่ถ้วน แล้วจะเดินยังไง เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ ตะขาบจะกำหนดยังไงว่าให้ขาไหน

ก้าวไปก่อนขาไหนขยับตาม แล้วเคลื่อนไหวขาไหนอีก

กบตัวนั้นดักตะขาบไว้แล้วจึงถามว่า
“ข้าคิดจนสับสนหมดแล้ว มีปัญหาที่ข้าตอบตัวเองไม่ได้ว่า เจ้าเดินยังไง ใช้ขาเยอะแยะอย่างนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

“ข้าก็เดินของข้าอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ไหนๆก็ถามมาแล้ว ขอให้ข้าคิดก่อนแล้วกัน” ตะขาบตอบ

ความคิดอย่างนี้เป็นความคิดครั้งแรกที่เข้ามาสู่ความคิดคำนึงของตะขาบ ตะขาบยืนคิดอยู่หลายนาทีว่า

ขาไหนขยับยังไง คิดจนวุ่น ไม่รู้ขยับขาไหนต่อขาไหนก่อน ที่สุดก็ขยับขาไม่ได้ เดินเป๋ไปหลายก้าว จึงหมอบลงไปแล้วพูดกับกบว่า

“ขออย่าได้ถามปัญหาอย่างนี้กับตะขาบตัวอื่นเลย ข้าเดินของข้าอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

แต่ว่าตอนนี้เจ้าทำให้ข้าลำบากเสียแล้ว ข้าขยับไม่ได้แล้ว ขาของข้าทุกขาไม่รู้จะขยับขาไหนแล้ว ข้าจะทำยังไงดี”

ข้อคิดดีๆ...
คนเราอยู่ดีๆ ก็มีความสุขอยู่แล้ว เวลาคนอื่นเอาปัญหาต่างๆ ของเขา มาเล่าให้ฟัง
แล้วเราจะไปทุกข์อะไรมากมายกับเขาทำไม

ชีวิตพอมีพอกินก็ไม่เห็นเดือดร้อยเลย
พอเห็นคนอื่นเล่าถึงชีวิต เขาดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ มีพร้อมเงินทอง ลาภยศ บ้าน รถ
แล้วเราก็เอามาเปรียบ มาคิดต่างๆ นานา
สุดท้ายความทุกข์ก็กัดกร่อนใจเราคนเดียว

๑๘ อรหันต์ทองคำ


ที่เชิงเขาผู่ถอ มีชายหาฟืนและครอบครัวอาศัยอยู่หลังหนึ่ง ครอบครัวนี้เลี้ยงชีพด้วยการหาฟืนมาหลายชั่วคนแล้ว


ทุกๆเช้า ชายคนนี้จะออกไปหาฟืนแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำมืด ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก

หากินมาไม่พอเลี้ยงปากท้อง ภรรยาของเขาเมื่อไปวัด จึงมักจะวิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก

เหมือนสวรรค์มีตา วันหนึ่งโชคลาภก็มาถึง ชายหาฟืนคนนั้น ขุดพบรูปปั้นอรหันต์ทองคำมา 1 องค์

ชั่วพริบตานั้นเขาก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที เลยไปซื้อบ้านและไร่นา พร้อมกับจัดงานเลี้ยงฉลองกินกับญาติสนิทมิตรสหายกันอย่างครึกครื้น

ตามความเป็นจริงแล้วชายคนนั้นน่าจะรู้จักพอแล้ว น่าจะรู้จักรสชาติของเศรษฐีแล้ว แต่ก็อิ่มอกอิ่มใจได้ไม่นาน

ความทุกข์กังวล ก็เริ่มมาแล้ว ถึงกับกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ผุดลุกผุดนั่งทั้งวัน

ภรรยาของเขาจึงเตือนว่า “ตอนนี้บ้านเราเรื่องกินเรื่องอยู่ก็ไม่ขาด อะไร ทั้งยังมีเรือกสวนไร่นา

บ้านหลังงาม เจ้ายังจะทุกข์กังวลอะไรอีก ? แม้จะมีขโมย ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว ก็คงจะขโมยอะไรได้ไม่หมด

เจ้าคนผีเฮงซวย เจ้าคนเกิดมาเพื่อจะจนตลอดชีวิต “

ชายหาฟืนได้ยินภรรยาพูดอย่างนั้น จึงพูดอย่างรำคาญว่า “ แม่บ้านอย่างเจ้าจะรู้อะไร ?

กลัวคนขโมยนั้นเรื่องเล็ก แต่เรื่องของ 18 อรหันต์ทองคำนี่ซี ข้าเพิ่งจะได้มาองค์เดียว อีก 17 องค์

ข้ายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ? แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร ? ที่สุดชายตัดฟืนซึ่งคิดกังวลแต่เรื่องอยากได้ 17 อรหันต์ทองคำที่เหลือ

ก็ล้มป่วยลง ป่วยได้ไม่นานก็ตายไป

ข้อคิดดีดี

ยิ่งมีธุรกิจมากมาย ยิ่งหาเวลามาดูใจตัวเองยาก จิตยิ่งสับสน ลุ่มหลงไปกับวัตถุ เงินทอง

สุดท้ายตายแล้วจิตก็ยังขนวิญญาณเงินวิญญาณทองไปข้ามภพข้ามชาติ ไม่จบสิ้น...

เงินแลกกับปัญญา

ครั้งหนึ่ง ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังซ่อมกำแพงที่ถล่มลงมา หลังจากฝนตกลงมาอย่างหนัก

เขาได้ขุดพบทองคำก้อนใหญ่ ก้อนหนึ่ง เลยกลายเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา

ชายคนนั้นรู้ตัวเองดีว่า ตัวเองค่อนข้างโง่ จึงไปปรึกษากับพระอาจารย์ท่านหนึ่ง พระอาจารย์แนะนำว่า

“เจ้ามีเงิน ผู้อื่นมีปัญญา เจ้าทำไมไม่ใช้เงินไปซื้อปัญญาของคนอื่น”

ชายคนนั้นจึงเข้าไปในเมืองเจอพระรูปหนึ่ง ชายนั้นจึงถามพระรูปนั้นว่า “ท่านจะขายปัญญาของท่านให้แก่ข้าพเจ้าได้หรือเปล่า”

พระนั้นตอบว่า ปัญญาของอาตมาแพงนะ เจ้าสู้ไหวหรือ?” “ขอเพียงซื้อปัญญาได้แพงเท่าไหร่ ข้าพเจ้าก็สู้” ชายนั้นตอบ

“เมื่อเจ้าพบสิ่งที่ยากลำบากใจ เจ้าอย่าเพิ่งเร่งรีบตัดสินใจ ให้เดินไปข้างหน้า 3 ก้าว หลังจากนั้นเดินถอยไปข้างหลัง 3 ก้าว

ทำซ้ำอย่างนี้ อีก 3 ครั้ง เจ้าก็จะได้ปัญญา”

“ปัญญา ง่ายอย่างนี้หรือ?” ชายคนนั้นทำท่าไม่เชื่อและลังเล กลัว พระรูปนั้นจะหลอกเอาเงิน พระรูปนั้นอ่านสายตานั้นออก จึงพูดว่า

“เจ้ากลับไปก่อน ถ้าหากเจ้ารู้สึกว่าปัญญาของข้าพเจ้าไม่คุ้มกับเงินเหล่านี้ เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาแล้ว หากเจ้าคิดว่าคุ้ม เจ้าค่อยกลับมา”

เมื่อกลับถึงบ้านในตอนค่ำมืด ชายคนนั้นเห็นเหมือนกับภรรยา กำลังนอนอยู่กับคนอื่น จึงถืออีโต้เข้าไปหวังจะฆ่าคนนั้น

แต่ทันใดนั้นนึกถึงคำพูดของพระรูปนั้นในตอนกลางวัน

จึงเดินไปข้างหน้า 3 ก้าว เดินถอยหลัง 3 ก้าว ทำซ้ำอีก 3 ครั้ง ขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น

คนที่นอนอยู่กับภรรยาของเขาพูดขึ้นว่า “ลูกเอ๊ย ดึกๆอย่างนี้ทำอะไรอยู่นั่น?”

ชายคนนั้นเมื่อรู้ว่าเป็นเสียงมารดาของตนเอง จึงคิดในใจว่า “หากกลางวันนี้ไม่ซื้อปัญญามา วันนี้คงจะฆ่าแม่ของตนเองแล้ว”

วันรุ่งขึ้นจึงรีบนำเงินไปถวายพระรูปนั้นแต่เช้า

เคล็ดลับแห่งความสำเร็จ

เหล่าลูกศิษย์ถามพระอาจารย์ว่า “ทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จ” อาจารย์จึงพูดว่า

“วันนี้พวกเราจะเรียนเรื่องธรรมดาๆและง่ายที่สุด” ให้ทุกคนแกว่งแขนไปข้างหน้าให้สุด

แล้วแกว่งไปข้างหลังให้สุดเช่นกัน พระอาจารย์สาธิตให้ดู พร้อมกับกำชับว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้แกว่งแขนวันละ 300 ครั้ง ทุกคนทำได้หรือเปล่า ?”

เหล่าลูกศิษย์รู้สึกสงสัยจึงถามว่า “ทำไมต้องทำเรื่องอย่างนี้” พระอาจารย์ตอบว่า “หลังจากทำเรื่องนี้แล้ว ผ่านไปหนึ่งปี

พวกเจ้าจะรู้ว่า ทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ” เหล่าลูกศิษย์คิดในใจว่า “เรื่องง่ายๆอย่างนี้ ทำไมถึงจะทำไม่ได้”

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน พระอาจารย์ถามเหล่าลูกศิษย์ว่า “เรื่องที่อาจารย์สั่งให้ทำ มีใครยังทำอยู่หรือเปล่า?

ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ยังตอบอย่างมั่นคงว่า ยังทำอยู่ พระอาจารย์รู้สึกพอใจ พยักหน้าบอกว่า “ดีๆ”

และเมื่อผ่านไปอีกหนึ่งเดือน พระอาจารย์ก็ถามอีกว่า “ตอนนี้ใครยังทำอยู่อีก” ที่สุดก็เหลือเพียงครึ่งเดียวที่บอกว่าทำแล้ว

หนึ่งปีผ่านไป พระอาจารย์ถามทุกคนว่า "พวกเจ้าจงบอกซิว่า การออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนแบบง่ายๆ

ยังมีใครยังคงทำอยู่ ?” ตอนนี้มีเพียงคนเดียว ที่ตอบว่ายังคงทำอยู่

พระอาจารย์จึงพูดว่า “อาจารย์เคยบอกกับพวกเจ้าว่า เมื่อทำเรื่องนี้เสร็จ พวกเจ้าจะรู้ว่าทำอย่างไร

จึงจะประสบผลสำเร็จ ตอนนี้สิ่งที่อาจารย์อยากจะบอกพวกเจ้าคือ เรื่องที่ทำง่ายที่สุดในโลก

บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่ทำยากที่สุด เรื่องที่ทำยากที่สุด ที่บอกว่าง่าย เพราะขอเพียงยอมไปทำ ใครๆก็สามารถทำได้

และที่บอกว่าเรื่องง่ายทำยาก ก็เพราะว่า คนที่ทำได้อย่างแท้จริง ต้องทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งที่น้อยคนจะทำได้

หลังจากนั้น พระรูปที่ทำต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป ในบรรดาศิษย์ทั้งหลายมีพระรูปนี้ที่ประสบความสำเร็จอยู่รูปเดียว

 

เจ้าแม่กวนอิมแสดงธรรม
ฮ่องเต้องค์หนึ่งโปรดเสวยหอยมือแมวมาก ชาวประมงจะต้องนำหอยมาส่งในวังทุกๆวัน

วันหนึ่งขณะที่พ่อครัวแกะเปลือกหอยอยู่เห็นด้านในมีลักษณะแข็งๆ มองดูเหมือนรูปเจ้าแม่กวนอิม

รูปทรงสวยงาม ดูแล้วให้เกิดความน่านับถือและศรัทธายิ่งนัก

พ่อครัวเลยรีบนำไปถวายฮ่องเต้ ฮ่องเต้ได้นำหอยนี้ไปใส่ไว้ในผอบทองคำ แล้วนำไปไว้ที่วัด เพื่อให้ชาวเมืองได้สักการะบูชา

เมื่อฮ่องเต้ออกว่าราชการจึงถามเหล่าขุนนางว่า “การปรากฏตัวของพระโพธิสัตว์เป็นเรื่องที่น่าประหลาดยิ่งนัก

ไม่ทราบว่าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีหรือเกิดลางดีอะไรหรือเปล่า?”

ขุนนางท่านหนึ่งตอบว่า เรื่องนี้เกินกว่าที่คนธรรมดาจะรู้ได้ ที่ภูเขาต้าฮว๋า มีอาจารย์เซนท่านหนึ่ง

สามารถเข้าถึงธรรมที่ล้ำลึกได้ หากพระองค์ต้องการจะทราบเรื่องนี้ก็ไปนิมนต์เชิญมาที่ในวังได้

เมื่อพระอาจารย์มาถึงในวัง ได้พูดกับฮ่องเต้ว่า “วัตถุไม่มีสิ่งใดตอบสนอง แต่เป็นการก่อให้เกิดความศรัทธาและเชื่อมั่น

เมื่อผู้ที่พระโพธิสัตว์ต้องการฉุดช่วย ก็จะปรากฏตัวออกมา เพื่อแสดงธรรม ครั้งนี้ที่พระโพธิสัตว์แสดงตัวออกมา ก็เพื่อจะแสดงธรรมให้กับฮ่องเต้”

“พระโพธิสัตว์ปรากฏตัวออกมาแล้ว แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ยินเสียงท่านแสดงธรรมเลย” ฮ่องเต้ถามอีก

“พระโพธิสัตว์ปรากฏตัวออกมาในหอย พระองค์ทรงเชื่อหรือเปล่า?”

“ข้าพเจ้าเห็นเรื่องประหลาดอย่างนี้มากับตา ต้องเชื่อแน่นอน” ฮ่องเต้ตอบ

“เมื่อพระองค์ทรงเชื่อ พระโพธิสัตว์ก็ได้แสดงธรรมจนจบสิ้นแล้ว” พระอาจารย์ตอบ

ข้อคิดดีดี

เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่า ธรรมแท้จริงแล้ว มีทั้งปฎิหารและไม่มีปฎิหาร
บางคนไม่เคยเจอเจ้าแม่กวนอิมเลย ไม่รู้จักด้วยซ้า
บางคน เห็นแต่รูปภาพ และรูปปั้น
บางคน แค่ได้ยินเขาเล่าต่อๆกันมา
บางคน ได้ยินจากพ่อแม่ พี่น้อง หรือเพื่อนๆ ที่เจอปฎิหารเล่าให้ฟัง
บางคน ฝันเห็นเจ้าแม่กวนอิมครั้งเดียว
บางคน ฝันเห็น 3 คืนติดต่อกัน
บางคน เห็นเจ้าแม่กวนอิมแบบเคลิ้มๆ
บางคน เห็นเจ้าแม่กวนอิมจริงๆ จัง
บางคน เห็นแล้วยังได้ลาภ ได้เงินทอง หรือสมความปราถนา

แต่...ไม่ว่าอาวุโสท่านจะรู้จักหรือไม่รู้จัก หรือเคยฝันเห็น หรือ เห็นมาโปรดต่อหน้าต่อตา ก็ตาม
ทุกอย่าง.....อยู่ที่ตัวท่านเอง จะเชื่อมั่นมั้ยว่าเป็นพระองค์มาโปรดจริงๆ

ถ้าท่านเชื่อ และศรัทธา ภายภาคหน้าท่านก็จะเจริญรอยตามแบบ
หากท่านไม่เชื่อท่านก็ต้องเป็นไปตามเวรตามกรรมของท่านแล้วหล่ะ

ไม่เฉพาะพระโพธิสัตว์กวนอิมเท่านั้นนะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีมากมายนับไม่ถ้วน...

คำสอนของปรมาจารย์ตั้กม๊อ


ท่านโพธิธรรมตั้กม๊อ เกิดในวรรณะพราหมณ์เป็นชาวอินเดีย เป็นสังฆนายกของนิกายเซนองค์ที่ 28

ของนิกายเซน (องค์แรกคือพระมหากัสสปะ องค์ที่สองคือพระอานนท์) แต่ชาวจีนนับท่านเป็นองค์แรก

ของนิกายเซนของจีน ท่านอยู่ที่เมืองจีนประมาณ 50 กว่าปี

จากคัมภีร์เล่มหนึ่งท่านกล่าวว่า ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมได้ดี จะต้องมีความศรัทธาและเชื่อมั่นก่อน ถึงจะเข้าถึงธรรมได้ดี

ส่วนการนั่งสมาธินั่งนั้น เมื่อนั่งจนสงบนิ่งเหมือนไม่มีลมหายใจ จิตหยุดกระเพื่อม

ความรู้สึกไม่รับผัสสะที่มาจากภายนอกทั้งหมด จิตแน่วแน่และมั่นคงดั่งหินผา จะสามารถเข้าสู่ทางเดินแห่งการรู้แจ้งได้

ส่วนการดำเนินจิตในชีวิตประจำวัน จะต้องเข้าถึงหลักดังนี้

1. กฏแห่งกรรม เมื่อพบความทุกข์ใดๆ ก็ต้องสำนึกว่า ความทุกข์และความเจ็บปวดเป็นผลกรรมจาก

การกระทำในชาติก่อน เพราะเหตุนี้จึงไม่ควรหลงโกรธโทษฟ้าดิน ยอมรับผลกรรม โดยไม่โอดครวญและหลงโทษสิ่งใดๆ

2. ไปตามครรลองของธรรมชาติ แม้ว่าทุกอย่างจะเกิดจากเหตุ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม แต่ทุกสิ่งก็เป็นอนัตตา

ทุกข์สุขความเป็นไปของชีวิต เกิดจากกรรมภายในภายนอก เป็นตัวกำหนด ยามเมื่อมีเงินทองเกียรติยศชื่อเสียง

พึงสำเหนียกว่า เป็นผลจาการกระทำในอดีต แต่เมื่อเสวยผลบุญจนสิ้นสุด ก็จะกลายเป็นไม่มี

ได้หรือเสียเป็นไปตามกรรม จิตไม่มีเพิ่มหรือลด ดีมาก็ไม่กระเพื่อมเป็นไปตามครรลอง

3. ไม่แสวงหาสิ่งใดๆ คนในโลกนี้ล้วนแต่มีความโลภ คนมีปัญญาถึงจะเข้าใจถึงความเป็นจริง

นึกถึงเมื่อวนเวียนอยู่ในสามโลกอันยาวนาน นึกถึงความทุกข์ของการมีกายมีการแสวงหา

เมื่อมาถึงการรู้แจ้งถึงการแสวงหาสิ่งเหล่านี้ จิตก็จะหยุดดิ้นรน ก็จะเข้าถึงมรรคที่แท้จริงได้

4. บำเพ็ญตนใน 6 สิ่งนี้คือ ทำทาน รักษาศีล อดทน ใฝ่ก้าวหน้า จิตสงบ เดินทางสายกลางและสุญตา

ไม่พึ่งพิงตัวอักษร

มีอำมาตย์ท่านหนึ่งในราชวงศ์ถัง นอกจากเป็นผู้มีชื่อเสียงแล้ว ยังปฏิบัติธรรมในแนวนิกายเซน

ท่านสนใจและชอบค้นคว้าเรื่องราวเกี่ยวกับนิกายเซน และยังชอบจดบันทึกเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของตัวเองไว้ แล้วรวบรวมทำเป็นเล่ม

วันหนึ่ง ท่านนำหนังสือที่รวบรวมไว้ไปให้ท่านฮวงโป อย่างนอบน้อม เพื่อขอคำชี้แนะจากท่านฮวงโป

ไม่นึกว่าท่านฮวงโปเมื่อรับไปแล้วโยนไปไว้บนโต๊ะอย่างไม่ไยดี ท่านอำมาตย์รู้สึกกระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก

พลางนึกว่าท่าน ฮวงโปคงจะตำหนิที่ไม่ได้นำอะไรติดมือมาด้วย

ขณะที่กำลังเอ่ยปากจะพูด ท่านฮวงโปก็บอกว่า “เจ้าเข้าใจความหมายที่ทำหรือเปล่า” “ไม่เข้าใจ”

ท่านอำมาตย์ตอบ ท่านฮวงโปพูดต่อว่า “เซนเป็นการสืบทอดนอกขอบข่ายของศาสนา ไม่พึ่งพิงตัวอักษร

แล้วเจ้าทำไมถึงนำหลักธรรม มาทำเป็นตัวอักษร เป็นหนังสือ นี่ไม่ใช่เป็นการทำลายหลักธรรมอันแท้จริงหรอกหรือ”

ท่านฮวงโปเป็นคนเปิดเผย พูดจาตรงไปตรงมา ท่านสูง 7 ฟุต มีเม็ดเนื้อเป็นก้อนกลมๆเหมือนไข่มุกงอกติดอยู่ที่หน้าผาก

 

ขอบคุณ..http://www.chongter.com/webboard/index.php?topic=3530.15


รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ท่านฮวงโปกับมารดา

ท่านฮวงโปกับมารดา


ท่านฮวงโปหลังที่ออกบวชแล้ว ก็คิดว่าจำเป็นต้องละจาก
ความผูกพันทางโลก จนสามารถเข้าถึงธรรมได้ ถึงจะเป็น
การตอบแทนคุณบิดามารดาที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้หลังจากที่บวช
ผ่านไปนานถึงสามสิบพรรษา ก็ยังไม่เคยได้กลับไปบ้านเกิด
เพื่อเยี่ยมเยือนบิดามารดาและญาติมิตรเลย

ครั้งหนึ่งเมื่อท่านอายุได้ห้าสิบปี ขณะเมื่อธุดงค์ผ่านไปที่ที่หนึ่ง
บังเอิญต้องผ่านไปในหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดโดยไม่รู้ตัว

มารดาของท่านฮวงโปชราภาพมากแล้ว แล้วยังตาบอด
ด้วยความคิดถึงบุตรชาย หลายปีที่ผ่านไป นางสร้างศาลา
ที่พักริมทาง ให้ภิกษุที่ธุดงค์ผ่านไปมาได้แวะพักและดื่มน้ำชา
และนางมักจะนิมนต์พระท่านแวะไปที่บ้าน เพื่อล้างเท้าให้
เป็นการแสดงความนับถือและศรัทธาตามความนิยมของผู้คน
ในยุคนั้น และมีอีกสาเหตุหนึ่งที่นางมักหวังเสมอว่าจะได้
เจอพระลูกชาย เพราะที่เท้าข้างซ้ายของท่านฮวงโปมีไฝเม็ดใหญ่
เมื่อล้างเท้าให้ แม้นางจะตาบอด ก็จะได้รู้ว่า คนไหนคือลูกชาย

ในวันนั้นท่านฮวงโปก็รับนิมนต์ไปที่บ้าน ขณะที่ท่านรับการล้าง
เท้าจากผู้เป็นมารดา ท่านฮวงโปได้เทศน์เรื่องราวการออกบวช
ของพระพุทธองค์ เพื่อหวังว่ามารดาจะจะได้เข้าใจถึงหลักธรรม
และจิตใจจะได้สงบลง ท่านฮวงโปยื่นแต่เท้าขวาให้มารดาล้าง

เทื่อท่านฮวงโปจากไป เพื่อนบ้านอดไม่ได้ที่จะบอกมารดาของเขา
ว่า เมื่อสักครู่ที่เทศน์เรื่องราวของพระพุทธองค์นั้นคือ
พระลูกชายที่นางเฝ้าคอยหาอยู่ทุกวันนั้นเอง

เมื่อนางได้ยินดังนั้น จึงวิ่งตามออกไปที่ท่าน้ำ แต่เรือได้ออกจาก
ท่าไปแล้ว ด้วยความที่เร่งรีบทำให้นางพลัดตกลงไปในน้ำ
แล้วจมหายไปต่อหน้าต่อตาท่านฮวงโป

ท่านฮวงโปเศร้าโศกเสียใจมากพูดขึ้นว่า
ลูกชายบ้านไหนออกบวช ขึ้นสวรรค์เก้าชั่วโคตร
หากไม่ขึ้นสวรรค์ พระท่านกล่าวมดเท็จ

ความกตัญญูมีสามแบบ
1 ความกตัญญูเล็กน้อย คือการเลี้ยงดูบิดามารดา
2 ความกตัญญูอย่างกลาง คือสร้างเกียรติยศชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล
3 ความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ ยกระดับจิตวิญญาณให้กับบุพการี

ที่มา จากอินเตอร์เน็ต

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mingxing&month=05-2007&date=19&group=3&gblog=8

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

คำสอน ฮวงโป

คำสอน ฮวงโป

จิต ล้วนๆ นี้ ซึ่งเป็นที่กำเนิดของสิ่งทุกสิ่ง ย่อมส่องแสงอยู่ตลอดกาล และส่องความสว่างจ้าแห่งความสมบูรณ์ของมันเองลงบนสิ่งทั้งปวง แต่ชาวโลกไม่ประสีประสาลืมตาต่อมัน ไปมัวเข้าใจเอาแต่สิ่งซึ่งทำหน้าที่ดู ทำหน้าที่ฟัง ทำหน้าที่รู้สึก และทำหน้าที่คิด ว่านั่นแหละคือ จิต เขาเหล่านั้นถูกการดู การฟัง การรู้สึก และการนึกคิดของเขาเอง ทำเขาให้ตาบอด เขาไม่รู้สึกต่อแสงอันสว่างจ้าของสิ่งซึ่งเป็นต้นกำเนิดทางฝ่ายจิต.

         วิธีการตั้งแปดหมื่นสี่พันวิธี สำหรับต่อสู้กับสิ่งซึ่งเป็นมายาหลอกลวงจำนวนแปดหมื่นสี่พันอย่างนั้น เป็นเพียงคำพูดอย่างบุคคลาธิษฐาน เพื่อชักชวนคนให้มาสู่ ประตู นี้เท่านั้น

ตามทีจริงแล้ว ไม่มีสักอย่างเดียว ที่มีอยู่จริง การสลัดสิ่งทุกๆ สิ่งออกไปเสีย นั่นแหละ คือ ตัวธรรม ผู้ซึ่งเข้าใจความจริง ข้อนี้ นั่นแหละ คือ พุทธะ แต่การสลัดสิ่งที่เป็นมายา ทุกสิ่ง ออกไปเสียนั้นต้องไม่เหลือธรรมะอะไรๆ ไว้ให้ยึดถือกันอีกจริงๆ 

         สมมติว่าพวกเธอเอาเพรช พลอยจำนวนนับไม่ถ้วน ไปประดับเข้าที่ความว่าง จงคิดดูเถิดว่า มันจะติดอยู่ที่นั่นได้อย่างไร? ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ นั้น เป็นเหมือนกับความว่าง แม้เธอจะประดับมันด้วยบุญกุศลและปัญญา อันมากมายจนประมาณมิได้   ก็จงคิดดูเถิดว่า สิ่งเหล่านั้นจะติดอยู่ที่ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นได้อย่างไร?   บุญและปัญญาชนิดนั้น ก็รังแต่จะปิดคลุมธรรมชาติดั้งเดิมของ พุทธภาวะ เสีย และทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้  เสียเท่านั้น

         ถ้าคนธรรมดาสามัญคนหนึ่ง เมื่อเขาร่อแร่จวนจะตาย หากว่าเขาสามารถเพียงแต่เห็นว่ามูลธาตุทั้งห้า ซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นวิญญาณนั้นเป็นของว่างเปล่า และเห็นว่ามูลธาตุทางรูปกายนั้น ไม่ใช่สิ่งซึ่งประกอบขึ้นเป็นตัว “ข้าพเจ้า”  และเห็นว่า จิต จริงแท้นั้นไม่มีรูปร่าง และไม่ใช่สิ่งที่มีการมาหรือการไป และเห็นว่าธรรมชาติเดิมแท้ของเขานั้น เป็นสิ่งๆ หนึ่ง ซึ่งมิได้มีการตั้งต้นขึ้นที่การเกิด  หรือมิได้มีการสิ้นสุดลงที่การตายของเขา แต่เป็นของสิ่งเดียวรวด และปราศจากการเคลื่อนไหวใดๆ ในส่วนลึกจริงๆ ของมันทั้งหมด และว่า จิต ของเขา กับสิ่งต่างๆ ซึ่งแวดล้อมเขาอยู่นั้น เป็นสิ่งๆ เดียวกัน ถ้าเขาสามารถทำได้ตามนี้จริงๆ เขาจะลุถึงการรู้แจ้งได้โดยแว็บเดียว ในขณะนั้น.

         เมื่อทุกๆ สิ่งทั้งภายในและภายนอก ทั้งรูปธรรมและนามธรรมถูกเพิกถอนแล้ว

เมื่อความยึดมั่นต่างๆ ไม่มีเหลืออยู่ เช่นเดียวกันกับใน ความว่าง เมื่อการกระทำทั้งหมด
เป็นไปตามควรแก่สถานที่และสิ่งแวดล้อมล้วนๆ (ไม่มีกิเลสเจือปน) และเมื่อความรู้สึกว่ามีตัวตนในฐานะเป็นผู้กระทำ และความรู้สึกว่ามีตัวตนในฐานะเป็นผู้ถูกกระทำนั้นถูกเลิกล้างไปหมดแล้ว นั้นคือวิธีแห่งการเพิกถอนชนิดสูงสุด

         ถ้าพวกเธอเพียงแต่หยุดปล่อยตนไปตามความคิดที่ทำให้เกิดของเป็นคู่ตรงกันข้ามเช่น “อย่างธรรมดา” กับ “อย่างตรัสรู้แล้ว” เสียเท่านั้น มายาก็จะสิ้นสุดลงไปได้เองทันที

         เนื่องจาก จิต คือ พุทธะ วิธีฉลาดเพื่อลุถึงสิ่งๆ นี้ ก็คือ การเพาะให้ พุทธะ-จิต นั้น ผลิออกมาให้เห็นเท่านั้นเอง เพียงแต่เธอทำมันให้ว่างจากความคิดปรุงแต่งต่างๆ ซึ่งล้วนแต่นำไปสู่การเกิดและการดับอยู่ตลอดกาล  และนำไปสู่ความทุกข์เดือดร้อนใจของสัตว์โลกและโลกอื่นๆ เพื่อให้สิ้นเชิงเท่านั้น   พวกเธอก็จะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีวิธีปฏิบัติเพื่อการตรัสรู้และอะไรทำนองนั้น นานาชนิดเลย

         วิธีที่จะเข้าถึง จิตหนึ่ง นี้ให้ได้จริงๆ นั้นเรียกว่า ปากทางแห่ง ความนิ่งเงียบ เหนือกรรมทั้งปวง  ถ้าพวกเธออยากจะเข้าใจก็จงรู้ไว้ว่าความรู้ประจักษ์ต่อสิ่งๆ นี้ โดยฉับพลันนั้น จะมีมาต่อเมื่อจิตถูกชำระชะล้างแล้วอย่างสิ้นเชิง  จากใยยุ่งของมโนกรรมที่เป็นความคิดปรุงแต่ง และที่แบ่งแยกสิ่งทั้งปวงเป็นพวกๆ คู่ๆ ตามแบบคติทวินิยม เท่านั้น   พวกที่แสวงหาสัจจธรรมนี้ โดยวิธีของการใช้สติปัญญาและการศึกษานั้น มีแต่จะถอยห่างออกไปจากมันทุกทีๆ เท่านั้นเอง

         จนกว่าเมื่อไร ความคิดของเธอหยุดแตกกิ่งแตกก้านทางโน้นทางนี้เสียทุกๆ ทางจนกว่าเมื่อไร พวกเธอจะสลัดความคิดในการแสวงหาอะไรบางอย่าง เสียได้ทุกๆ ทาง และจนกว่าเมื่อไร จิตของพวกเธอจะหยุด การเคลื่อนไหว เสียราวกะว่า มันเป็นท่อนไม้หรือก้อนหิน   เท่านั้นที่พวกเธอจะเดินถูกทาง ไปสู่ ปากประตูที่กล่าวนั้นได้ 


         โดยการคิดถึงอะไรบางอย่าง เธอย่อมสร้างความมีอยู่ (ของตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่ง) ขึ้นมาอย่างหนึ่ง  และโดยการคิดถึงความไม่มีอะไร เธอย่อมสร้างความมีอยู่ (ของความไม่มีอะไร) ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง ขอให้การคิดในทำนองที่ผิดๆ เช่นนี้ จงสูญสิ้นไปโดยเด็ดขาดเถิด แล้วก็จะไม่มีอะไรเหลืออยู่ ให้เธอเที่ยวแสวงหาอีกต่อไป !

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ท่านฮวงโปกับการทำวัตรเช้า-เย็น

ท่านฮวงโปกับการทำวัตรเช้า-เย็น

สมเณรรูปหนึ่งเป็นโอรสของฮ่องเต้พระองค์หนึ่งเนื่องจากเกิดการแย่งชิงราชสมบัติในราชสำนักจึงแอบหนีออกมาบวชในวัดกลางป่าที่ท่านฮวงโปดูแลอยู่สามเณรรูปนั้นเห็นท่านฮวงโปสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็น

จึงถามท่านฮวงโปว่า

ปกติก็เห็นท่านมักจะเทศน์สั่งสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นไม่ให้ยึดติดใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้วทำไมท่านถึงสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ทั้งคุกเข่า

ทั้งกราบไหว้ ค้อมหัวคำนับ แลดูวุ่นวายไปหมด

เพราะเคารพจึงกราบไหว้ สถานที่นี้มีพิธีการอย่างนี้มาช้านาน

ข้าไม่ได้วิงวอนร้องขออะไรท่านฮวงโปตอบ

สามเณรน้อยถามต่อว่า ท่านเคารพจึงกราบไหว้ ท่านยังมีตัว

เคารพอยู่ แล้วท่านก็ยังยึดติดอยู่กับรูปลักษณ์คือการไหว้

ท่านฮวงโปอธิบายต่อว่า การปฏิบัติธรรมด้วยการทำวัตรเช้าเย็นมีจุดมุ่งหมาย 7 ประการ1 ทำเพื่อละลดความเย่อหยิ่ง2 ทำเพื่อลดละการแสวงหายศ3 ทำเพื่อรวมกายและจิตให้สงบเป็นหนึ่งเดียว4 ทำเพื่อให้เกิดปัญญาสะอาดสว่างและสงบ5 ทำเพื่อให้เข้าถึงหลักธรรม6 ทำเพื่อให้เกิดสัมมาทิฐิ

7 ทำเพื่อมองให้เห็นหลักความเป็นจริงและเดินทางสายกลาง

และเจ้าเมื่อเห็นผู้อื่นประกอบกุศลกรรมก็ควรจะร่วมยินดี

และศรัทธา เรียกว่า การอนุโมทนาจิต

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mingxing&month=05-2007&date=24&group=3&gblog=12

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ครูบาฮวงโป

หลักธรรมของครูบาฮวงโปเป็นหลักธรรมที่เฉียบขาด และประทับใจ

คำสอนของฮวงโป

 เรื่อง คำสอนของฮวงโป
แปล พุทธทาส

เราสามารถอ่านฮวงโปได้ในฐานะเป็นปรากฏการณ์อย่างแรงที่กระโจนเข้าสู่เราเพื่อปัดเป่าความรกเรื้อต่างๆ เกี่ยวกับการคงอยู่ของจิต วิธีของมัน รวมถึงคติต่างๆ เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติทางจิต –ซึ่งล้วนแต่น่าเคลือบแคลง และปราศจากศิลปะ, คำสอนของฮวงโป ไม่ได้เพิ่มอะไรให้กับผู้อ่านเลย ทว่ามันเต็มไปด้วยท่าทีที่ –หากเขาแบกสัมภาระอย่างหนักเพื่อมาอ่านมันแล้ว เขาก็จะยากทนต่อมันเลยทีเดียว, นี่จึงเป็นศาสนาที่บางเฉียบ และยังคงสดใหม่ และข้าพเจ้ายังคงรู้สึกสะอาด –ตื่นตัวราวกับถ้อยความทั้งหมดของเขามีไว้แต่เพียงเพื่อถอยกลับไปสู่ความไร้ถ้อยคำโดยสิ้นเชิง –ซึ่งนั่นเป็นสภาพที่บุคคลผู้มีญาณทัศนะเกี่ยวกับมิติที่ว่าง –ปัจจุบันกาลขณะ จะรู้สึกได้ว่ามันมีเหตุผลชนิดเฉียบพลันและเป็นศิลปะอย่างที่สุด, ไร้ความรกเรื้อและปรุงแต่ง และอะไรๆ ที่จะฉุดบุคคลให้ไปอยู่ใน “ความจำกัด” ของความรู้, มันจึงกลมกลืนกับความเงียบกริบของธรรมชาติอย่างที่สุด

“ความฉับพลัน” ของเขาไม่ได้ถูกใช้ในฐานะที่เป็นวิธีการหรือเป็นคติหนึ่ง หรือสำนักใดหนึ่ง แต่มันมาจากความถึงแล้วที่ว่า ในสภาพ ณ ขณะใดๆ ก็ตามของเอกภพนั้น เป็นเส้นบางเฉียบที่ไม่จำเป็นต้องใช้ “ความเป็นเวลา” ในการเดินทาง –และเวลากลับทำให้มันทื่อและแปลกแยกกับเอกภพขณะมากขึ้น, ข้าพเจ้ารู้สึกทีเดียวว่าเขายังคงล้นไหลลงมาจากภูเขาอยู่เสมอ และมันทำให้ศาสนาในฐานะที่เป็นองค์หนึ่งในปัจจุบันนี้ –และของเล่นต่างๆ ของพวกสาวกทั้งหลาย กลายเป็นของเด็กๆ ไปเลยทีเดียว

ขอบคุณ: http://picass.wordpress.com/2007/11/05/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AE%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%9B/

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

พุทธทาสกับมหายาน (เซ็น)

บทความ.

พุทธทาสกับมหายาน (เซ็น)

สัมภาษณ์ ธีรทาส
ตีพิมพ์บางส่วนใน เสขิยธรรม ปีที่ ๓ ฉบับที่ ๑๘ เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๓๖
ภาคสมบูรณ์ ตีพิมพ์ที่ สารสยาม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๘, ๑๕ สิงหาคม ๒๕๔๓
ขอบคุณ เว็บไซต์เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย (ธรรมานุรักษ์)

"ธีรทาส" หรือคุณธีระ วงศ์โพธิ์พระ เจ้าของงาน ศิษย์โง่ไปเรียนเซ็น เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดพิมพ์เผยแพร่ผลงานของปราชญ์มหายานท่านสำคัญ ๆ ของเมืองไทย และรู้จักมักคุ้นกับท่านพุทธทาสเป็นอย่างดีในแง่การศึกษาทางมหายานวิทยา ปัจจุบัน "ธีรทาส" ปักหลักใช้โรงเจแห่งหนึ่งย่าน คลองเตยเพื่อเผยแพร่ธรรม

 

อาจารย์ได้คุยกับท่านพุทธทาสเรื่องเซ็น เรื่องมหายานอย่างไรบ้าง

          ผมพบท่านพุทธทาสที่เชียงใหม่ เมื่ออายุ ๒๓-๒๔ และที่กรุงเทพฯ ตอนนั้นท่านมาอบรมผู้พิพากษาที่กรุงเทพฯ ทุกปี มาทีหนึ่งก็เดือนหรือเดือนกว่า ผมติดตามบริการท่าน

          ตอนพบท่านท่านก็ดีใจ ผมบอกท่านว่า สูตรของเว่ยหล่าง ที่ท่านอาจารย์แปล เตี่ยสอนผมตั้งแต่อายุ ๘-๙ ขวบแล้ว ท่านก็แปลกใจ "๘-๙ ขวบ เตี่ยสอน สอนยังไง" ผมก็ท่องโศลก "กายคือต้นโพธิ์ ใจคือกระจกเงาใส..." ให้ฟัง ท่านก็ถามต่อว่า "ทำไมเมืองไทยรู้เรื่องเซ็นตั้งแต่โน่นเหรอ" ผมบอก "ใช่ เขามาก่อนเตี่ยผมแล้ว อาจารย์ ที่มาแล้วสอนไม่ได้ ไม่อาจถ่ายทอดเป็นภาษาไทย เพราะพูดจีนกลาง ตอนนั้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ตอนปลาย จีนกลางใช้ไม่ได้ รวมทั้งแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน" มีพระอาจารย์เซ็นมาจากเมืองจีน ๓ องค์ ยังค้นชื่อที่แน่ชัดไม่พบ แต่พอจะได้หลักฐานเค้ามูลบ้างแล้ว พวกนี้มาถึงก็ปลงสังขารตกว่า ถ้าสอนได้ก็สอน สอนไม่ได้ก็เอาตัวรอดดับขันธ์ไป ไม่กลับเมืองจีน นี่รุ่นเก่าๆ บอกต่อๆ มาว่า อาจารย์ ๓ องค์หายไปในเมืองไทยได้อย่างไร

          ๑. รูปหนึ่งไปนั่งดับแห้งตายอยู่ในถ้ำเขาน้อย ท่าม่วง (กาญจนบุรี) พี่สาวผมทันเห็นองค์นี้ตอนอายุ ๙ ขวบ ช่วงนั้นฝนไม่ตกมา ๓-๔ ปี ชาวบ้านหาว่าหลวงพ่อแห้งที่อยู่บนถ้ำ ทำให้ฝนไม่ตก จึงอัญเชิญมาเข้ากองฟืนซะ แต่ศพไม่เน่า เพราะเซ็นเก่งเรื่องนี้ เขามีสูตรวิธีทำได้ แต่พวกฉันไม่กล้าแปล เพราะกลัวคนฆ่าตัวตาย

          ๒. หลวงพ่อกวงโพธิ์ อยู่ในถ้ำเมืองกาญจน์ มีพระธุดงค์มาเล่าให้ฟังว่า ธุดงค์เข้าไปในแดนกะเหรี่ยง มีกะเหรี่ยงที่พูดภาษาไทยได้บอกว่า มีถ้ำแปลก เขาบอกว่าคนนั่งตาย นอนตาย ตัวแห้งแข็ง พระท่านก็สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร เข้าไปแล้วไม่ออก (เรื่องนี้ ในฝ่ายเซ็นมีคำว่า "ป่าช้าเซ็น" เข้าไปแล้วไม่ออก หมายถึงตั้งใจเข้าไปตาย) ท่านก็เลยให้กะเหรี่ยงคนนั้นพาไป และถ่ายรูปหลวงพ่อกวงโพธิ์ออกมาได้ ศพนั่งแห้งจนนึกว่าปั้น แทบไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ทำให้พอจะจับเค้าได้ว่า สมัยก่อนพระมหายานมาเมืองไทย ก็จะเข้าเมืองกาญจน์หมด

          ๓. อีกองค์หนึ่ง มีเชื้อพระวงศ์ชื่ออะไรก็จำไม่ได้ บอกว่า ปู่ของเขาแล่นเรือออกไปทางสมุทรปราการ ยิงนก ตกปลาเล่น พอ ลองเอากล้องส่องทางไกล ไปเจอพระนั่งนิ่งอยู่ไกลๆ อีก ๕ วันกลับมา ก็ยังเห็นพระนั่งอยู่อย่างนั้น จึงแวะไปดู สืบรู้ว่าเป็นพระมาจากเมืองจีน ท่านบอกว่าตั้งใจจะลาโลกแล้ว เพราะเจตนาจะมาสอนธรรมในเมืองไทย แต่ไปไม่รอด เพราะติดเรื่องภาษา เจ้าองค์นั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วบอกว่าจะหาช่วยวิธีถ่ายทอดธรรมะให้ แต่อยู่ได้ไม่ถึง ๒ อาทิตย์ ท่านก็บอกว่าอยากจะกลับที่เดิม ไม่ช้าพระรูปนั้นก็มรณภาพไปนี่เป็น ๓ องค์ที่ได้เค้าว่าเป็นพระเซ็นแน่ๆ

 

ท่านพุทธทาสรับฟังแล้วว่าอย่างไรบ้าง

         ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่า เตี่ยผมเรียนเซ็น สายอุบาสกมาจากเมืองจีน มาเมืองไทย ก็ไม่อาจถ่ายทอดหนังสือที่หอบมาด้วยได้ เพราะ ว่าหนังสือรุนแรงเกินไป สภาพการณ์ทั่วไปยังรับไม่ได้ คุณเสถียร โพธินันทะ ยังมองเลยว่ายุคนั้นยังรับไม่ได้ เพราะถือเป็นของต่างด้าว มาอยู่ในสมาคมต่างด้าว เอาออกไปไม่ได้ เลยรอกาลเวลาเป็นขั้นตอน

          เมื่อท่านแปล สูตรของเว่ยหล่าง แล้วก็มา แปล คำสอนฮวงโป พอแปลเสร็จ เมื่ออบรมผู้พิพากษาก็เอามาด้วย มาหาหมอตัน ม่อ เซี้ยง ตรวจภาษาจีนทุกตัวอักษร ๑ เดือนเต็ม ทุกๆ คืนจากสี่ทุ่มถึงตีหนึ่ง ฉัน ๓ คน คือหมอตัน ม่อ เซี้ยง เจ้าคุณพุทธทาส และฉัน จะมาตรวจทุกตัวอักษร หมอตัน ม่อ เซี้ยง อ่านก่อนแล้วแปล เจ้าคุณฯ ก็เอามาเทียบ ฮวงโป จึงแปลได้ดีที่สุด ใกล้ภาษาจีนที่สุด เทียบตรวจกันอยู่เดือนกว่าๆ จึงเสร็จ กลางวันท่านอบรมผู้พิพากษา กลางคืนมาที่วัดปทุมคงคา นี้เป็นความจริง แต่ตอนนั้นไม่ได้เอ่ยถึงชื่อหมอตัน ม่อ เซี้ยง ฉันมาจัดพิมพ์ถึงได้จารึกไว้ ส่วนต้นฉบับ ฮวงโป หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ (สวัสดิวัตน์) เอาไปให้เจ้าคุณฯ แล้วหมอตัน ม่อ เซี้ยง แปลเป็นภาษาไทยให้เจ้าคุณฯฟัง ท่านก็ยังฉงน ผม ก็แก้ไขเพิ่มเติมบางอย่างว่าอย่างนี้ๆ เจ้าคุณฯ ก็งงว่า "ธีระรู้ได้อย่างไร" ผมบอก "เตี่ยผม อธิบายให้ฟังตั้งแต่เก้าขวบ สิบสองขวบ แต่ผมรู้แบบนกแก้วนกขุนทอง ท่องเป็นคาถากันผี ผู้ใหญ่เขาบอกแบบนั้น"

อาจารย์เคยได้ยินไหม ที่ท่านพุทธทาสพูดว่าทำไมถึงมาสนใจในเรื่องของเซ็น

         ท่านมองว่าปรัชญาขงจื๊อเป็นขั้นโลกีย์ ขงจื๊อเป็นโลกียปราชญ์ที่พระเจ้าแผ่นดินจีนทรงนับถือทุกยุคทุกสมัย ยังไม่มีนักปราชญ์คนใดในโลกนี้ ที่พระเจ้าแผ่นดินทุกราชวงศ์เอาหมด มองโกลเข้ามาก็เอา เราต้องยอมรับ ว่าท่านมีความเป็นอมตะ คำพูดนี้เป็นความจริง แสดงว่าขงจื๊อต้องมีอะไรดี ในขั้นโลกีย์ขงจื๊อปูฐานไว้ให้จีนดีมาก ส่วนภาคโลกุตตระ เต๋าเยี่ยม กึ่งๆโลกุตตระ ดูถูกไม่ได้ ท่านบอก อย่าดูถูก ท่านอบรมพระธรรมทูตแต่ละรุ่น ต้องเติมคำนี้ "คัมภีร์เต๋าเขาอย่าไปดูถูกนะ" ส่วนเซ็นนั้นมาทีหลัง

          ที่จริงเซ็นมาก่อนแล้วในสมัยราชวงศ์ฮั่น พระเจ้าฮั่นเม่งตี่ ต้นตระกูลสามก๊ก อัญเชิญพระไตรปิฎก แล้วสร้างวัดม้าขาวเมื่อสองพันปีเศษ เป็นประวัติศาสตร์ที่ยอมรับกัน อันนั้นก็มีเซ็นปรากฏอยู่แล้ว และพวกฉันยังเชื่อว่าพุทธศาสนาเข้าสู่เมืองจีนตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ไปแบบพระธุดงค์ไม่เป็นทางการ มีประวัติศาสตร์อ้างอิงอยู่ อย่างในประวัติศาสตร์จีนสมัยเลียดก๊ก "เศ็กเกียม่อนี้ฮุดโจ้ว" นี้คือศากยมุนี สมัยเลียดก๊กทำไมถึงรู้จัก แสดงว่าชาติใหญ่มีความสัมพันธ์กันมาแต่โบราณ (ศาสนาพุทธ) จึงไปแบบพระธุดงค์ ไม่เป็นทางการ พระเจ้าฮั่นเม่งตี่อัญเชิญ (พระคัมภีร์) มาแปล เป็นเรื่องทางการ

          จากฮั่นเม่งตี่อีก ๕๐๐-๖๐๐ ปี ถึงมีโพธิธรรม นำนิกายเซ็น เอาบาตร จีวรของพระพุทธเจ้า หนีสงครามใหญ่ที่เผาอินเดียทั้งหมด โดยอ้อมแหลมมลายูมาไว้เมืองจีน เพราะมองดูว่าอินเดียจะถูกภัยสงครามใหญ่แน่นอน [อาจารย์เสถียร (โพธินันทะ) บอกว่า สงครามครั้งนั้นเป็นสงครามอิสลาม แต่ภาษาจีนบอกแค่ว่า "สงครามใหญ่"]

          เจ้าคุณพุทธทาสท่านมองเห็นคุณค่าของมหายาน แต่หาคนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยไม่ได้ ท่านว่าได้พยายามบอกให้คนจีน ที่รู้ภาษาไทย (ให้ช่วย) เสร็จแล้วท่านไปเจอ สูตรของเว่ยหล่าง พระยาลัดพลีชลประคัลภ เอามาให้อ่าน (ฉบับภาษาอังกฤษ) อ่านดูก็ตกใจว่า "จีนมีของดี" แล้วมาเจอ คำสอนฮวงโป (ฉบับภาษาอังกฤษ) ยิ่งเชื่อมั่นใหญ่เลย

          ท่านบอกให้อาจารย์เสถียร บอกให้พวกผมพยายามแปลเป็นภาษาไทย เรายังไม่มีปัญญาเอาจีนมาเป็นไทย ต้องไปอาศัยมือฝรั่ง (หมายถึงหนังสือทั้งสองเล่มในภาษาไทย ท่านพุทธทาสถ่ายทอดมาจากฉบับภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง)

          เมื่อก่อนนี้คนไทยมักจะดูถูกพระจีนว่า เป็น "พระกงเต็ก" ทำพิธีกรรม เผากระดาษ งมงาย เสร็จแล้วพอ สูตรของเว่ยหล่าง ออกไป ปัญญาชนไม่กล้าดูถูก ของดีจีนเขามี เราไม่อาจจะเอื้อมถึง ปัญญาของสามก๊ก เลียดก๊ก เป็นโลกียปัญญาที่สุดยอด จีนเก่งปรัชญาโลกีย์อยู่แล้ว

ไม่ทราบว่า การที่ท่านพุทธทาสสนใจประวัติศาสตร์ของไชยา เป็นเหตุให้ท่าน สนใจมหายานหรือเปล่า อย่างการที่ท่าน สนใจเรื่องรูปปั้นพระอวโลกิเตศวร

         ใช่ ท่านอ่านจากหลักฐานภาษาอังกฤษ และมีระฆังใบหนึ่งขุดได้ที่ไชยา เดี๋ยวนี้ตัวจีนหายไปแล้ว เมื่อสี่สิบปีที่แล้ว ผมบอกอาจารย์ธรรมทาส (น้องชายท่านพุทธทาส) ว่า อย่าให้ระฆังตากฝน เสียดายตัวภาษาจีนว่า "ก๊ก ไถ่ มิ้ง อัง กวง เตี๊ยว โหว สุก" คำพูด นี้ผมเอามาให้หมอตัน ม่อ เซี้ยง ดู แกบอกว่า ระฆังนี้ต้องเป็นกษัตริย์พระราชทาน แต่เดี๋ยวนี้หนังสือจีนหายหมดแล้ว เพราะตากน้ำฝน ฉะนั้น กรุงศรีวิชัยจึงมีความสัมพันธ์กับจีน อันนี้คงเป็นเรื่องที่เร้าอารมณ์ท่านให้ศึกษาเรื่องมหายาน ท่านพุทธทาสมองว่ามหายานต่างจากเซ็นอย่างไร

         ท่านมองว่ามหายานทั้งหมดเป็นเรื่องงมงาย เป็นเทวนิยม ของผมนี่ก็เทวนิยมนะ แล้วปัจจุบันร้อยละ ๙๐ ในเมืองไทยก็เทวนิยม บวงสรวง กราบไหว้วิงวอน ขอโชคลาภ เจ้าคุณฯ ท่านมองว่าทั่วๆ ไปในมหายานเป็นเทวนิยม ยังมิใช่อเทวนิยม ไม่ใช่พุทธศาสนาจริงๆ เจ้าชายสิทธัตถะประสูติในดงเทวนิยมทั้งหมด บวงสรวง ฆ่าสัตว์ บูชายัญ กระทั่งฆ่าคน เสร็จแล้วท่านมองทะลุด้วยปัญญาที่เหนือเขา จึงเห็นว่านั่นขาดหลักวิชาการ งมงาย (ถือ) อารมณ์เกินกว่าเหตุผล ระยะยาว จะไปไม่รอด จึงหนีออกบวช ก็ไปตรัสรู้หลักธรรม อเทวนิยม อนัตตานิยม กรรมนิยม นิพพานนิยม อันนี้กำมือเดียว ฟังได้ทุกคน แต่ปฏิบัติทันทีไม่ได้หมดนะ เคยมีคนกล่าวเป็นโศลกเปรียบเทียบไว้ว่า คน ศึกษาธรรมมีมากเท่าขนสัตว์ แต่ที่บรรลุธรรมมีจำนวนแค่เขาสัตว์เท่านั้น           แล้วท่านพุทธทาสชอบเจออาจารย์เสถียร โพธินันทะ เจอพวกผมทีไรมักจะถามทุกที เจออาจารย์เสถียรยิ่งชอบ ชอบถามเรื่องพระสูตร สรุปแล้วพุทธศาสนาของจีนที่บริสุทธิ์จริงๆ คือ มหาสุญญตาสูตร ชื่อเต็มๆ คือ มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ๖๐๐ ผูก พระถังซำจั๋งแปลไว้เป็นภาษาจีน พุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม เป็นอเทวนิยมตาม มหาสุญญตาสูตร

          ตอนแรก กษัตริย์หลี ซี หมิน (ถังไท่จง) ไม่สนพระทัย เพราะมองว่า จีนมีศาสนาขงจื๊อ เต๋า อยู่แล้ว ถ้าไปเพิ่มอีกจะปกครองยาก อีกเรื่องคือ พระองค์มองพุทธศาสนาผิดไป นึกว่าเป็นเทวนิยม เหมือนขงจื๊อ เหมือนเต๋า พระถังซัมจั๋งจับจุดได้ จึงทูลว่า พระอรหันต์ไม่เหมือนกับเต๋า เพราะเหนือบุญเหนือบาป ดับกิเลสตัณหาอุปาทานได้ ดังนั้น พุทธศาสนาจึงไม่ใช่เทวนิยม เป็น อเทวนิยม อันนี้เป็นประวัติศาสตร์

แล้วที่ท่านพุทธทาสบอกว่า "เซ็นเป็นผู้ล้อมหายานเป็นผู้คัดค้านมหายาน"

         จริง อันนี้จริง คำพูดของเซ็นแทบทั้งหมด (ขอโทษเถอะ) เปรียบเทียบก็แบบทุบหม้อข้าว คือจะโจมตีพิธีกรรมที่งมงายจนเกินไป โจมตีการเอาหลักธรรมมาปฏิบัติอย่างไม่ถูกทาง เรื่องเทวนิยมก็ไม่พ้นจะหาเงิน แสวงลาภผล เพื่อปากเพื่อท้อง เทวนิยมที่สุดก็มาลงเอยที่วัตถุนิยม โลกเราที่ฆ่ากันทุกวันนี้ก็เพราะแย่งวัตถุนะ โบราณก็แย่งกัน จึงไปตรัสรู้ อเทวนิยม อนัตตานิยม สุญญตานิยม กรรมนิยม นิพพานนิยม

นอกจาก สูตรของเว่ยหล่าง และ คำสอนฮวงโป แล้ว ท่านเอาอะไรจากมหายานอีกบ้าง

         ส่วนใหญ่เป็นประเภทเรื่องข้างเคียงเจ้าคุณฯมักจะจดหัวข้อสำคัญๆที่สนใจมาถาม เช่น เคยถามหมอตัน ม่อ เซี้ยง อาจารย์เสถียร ว่าฝรั่งอ้างอย่างนี้ถูกหรือเปล่า คัมภีร์นั้นมีอะไรบ้าง ว่าพระไตรปิฎกจีนมีหรือไม่ อย่างนี้เป็นต้น แล้ว มหาสุญญตาสูตร เป็นแค่ผูกหนึ่งใน มหาปรัชญาปารมิตาสูตร ตอนนั้น ฉันลาออกจากงานประจำ จะมาตั้งกองแปล มหาปรัชญาปารมิตาสูตร เอาอย่าง กษัตริย์หลี ซี หมิน ซึ่งจำนนต่อพระถังซำจั๋ง จนตั้งกองแปลพระสูตรนี้ทั้ง ๖๐๐ ผูก โดยให้ทุนหลวง และใช้พระนักปราชญ์จีนถึง ๑,๐๐๐ องค์ร่วมกันแปลจากภาษาบาลี สันสกฤตเป็นภาษาจีน จึงสำเร็จ

          พวกฉันคิดว่าจะทำกัน ๓ คน โดยให้อาจารย์เสถียรแปลเป็นภาษาไทย ฉันคอยอัดเทป พอถอดเทปเสร็จ ก็เอาไปให้หมอตัน ม่อ เซี้ยง เกลาอีกทีหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วก็แปลได้แค่ผูกเดียวคือ กิมกังเก็ง(วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร) เพราะอาจารย์เสถียรตายเสียก่อน มีอีกเรื่องหนึ่ง ฉันขอพูดหน่อยเถิด ใครบอกท่านพุทธทาสจะไม่เกิด ผมเอาตามแบบมหายาน เขาเชื่อกันว่าท่านเป็นอรหันต์ ไม่เกิด เรื่องนี้มหายานว่าอย่างไร เซ็นว่าอย่างไร เห็นเหมือนกัน เป็นอรหันต์แล้วไม่กลับมาเกิดอีก แต่ว่าถ้าต้องการเกิด เกิดได้ไหม? ตรงนี้ขัดกัน เพราะมหายานบอกว่าได้ ถ้าต้องการ เพราะฉะนั้น ผมยังไม่เชื่อว่าท่าน พุทธทาสจะไม่เกิด เพราะท่านมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ที่ยังทำไม่สำเร็จอยู่ คือ "สารานุกรม พุทธศาสนาภาษาไทย" ทำออกมาได้เล่มเดียวย่อๆ ภาษาคน ภาษาธรรม ท่านบอก ว่าเป็นงานชิ้นสุดท้าย ไม่รู้จะมีชีวิตทำหรือไม่ บอกกับผมอย่างนี้ หลักฐานมีพร้อมแล้ว ท่านให้ผมช่วยหา ปณิธานนี้ยังไม่เสร็จ ผมเชื่อว่าท่านจะต้องกลับมาเกิดอีก และผมก็ขอให้ท่านกลับมาเกิดอีก

ท่านพุทธทาสจะชอบพูดว่า "การศึกษา ศึกษาเพื่อให้พ้นทุกข์ สิ่งที่ไม่ช่วยให้พ้นทุกข์ก็ไม่ศึกษา" ในด้านมหายานนี้ท่านให้ความสนใจเซ็นในแง่นี้หรือเปล่า

         ขอโทษ มหายานทั้งหมด ท่านดูถูกเลย แต่เซ็นนี่ท่านสนใจ เพราะเซ็นเข้ากับเถรวาทได้ โดยเฉพาะเรื่อง "สุญญตา" ของเราก็มีในหลักสูตรนักธรรมโท "วิโมกข์สาม" แต่ไม่มีอาจารย์สอนขยายความ ตอนที่คนโจมตีท่านพุทธทาสว่า สุญญตาไม่มีในพระไตรปิฎก เจ้าคุณนรฯ (เจ้าคุณนรรัตน์) บอกเลยว่า "ผิด เจ้าคุณฯ (หมายถึง ท่านพุทธทาส) ถูก" คือ มีวิโมกข์สามอยู่ เพียงแต่ไม่มีคนอธิบายเอง รุ่นก่อนก็ไม่มีคนอธิบาย เจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์เป็นคนยืนยันว่ามี หาคนสอนไม่ได้ สุญญตาจึงขาดตอน เจ้าคุณฯ (ท่านพุทธทาส) พูดถูกแล้ว

          เซ็นเป็นสายสุญญตาโดยเฉพาะ เฉพาะ มหาสุญญตาสูตร นี้ เจ้าคุณฯ หลงเลย ฉันเคยฟังสรุปย่อๆ มาตอนอายุ ๑๔ ครั้งหนึ่ง หลังๆ อายุเกือบสามสิบ เคยฟังพระจีนสวด ๒-๓ ครั้ง เป็นปัญญาวิมุติล้วน แทบจะไม่มีเรื่องอภินิหาร (ขอโทษ) เรื่องงมงายแทบไม่มี สติปัฏฐานสี่ มรรคแปด โพธิปักขิยธรรม อยู่ในนั้นครบ

          ที่ถูกใจท่านพุทธทาสมากที่สุดคือ มหาสติปัฏฐานสี่ของไทยเรามี กาย เวทนา จิต ธรรม เขาบอกว่า พิจารณาเห็นกายในกาย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ครบ แต่ไทยเน้นแต่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตาแทบไม่เคยได้พูด ยกเว้นแต่ที่เจ้าคุณพุทธทาส ยกมา ท่านเป็นคนบุกเบิกสุญญตา อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา เราได้ยินกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ตามหลักเซ็นเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และสุดท้ายเป็นสุญญตา สามอย่างแรกแปลเหมือนกันคือ อนิจจังแปลว่าไม่ เที่ยง ทุกขังคือทนอยู่ไม่ได้ แต่เซ็นเติมไปอีกนิดว่า "ยึดมั่นเป็นทุกข์" ไทยไม่พูดคำนี้ ใช้แต่ว่า "ทนอยู่ไม่ได้" แล้วอนัตตา "ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีตัวตน" แปลความหมายตรงกันทั้งสามคำ แต่เซ็นเติมว่า ถ้าเอา มหาสุญญตาสูตร เป็นหลัก สามอย่างนี้ยังเป็นโลกีย ธรรม ไม่ใช่โลกุตตระ เพราะอนิจจัง จิตยังปรุงแต่ง ทุกขังก็ยังปรุงแต่ง อนัตตาก็ยังปรุงแต่ง ต้องจิตหลุดพ้นจากความคิดปรุงแต่ง นั่นถึงจะเป็นสุญญตาเป็นนิพพาน ตราบใดยังอยู่ที่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จิตเธอยังปรุงแต่ง จิตยังวนเวียนเกิดดับ ยังเป็นโลกีย์ ไม่เป็นโลกุตตระ จิตต้องหลุดพ้นจากกระแสดึงดูดของโลกีย์ จึงจะเป็นสุญญตา อันนี้เป็นสิ่งที่เร้าใจให้ท่านศึกษาเซ็น

          อย่างกายานุปัสสนานี้ สุดท้ายจิตจะต้องหลุดพ้นเป็นความว่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คุณพูดได้ แต่จิตคุณหลุดพ้นหรือยัง ถ้ายังไม่หลุดพ้นยังไม่เป็นความว่าง ยังไม่เป็นนิพพาน ต้องจิตหลุดพ้นเมื่อไรจึงเป็นสุญญตา นี้คือขันธ์ ๕ ตามแนวจิตว่าง อันนี้เจ้าคุณฯ สนใจที่สุด บอก "แหม น่าจะแปลคัมภีร์ชุดนี้" ท่านอธิบายด้วยภาพเด็กเลี้ยงวัว

          อีกคัมภีร์หนึ่งที่สำคัญมาก นอกจากเว่ยหล่าง แล้วยังมีเว่ยไห่ หลานศิษย์เว่ยหล่าง อาจารย์เสถียรแปลเป็นภาษาจีนแล้ว เสร็จตอนใกล้ๆจะตาย มีขุนฯอะไรก็ไม่ทราบ ขอเอาไปพิมพ์ดีดให้ แกก็ให้ไป ไม่ถามชื่อแซ่ ที่อยู่ จนบัดนี้ ฉันประกาศจนไม่ประกาศแล้ว สงสัยจะหายเข้าโลงตาขุนคนนั้นไปด้วย คัมภีร์นั้นชื่อ หุ่ยไห้ (มหาสาคร)

          ในวงการพุทธศาสนาไทย-จีน ฉันได้ยินมาว่า เขานับถือนักปราชญ์อยู่สามท่าน หนึ่ง หมอตัน ม่อ เซี้ยง พูดเสียงตามสาย สถานีวิทยุจีนทุกแห่ง บอกเราอยู่เมืองไทยต้องเคารพพระเจ้าแผ่นดินไทย สอง ต้องควร ใส่บาตรพระภิกษุสามเณร คนจีนถึงใส่บาตร พระทุกองค์บอกคนจีนใส่บาตรไม่น้อยกว่าคนไทย บุญคุณนี้อยู่ที่หมอตัน ม่อ เซี้ยง พูดเสียงตามสายทุกสมาคมจีน มาที่นี่ (โรงเจเป้าเก็งเต๊ง) ก็พูดอย่างนี้ จากนั้นก็มีเจ้าคุณฯพุทธทาสที่แปล สูตรของเว่ยหล่าง และ คำสอนฮวงโป ทำให้ไทยกับจีนเชื่อมกันได้ อีกคนคือเสถียร โพธินันทะ ผู้แปลวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร แปลวิมลเกียรตินิทเทศสูตร เมธีตะวันออก และปรัชญามหายาน ฯลฯ ๓ นักปราชญ์นี่นำพุทธศาสนาไทย-จีน เชื่อมกันได้ คนรุ่นเก่าเขาพูดอย่างนี้ และข้าพเจ้า "ธีรทาส" มีบุญอยู่หน่อยที่ได้มาพิมพ์คำสอนเหล่านั้นเผยแพร่.

  ขอบคุณ http://www.buddhadasa.org/html/articles/1_bdb/bdb-zen001.html

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

สุนทรียภาพทางจิตวิญญาณ

สุนทรียภาพทางจิตวิญญาณ

 

ศาสนาก็คือศิลปะ | ความดี ความงาม ความจริง

ศาสนาก็คือศิลปะ 

          ในที่สุดนี้อยากจะพูดชั่วเวลาที่เหลืออยู่นี้ว่า  เราจะต้องมีชีวิตของเรานี้เป็นตัวเดียวกันกับธรรมะ  โดยไม่ต้องมีการพูดหรือมีการอะไร.  ชีวิตก็ดี การงานก็ดีศาสนาก็ดี  ศิลปะก็ดี  หรืออะไรก็ดี ให้หลอมเข้า เป็นสิ่งเดียวกัน  เป็นธรรมะ, ให้ชีวิตนั้นมันเป็นอยู่ด้วยธรรมะ, ให้การงานนั้นเป็นการงานอยู่ด้วยธรรมะ, ให้ศาสนาคือการประพฤติ  ปฏิบัติ กาย วาจา ใจ  ตามระเบียบศาสนานั้น อย่าเป็นเปลือกของธรรมะ ให้เป็นธรรมะจริง ๆ

          อนึ่งสิ่งที่เรียกว่า ศิลป์ ที่เรานิยมกันนัก ว่าศิลปะ ศิลปินอย่างนี้ ให้มันเป็นศิลป์อยู่ตรงที่ การทำที่ฉลาดที่สุด น่าดู งดงามที่สุด,ตรงที่สามารถทำชิวิตนี้ไม่ให้เป็นทุกข์เลย,  ให้มันงามอยู่ ตรงที่ไม่มีความเศร้าหมอง หม่นหมอง  เร่าร้อนเลยนั่นแหละคือความงามอย่างยิ่ง. เมื่อรู้จักทำอย่างนี้ก็เป็นศิลป์หรือศิลปินอย่างยิ่ง, เป็นศิลป์ศิลปินของชีวิต. เพราะฉะนั้นศาสนาก็คือศิลปะ, พุทธศาสนาแท้ ๆ ก็คือศิลปะ   เพราะว่าเป็นอุบายอันหนึ่งที่ทำให้ชีวิตนี้งามอย่างยิ่ง, มีปรากฎการณ์ออกมาเป็นความงามอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรงามเสมอเหมือน  แล้วประณีตละเอียดเป็นงานฝีมืออย่างยี่ง  ในการที่จะทำอย่างนั้นได้ คือการเดินไปตามทางสายกลางดังที่ได้อธิบายแล้วแต่วันก่อน ๆ นั้น  นั่นแหละคือศิลปะอย่างยิ่ง.  ถ้าให้ระบุก็คืออริยมรรคมีองค์แปดประการ  นั่นแหละคือศิลปะสูงสุดของทั้งหมดของมนุษย์  หรือของสิ่งที่มนุษย์จะรู้จักได้.  ศาสนาก็คือศิลปะ  เพราะฉะนั้นการงานของเราเมื่อเนื่องอยู่ด้วยศาสนา  ด้วยธรรมะแล้วมันก็เป็นการงานศิลป์, ชีวิตก็เป็นชีวิตศิลป์.  มองดูในแง่ชีวิตก็เป็นชีวิต มองดูในแง่การงานก็เป็นการงาน  มองดูในแง่ศาสนาก็เป็นศาสนา มองดูในแง่ศิลป์ก็เป็นศิลป์ ทีนี้มันมากนัก  หลอมเป็นสิ่งเดียวกันเสียดีกว่า เป็นธรรมะ, ธรรมะ, ธรรมะ, คำเดียวพอ.

          นี่เราจงมีอะไรเป็นของตัวเราเองอย่างนี้เราจะได้เอาตัวรอดได้ เราอย่าไปเดินตามฝรั่ง ไปเสียตะพึด, เพราะว่ามันไม่เหมือนกัน  และกล่าวได้ว่า ฝรั่งยังไม่รู้ธรรมะ ที่จะดับทุกข์ได้ดีไปกว่าเรา  เพราะฉะนั้น เราอย่ายกเขาเป็นผู้นำทางวิญญาณของเรา.  เราดูเขาแต่ที่จะใช้แก้ปัญหา ในทางวัตถุ และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น.  ส่วนใหญ่ใจความเราจะต้องใช้ของเราเอง. ถ้าเราไปหลงวัฒนธรรมตะวันตก ทุกแขนงทุกอย่างนั้น  ก็คือกระโดดลงเหวที่มืดที่สุด และไกลจากธรรมะยิ่งขึ้นไปทุกที มันคนละอย่างคนละแบบ.

พุทธทาสภิกขุ.
ธรรมโฆษณ์ ชุด ธรรมบรรรยายระดับมหาวิทยาลัย น.๒๗๘

รูปภาพของ เฉินซิ่วเชง

ความดี ความงาม ความจริง

ความดี ความงาม ความจริง

          คำว่า  "ศาสนา"  ของพระพุทธเจ้านั้น  ท่านเล็งถึงสิ่ง ๓ สิ่ง  คือความรู้ อย่างหนึ่ง, และการปฏิบัติตามความรู้นั้น อย่างหนึ่ง, และการได้ผลเป็นความสะอาด สว่าง สงบขึ้นมานั้น อีกอย่างหนึ่ง, รวมกันสามอย่างนี้  เรียกว่าศาสนา.  เรียกเป็นบาลีก็ว่า : เป็นปริยัติธรรม, ปฏิบัติธรรม, ปฏิเวธธรรมสามอย่างนี้รวมกันเรียกว่าพระศาสนา.  เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลาย จะต้องเข้าถึงศาสนาอย่างนี้  และมีศาสนาอย่างนี้ เพื่อความรู้ก็ตาม เพื่อปฏิบัติก็ตาม  เพื่อเอาเป็นที่พึ่งก็ตาม ต้องมีศาสนาอย่างนี้  นี้เป็นคำกล่าวที่กว้างที่สุด  และใช้ได้แก่ศาสนาทั้งปวง.

          ทีนี้เรามาถึงเรื่องเบ็ดเตล็ด  เป็นคำเบ็ดเตล็ด  แต่ว่าสำคัญมาก เป็นสิ่งที่สำคัญแก่มนุษย์เรามาก เป็นมูลเหตุ แห่งความทุกข์  และความสุขทีเดียว  เช่นว่าความดี  ความดี  ความจริง  ความยุติธรรมเหล่านี้  ลองคิดดูว่า อะไรเป็นความงาม ความดี ความจริง ความยุติธรรม.

          ความงาม  ทางฝ่ายวัตถุ นั้น  คงจะเข้าใจกันได้ดีมาก  ว่าความงามทางฝ่ายวัตถุก็คือรูปงาม บางคน เอาความงามของร่างกาย เป็นอาชีพก็มี  จึงได้นึกหหลงใหลกันในความงาม มากถึงอย่างนั้นทั้ง ๒ ฝ่าย  คือทั้งฝ่ายที่เป็นเจ้าของความงาม  และผู้ที่จะมาซื้อหาความงาม จากบุคคลนั้น  อันนี้ก็คือ ความงามที่วัตถุที่ร่างกาย หรือที่เนื้อหนัง.

          ทีนี้  ความงาม  เพราะว่าเขาร่ำรวย  บางคนก็เอาความงามที่ร่ำรวย เพราะมีทรัพย์มากอย่างนี้ก็มี.  ทีนี้บางคนก็วัดความงาม ที่มีวิชาความรู้สูง  งามอย่างนี้ก็มี.

          อย่างที่เขาจะเลือกคู่ครองอย่างนี้  จะต้องนึกถึงรูป  นึกถึงทรัพย์  นึกถึงวิทยฐานะอะไรทำนองนี้  แต่ว่าความงามเหล่านี้  มันเป็นเรื่องวัตถุ  และมองกันในด้านนอก หรือภายนอกเท่านั้น.

          ส่วน  ความงามที่แท้จริงนั้น  เป็นเรื่องทางภายในด้านจิตใจ คือ ความงามของธรรมะที่มีอยู่ในบุคคลนั้น  คือเขางามด้วยอำนาจของธรรมะ ที่มีอยู่ที่เนื้อที่ตัว  ที่กาย ที่วาจา  ที่ใจของเขา  ไม่คำนึงถึงรูป  หรือทรัพย์สมบัติ หรือวิทยฐานะเลย  ถ้ามันมีหมด มันก็ยิ่งงามทั้งข้างนอกข้างใน.  แต่ถ้าจะต้องเลือกเอาอย่างเดียวแล้ว  จะเลือกเอาอย่างไหน? ไปคิดดูกันเอง.

          เรื่องของความดี พวกวัตถุนิยมก็ต้องเอาว่า "ได้"  นั่นแหละดี  ได้มราเป็นของกู เป็นตัวกูแล้ว นั่นแหละดี  อย่างอื่นไม่ดี. นี่ ! ขอให้ดูไปเถิด ดูที่เราเองดูที่คนอื่น  ดูที่คนทั้งเมือง  ว่าเขากำลังเอาอะไรเป็นความดี  เขากำลังเอาสิ่งที่ได้หรือการได้นั้น เป็นความดีหรือเปล่า ?  บางคนก็เอาตามที่โลกเขานิยมกันว่าดีก็แล้วกัน เพราะเขาว่าดีกันทั้งบ้านทั้งเมืองแล้ว  เราจะไปไม่ดีอยู่คนเดียวอย่างไรได้  อย่างนี้ก็มี.

          แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ว่าอย่างนั้น  คนทั้งเมืองจะว่าอย่างไร  ฉันไม่รู้ถ้าดีมันต้องดีจริง และดีจริงอย่างยิ่ง  ก็ตรงที่มันไม่เศร้าหมอง  มันไม่เร่าร้อนมันไม่ทุกข์ร้อน  มันไม่โง่เขลา, มันต้องดีอยู่ที่ความ  สะอาด  สว่าง  สงบ ด้วยเหมือนกัน.

          บางคนเป็นเอามากกว่านั้นอีก  คือ โลกนิยมนั้นมันยังเป็นสมัย ๆ อีกด้วยซ้ำไป อย่างแบบเสื้อ หรืออะไรอย่างนี้ มันยังเป็นสมัย ๆ ชั่วเวลาไม่กี่เดือน.  ทีนี้ความดีอย่างอื่นก็เหมือนกัน ที่โลกเขานิยมแล้ว  ยังเป็นสมัย ๆ เป็นเฉพาะถิ่นเฉพาะแห่งไปก็มี. บางคราวเขานิยมว่า นั่นนี่เป็นดี  พอถึง

          คราวอื่นเขาไม่นิยมเสียแล้ว.  นี่เป็นความดีอย่างหลอกลวง   อย่างมายา   ตามประสาของโลก. ส่วนความดีที่แท้จริง ที่มนุษย์ควรจะได้ให้ทนในชาตินี้นั้น ไม่มีอะไรจะยิ่งไปกว่า  ความสงบเย็นชนิดที่หาจากทางอื่นไม่ได้  นอกจากจะหาจากธรรมะอย่างเดียว  จึงจะเรียกว่าเป็นความดี.

          ถ้าพูดถึง ความจริง  คนมันมีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย เป็นเครื่องสัมผัส เพราะฉะนั้น มันก็จริง เท่าที่เขาสัมผัสได้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายของเขาเอง คือเท่าที่เขาพิสูจน์ได้ ทดลองได้ทางวัตถุ  เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าความจริงของชาวโลกที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะนั้น มันก็คือเท่าที่เขาเห็นหรืเขารู้สึก  หรือเขาเชื่อว่ามันจริง.  เพราะฉะนั้นมันจึงถูกหลอกด้วยอารมณ์  หรือแม้แต่ถูกหลอกด้วยเหตุผล  ที่มันเปลี่ยนแปลงได้  เป็นความจริงในขณะหนึ่ง  และไม่เป็นความจริงในอีกขณะหนึ่ง.

          แม้แต่กฎวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์นั้น  ผู้ศึกษาก็รู้ได้ดีว่า มันเปลี่ยนอยู่บ่อย ๆ. ครั้งหนึ่งสมมุติว่า  จริงอย่างยิ่ง กฏวิทยาศาสตร์ข้อนี้แล้วต่อมาก็ไม่จริงแล้ว. นี้เพราะว่า มันจริงเท่าที่เขารู้สึกได้ด้วยตัวเขา เฉพาะขณะนั้นเวลานั้น  ด้วยเหตุผลอย่างนั้นด้วยการพิสูจน์ทดลองอย่างนั้นเท่านั้น.  อย่างนี้ยังไม่ใช่ธรรมะเลย  เป็นความจริงอย่างโลก ๆ ทางภายนอก.

          ความจริงที่แท้จริงมันต้องจริงชนิดที่ไม่เปลี่ยนแปลง  ถ้าทุกข์ก็ต้องทุกข์จริง  ถ้าไม่ทุกข์ก็ต้องไม่ทุกข์จริง   ถ้าเป็นเหนุให้เกิดทุกข์  ก็ต้องให้เกิดทุกข์จริง ๆ ไม่หลอกใคร และถ้าดับทุกข์ได้ ก็ต้องดับทุกข์ได้จริง ๆ แล้วก็ไม่หลอกใคร นี่ ! จึงจะเรียกว่า ความจริงที่ประเสริฐของพระพุทธเจ้า หรือของพระอริยเจ้า.  ขอให้เรามองความจริง หรือสิ่งที่จริงกันในลักษณะเช่นนี้.

          ความมุ่งหมายของการศึกษาทั่วไป ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็เพื่อเข้าถึงความจริง ความมุ่งหมายของปรัชญา ทั้งหมดทั้งสิ้น ก็มุ่งหมายเพื่อจะเข้าถึงความจริง แต่ทีนี้การศึกษา หรือปรัชญาแขนงนั้น ๆ ก็มุ่งหมาย เพื่อจะเข้าถึงความจริง แต่ทีนี้การศึกษา หรือปรัชญาแขนงนั้น ๆ หรือสิ่งนั้นมันไม่สมบูรณ์  มันครึ่ง ๆ กลาง ๆ แล้วมันถึงกับป้ำ ๆ เป๋อ ๆ ก็มี นี่ ! แล้วมันจะจริงหรือเข้าถึงความจริงได้อย่างไร.

          ทีนี้เราเอาเรื่องที่สำคัญที่สุดมาเป็นตัวเรื่อง  เช่นเรื่องความทุกข์ และ เรื่องดับทุกข์ เราค้นหาความจริง ของเรื่องนี้ให้พบ  นี้มันจึงจะพบของจริง  และเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด ดีที่สุด ประเสริฐที่สุด.   ส่วนของจริงที่ไม่มีประโยชน์หรือว่าเพราะไม่อาจจะเอามารับใช้เป็นประโยชน์อะไรได้นั้น  ก็มีอยู่เยอะแยะ.

          เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า ฉันบอกแกกำมือเดียวเท่านั้น ที่ไม่บอกอีกเยอะแยะ ที่จำเป็นจะต้องบอกกันนี้กำมือเดียว  ซึ่งกล่าวให้ฟังแล้วแต่วันแรกว่าจริงแท้ด้วย แล้วก็กำมือเดียวเท่านั้นแล้วก็มีประโยชน์ทั้งหมดทั้งสิ้น.

          คำสุดท้ายที่จะพูด "ความยุติธรรม" หรือความเป็นธรรม ในโลกนี้อำนาจอาจจะเป็นยุติธรรม  หรือเป็นธรรม ขึ้นมาเมื่อไรก็ได้,  หรือว่าตัวประโยชน์นั่นแหละ อาจจะเป็นความยุติธรรมขึ้นมาเมื่อไรก็ได้,   หรือว่าวัตถุพยาน เท่าที่เขาจะหามาได้เท่านั้น  ที่จะให้เป็นเหตุผลแก่ความยุติธรรม. ทีนี้ถ้าพยานมันเท็จ หรือมันไม่อาจจะรู้ได้ว่า พยานเท็จแล้ว  ความยุติธรรมนั้นมันก็หลอกทั้งที่ไม่รู้.

          เพราะฉะนั้นความยุติธรรมที่แท้จริงนั้นจึงหาไม่ได้ ถ้าไม่เกี่ยวกับธรรมะ ถ้ามันเป็นโลกแล้ว มันก็เป็นความยุติธรรมไปตามแบบของโลก  ความยุติธรรมอย่างโลก ๆ เป็นเรื่องด้านนอกเสมอไป แต่ถ้าธรรมะแล้วมันไม่เข้าใครออกใครเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง.  เช่นกฏแห่งกรรมก็ดี กฏแห่งความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตาก็ดี  เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์  ความดับทุกข์  ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็ดี   เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดและยุติธรรมอย่างยิ่ง  ไม่เห็นแก่หน้าใคร ไม่มีผู้ได้สิทธิพิเศษหรืออะไรทำนองนั้น  มันเป็นธรรมชาติที่มีอำนาจเด็ดขาดตายตัว,

พุทธทาสภิกขุ.
ธรรมโฆษณ์ ชุด ธรรมบรรรยายระดับมหาวิทยาลัย น.๑๗๔-๑๗๖

 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal