|
|
ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
เขียนโดย จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง เมื่อ ศุกร์, 22/07/2011 - 14:54.
อาวุธของความทุกข์ ทำไม เราจึงทุกข์ได้มากนัก นั่นเพราะว่าทุกคนมีอัตตา อัตตา หรืออีโก้ของเรา สำคัญมาก เวลาถูกกระทบ ใครมาทักชื่อเราผิด หรือเราไปโน่น นี่ นั่น แล้วเขาทักทายคนอื่น แต่ไม่ทักทายเรา ทำให้เราคิดว่าถูกมองไม่เห็นหัว ใครสักคนที่เรารักเคารพ ไม่ให้ความสำคัญ ก็รู้สึกแย่ หรือบางทีเราไปวัดบริจาคเงิน แต่ไม่มีใครประกาศชื่อเรา เราก็เป็นทุกข์ นี่เป็นความรู้สึกของอีโก้ ถ้าอีโก้มากๆ ถูกกระทบหน่อย คนนั้นก็จะทุกข์มาก ฐานของความทุกข์มี 2 อย่าง 1. ความคิด เอาเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียว มาย้ำคิดย้ำทำ ก็เลยเป็นการย้ำทุกข์ 2. อัตตา เรามีอีโก้ หรืออัตตาที่หนาแน่น อัตตาหรืออีโก้ตัวนี้ถูกกระทบ ถูกทำให้เจ็บปวด ถูกทำให้ไม่ได้รับความสำคัญ มันก็ลุกขึ้นฟาดงวงฟาดงา แสดงตัวตนออกมา ตัวนี้นี่เอง เป็นรากของความทุกข์ ฉะนั้น ถ้าเราจะดับความทุกข์ในระดับจิตใจ มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น คือการเจริญสติ คือเราจะต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะ ไม่ได้หมายถึง วันนี้ ปีนี้ ชาตินี้ แต่หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังหายใจเข้าหายใจออก เดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเราสามารถรู้สึกตัวอยู่ ก็ถือว่าอยู่ในปัจจุบันขณะ อาวุธของความคิด ถ้าไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็จะไม่คิดไปถึงอนาคต เวลาเรารู้สึกตัวอยู่ในปัจจุบันขณะ มันจะไม่มีความคิด เมื่อเราไม่มีความคิด ความทุกข์เพราะความคิด ก็ไม่เกิดขึ้น มีคนไปถามพระพุทธเจ้า ทำไมสาวกของพระองค์ผิวพรรณผ่องใสจังเลย พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่หวนละห้อยถึงอดีต แล้วก็ไม่คิดถึงแต่อนาคต จ่อจดอยู่กับปัจจุบัน ผิวพรรณจึงผ่องใส ทุกวันนี้ ทุกข์ 99% ของมนุษย์ เกิดจากการจัดการความคิดไม่ได้ นี่คือปัญหา ความคิดที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด มันเคยเกิดขึ้นแล้ว และมันก็ได้จบไปแล้วตอนที่มันเกิดขึ้น แต่ทำไมมันยังทำร้ายจิตใจของเราได้ทุกค่ำทุกคืน ทุกครั้งที่หวนนึกถึง ก็เพราะเราไปหยิบมันขึ้นมา เหมือนควายที่กินหญ้าในตอนกลางวัน มันรวบรวมเข้าไปไว้ในท้อง กลางคืนมันก็จะขยอกออกมาเคี้ยว คนก็เหมือนกัน กลางวันมันโดนกระทบเข้าไป มันไม่มีเวลาทุกข์ งานยุ่งมาก กลางคืนนอนเอามือก่ายหน้าผาก ขย้อนความทุกข์ออกมาเคี้ยวเอื้อง ตัวความทุกข์จริงๆ นั้นสั้นนิดเดียว เกิดแล้วก็ดับ แต่ตัวที่ทำให้ความทุกข์ยืดเยื้อ คือตัวย้ำคิดย้ำทำ ที่มา: หนังสือ ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย, สำนักพิมพ์ปราณ, ว.วชิรเมธี »
|
|
hakka@hakkapeople.com คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม | Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal |
ทุกข์เพราะคิด
เห็นด้วยว่า
"คนเราทุกวันนี้ ทุกข์เพราะิคิด" (จาก"หลวงปู่ฝากไว้" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)
จะว่าไปตามหลักพุทธศาสนา มีหลักอันเป็นวิทยาศสาตร์ว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากหตุ เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล
การดับทุกข์ โดยหาความพึงพอใจมาดับ ย่อมไม่ใช้วิถีแห่งพุทธ
หากยึดมันถือมั่นมาก ก็อุปทานจนเป็นทุกข์
เมื่อไม่สมอยากมาก เบื่อมาก ก็ทุกข์ ด้วยตันหา
ดังนั้น ถ้าเราตัดได้ 2 (จากตันหา3) ต่อไปนี้ ทุกข์ก็เบาไปเยอะแล้ว
มีนิทานอีกเรื่อง
กาลหนึ่งครั้ง มีบ้านหลังหนึ่ง มีแม่เฒ่า อาศัยอยู่กับลูกหลาน ที่วันๆออกเที่ยวนอกบ้านทิ้งให้แม่เฒ่าอยู่เฝ้าบ้าน บ่นว่าบ้านหน้าเบื่อ ครอบครัวก็ไม่เป็นครอบครัว เป็นเพียงที่ซุกหัวนอน
อยู่มาวันหนึ่ง ก็เหมือน วันที่แสนน่าเบื่อเหมือนทุกวัน ที่ลูกหลานตื่นแล้วก็แยกย้ายกันออกเที่ยวนอกบ้าน ค่ำมืดจึงจะกลับมาบ้าน เห็นแม่เฒ่า ก้มหาอะไรอยู่ตรงเสาไฟ หน้าบ้าน จึงเข้ามาถาม
"ยาย หาอะไรอยู่เหรอ?"
"หาเข็มอยู่จ้ะ กำลังจะสนเข็มเพื่อชุนผ้าให้หลาน แต่เข็มมันตกหายไปเสียก่อน"
เมื่อช่วยกันหาได้สักพักใหญ่ ลูกหลานก็ทะยอยกันกลับมาช่วยหากันทีละคนสองคน
แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จะไปซื้อมาให้ใหม่ก็มืดค่ำแล้ว ร้านค้าต่างๆ ปิดกันหมด จึงมีคนหนึ่งทำเสียงเขียวว่า
"ยาย เข็มมันตกที่ไหนละ จะได้หาถูก"
"ยายตอบว่า มันตกในบ้านจ๊ะ"
ว่าแล้วพวกทั้งหมดแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
"ตกในบ้าน! แล้วมาหาข้างนอกบ้าน เมื่อไหร่จะเจอละ! "
ยายตอบว่า "ในบ้านมันมืด เห็นข้างนอกมันสว่างดี เลยมาหาข้างนอก "
ทุกคนมัวแต่ส่ายหน้าด้วยความไม่พึงพอใจ บ่นพึมพำว่ายายชักจะแก่เลอะเลือนไปแล้ว เข็มตกที่ ไปหาอีกที่จะเจอได้ไง
แล้วยายก็ตอบต่อไปอีกว่า
"ก็เหมือนพวกเอ็ง ยังออกไปเที่ยวหาความสุขนอกบ้านเลย ทั้งที่ความสุขมันอยู่ในใจต่างหาก ..."
ท่านว่ามา ก็จำเขามาบอกต่อกันไป พูดได้แต่ทำได้แค่ไหนยังไม่รู้ แฮๆๆ
27 ก.ค.54 เวลา 15.00 น. เซ้ไจ้(เด็กน้อย) ขอโทษ
ไหง่ได้เขียนแสดงความคิดเรื่องทุกข์มา แต่ไม่เห็นข้อมูล หากผิดพลาดขออภัย
ด้วยความเคารพรัก...อาหงิ่ว
ลองดูอีกทีครับ
ลองดูอีกทีครับ
เผื่อเกิดผิดพลาดระหว่างส่งข้อมูล เช่น net สะดุดตอน จะกดบันทึก เป็นต้น
คำแนะนำ
หากเขียนเรื่องยาว แนะนำควรเขียนในโปรแกรม Note Pad
คลิกที่ [Start] All Programs / Accessories / Notepad
ซึ่งสามารถพิมพ์ ข้อความต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสามารถกด บันทึก (Menu File / Save) เพื่อจัดเก็บสำเนาไว้ในเครื่องตัวเองก่อนเสมอ (สามารถบันทึกเก็บไว้ก่อนได้ทุเวลาที่ต้องการ เผื่อมีการขัดข้องทางเทคนิกใดๆ เช่นสายหลุด ไฟดับ) จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด และยังมีสำเนาในเครื่องเราไว้ดู หรือค้นคว้าอ้างอิงได้ง่ายขึ้น
เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว เวลาส่งขึ้นเว็บ ก็ทำเหมือนปรกติ เพียงแต่ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ แค่ Copy จากหน้าใน Notepad มาวาง ก็สามารถกดบันทึกส่งขึ้นเว็บได้ทันที
หากต้องการตกแต่งแก้ไขตัวอักษร หรือแทรกรูป ก็ยังสามารถทำได้ คือ หลังจาก copy มาวางในหน้าบันทึกของเว็บแล้ว ก็ใช้เครื่องมือที่มีให้ เช่น เป็นต้น ปรับแต่งให้สวยงาม ก่อนส่งได้ตามต้องการ
* หากพิมพ์ข้อความที่มีภาษาจีน ขณะตั้งชื่อเลือกที่จัดเก็บไฟล์ จะมีตัวเลือก Encoding ต้องเลือกเป็น UTF-8 เสมอ เพื่อให้รองรับกับอักษรได้ทุกภาษา (มิฉนั้น อัการจีนจะไม่ปรากฏ)
อัตตา กับ อนัตตา
อืมมมม... เห็นล้วยยยย
แก่นศาสนาพุทธคือการดับทุกข์ ซึ่งทั้งหมดมีสาเหตุมาจากความเป็น อัตตา ถือตน ตัวกู ของกู และ อนัตตา คือความไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และหนทางดับทุกข์ก็คือ การถือศีล เจริญสติ สมาธิ วิปัสสนาปัญญา
ทุกข์เพราะความคิดปรุงแต่ง
สิ่งที่ทำให้คนเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนาคืออายตนะ อายตนะคือสิ่งต่อกับโลกภายนอกประกอบไปด้วย ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่ออายตนะทั้งหกอย่างนี้ไปรับรู้สัมผัสแล้วมาคิดปรุงแต่งทำให้เกิดความอยากเป็น อยากมี อยากเอา อยากได้ แต่พอไม่ได้ตามที่ตนปรารถนาก็จะเป็นทุกข์ ดังนั้นต้องควบคุมอายตนะทั้งหลายให้ดีโดยใช้หลักว่า สักแต่ว่าตามองเห็นรูป สักแต่ว่าหูได้ยินเสียง สักแต่ว่าจมูกได้กลิ่น สักแต่ว่าลิ้นได้ลิ้มรส สักแต่ว่ากายได้สัมผัส สักแต่ว่าใจได้รับรู้ แต่ไม่นำมาคิดปรุงแต่งต่อ ความอยาก คือกิเลสก็จะไม่เกิด วิธีคิดแบบนี้แหละคือวีธีคิดแบบพุทธธรรม หรือที่เขาเรียกว่า " โยนิโสมนสิการ " ( ความคิดถึงต้นเหตุต้นเค้าของปัญหา และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุต้นเค้าของปัญหาอย่างแท้จริง )
ถ้าเรามาลองคิดเล่นๆกันว่าหากมีคนมาด่าเราด้วยภาษาเคนย่า หรือภาษาเกาหลี หรือภาษาฮิบบลูแบบหยาบคายที่สุด เราจะโกรธใหม ไหง่คิดว่าเราคงไม่โกรธ เพราะเราฟังไม่รู้เรื่องไม่รู้ความหมาย เลยไม่รู้ว่าจะนำไปคิดปรุงแต่งต่ออย่างไร จึงไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีคนมาด่าเราด้วยภาษาไทย หรือภาษาฮากกา อย่างหยาบคายที่สุดเราจะรู้สึกโกรธทันทีเพราะเราฟังรู้เรื่อง รู้ความหมาย เราจะคิดปรุงแต่งทันที แล้วเราก็จะเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สุข ไม่คิดปรุงแต่ง
หลีกเลี่ยงความทุกข์ได้สิ เพราะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าถ้าคิดปรุงแต่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ แล้วจะไปคิดปรุงแต่งทำไมล่ะ เราต้องรู้ทันสิ จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่เรา
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยการไม่โกรธไม่โมโหใครเลย ตัวเราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข ถ้ามีคนมาด่าว่าเรา ก็เข้าหูซ้ายออกหูขวาไปเลยไม่ต้องขึ้นสมองจะได้ไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ง การที่มีคนมาด่าว่าเราแสดงว่าเราไปทำไม่ถูกใจเค้า แล้วจะไปให้ถูกใจทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะคนเราแต่ละคนก็มีนิสัยที่ต่างกันความชอบต่างกัน แต่ถ้าเราไปแสร้งทำถูกใจเค้าเรื่อยไปเราก็ทุกข์
ความอยากทั้งหลายที่ถูกเรียกว่ากิเลิสนั้น ถ้าเราสนองความอยากได้เราก็สุข ถ้าเราสนองความอยากไม่ได้เราก็ทุกข์ ( เคยมีคำพูดที่ว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง แต่คนเรามีวิธีแสวงหาความสุขที่ต่างกัน แล้วคนที่พูดจะรู้ได้ไงว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง )
สุก ไม่ปรุงแต่ง
อ่านเรื่อง การปรุงอาหาร พร้อมภาพประกอบชวนชิมมาเห็น สุขไม่คิดปรุงแต่ง เป็น สุกแล้วไม่ต้องปรุง กินได้เลยไปด้าย เหอๆ
คิดว่าพูดถึงเช่าเหมี่ยนเสี้ยนเสียอีก ที่อาศัยความ หอม เค็ม ที่ออกมาจากเส้น (เหมือนความสุขที่อยู่ในใจ อันมีศุภเป็นวัตถุดิบ) โดยไม่ต้องปรุงแต่ง สุกแล้วกินได้เลย (ใครไม่รู้ไปปรุงแต่งละเค็มแย่)
ความละเอียดอ่อนของภาษานี้ เพียนนิดเดียวไปคนละเรื่องเลย คงไม่แปลกใจ ที่ภาษาทำให้ชื่นใจ หรือ ช้ำใจ กันได้ง่ายๆ
3 คาถาของคนทำงาน โดนจริง ๆ
1 . คาถาคนทำงาน ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ
อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อัน นี้ โดน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า
2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย q*014
3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด
เครดิต FWM ก๊อฟเขามาอีกที เห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน
กราบพระแบบพุทธ
วิธีเติมโชคดีให้ชีวิต
ความร้สึกฮ่องเต้ซุ่นจื้อ " เมื่อปล่อยวาง "
ก่อนอื่น ขอขอบคุณอาฉีโกที่เอื้ออาทรชี้แนะ แต่อาหงิ่วโง่สมชื่อทําไม่เป็น ต้องเสียข้อมูลที่ตั้งใจพิมพ์ ๓ ชุด ๘ ช.ม.ถ้าส่งติดชุดเดียว ก็แค่ชั่วโมงเศษๆ หลังเสียชุดที่ ๓ ต้องตามช่างมาสอน คราวนี้คงไม่ฟลาวนะ?
เข้าเรื่องดีกว่า...คําว่า "ทําดี ละชั่ว ทําจิตให้บริสุทธิ "
เป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้ที่ปฏิบัติเช่นที่ว่านี้ได้ 90 กว่าเปอร์เซนต์เป็นพระนักบวช ส่วนปุถุชนยากที่จะทําเช่นนั้นได้
เพราะสังคมโลกเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทําให้ต้องต่อสู้อยู่ท่ามกลางความสับสน ทําให้ใจ
ซึ่งเป็นศูนย์กลาง เสียความสมดุลไปตามกระแสโลก ซึ่งมักก่อทุกข์ก่อความผิดพลาด ใจของปุถุชนจึงถูกเผารนอย่างทรมาน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ชาวฮักกาที่ผ่านชีวิตมามากจึงกล่าวว่า " หงิ่นเซนชิดกู้ซ้งเพ็ดหลี่ " แปลว่า ชีวิตคนแต่โบราณ ตนต้องทนทุกข์เจ็บปวดมิอาจเลี่ยง ซึ่งตรงกับหลักทางพุทธศาสนาว่า "ชีวิตเป็นทุกข์ " อาจมีคนแย้งว่า คนที่ประสบความสําเร็จ หรือคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ 20 ล้าน ยังทุกข์
อย่างนั้นหรือ?
แน่นอน เพราะขณะประสบความสําเร็จ หรือการได้เงินก้อนใหญ่ขณะนั้น ก็แค่คลื่นความยินดีพอใจ ที่ท่วมท้นความทุกข์เท่านั้น
แต่เมื่อสิ่งนั้นเคลื่อนผ่านไป ทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นรํ่าไป
การที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยมรรคมีองค์ 8 ที่สรุปได้ง่ายๆ คือ
การเดินอยู่ในมรรคมีองค์ 8นี้ด้วยสติ-ปัญญา ชีวิตจะปกติสุขกว่าคนที่ใช้วิตผาดโผนแน่นอน เพราะคนที่ใช้ชีวิตผาดโผนทะเยอทยาน
จนเป็นฮ่องเต้ซุ่นจื้อ ผู้สถาปนาราชวงศ์ชิงองค์แรก ยังยอมปล่อยวางสละราชบัลลังก์ ออกผนวชเป็นพระภิกษุ พระองค์ได้เขียนบทโศลกไว้ว่า
" ครั้งข้าครอบครองแผ่นดินแลแม่นํ้า ต้องทุกข์กลุ้มเรื่องบ้านเมืองและประชาราษฎร์ ตลอดทั้งปี 365 วันไม่ว่างเว้น (เป็นเวลา 18 ปีที่นั่งบัลลังก์) สุขเทียบไม่ได้กับการเป็นภิกษุเพียงครึ่งวัน "
สูงสุดยังลงสู่สามัญ แสดงว่าแท้จริงสิ่งสามัญตามธรรมชาติสบายดีที่สุด อะไรที่พิเศษย่อมแบกทุกข์มากเป็นพิเศษ แต่คนเราก็ยังชอบ
ความพิเศษ คงเพราะยังปีนไม่สูงสุด ก็เร่าร้อนเป็นทุกข์แข่งกันปีนต่อไป..นะจ๊ะ
วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่
หลักความสุข ๙ ประการ