หน้าแรก  
HakkaPeople(Thai) ชุมชนชาวฮากกา 泰國客家 Hakka people .  
ที่ใดมีตะวันขึ้น ที่นั้นมีชาวจีน ที่ใดมีชาวจีน ที่นั้นมีเค่อเจียเหริน(客家人) hakkapeople.com

ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง
อาวุธของความทุกข์ 

ทำไม เราจึงทุกข์ได้มากนัก

นั่นเพราะว่าทุกคนมีอัตตา อัตตา หรืออีโก้ของเรา สำคัญมาก เวลาถูกกระทบ ใครมาทักชื่อเราผิด หรือเราไปโน่น นี่ นั่น แล้วเขาทักทายคนอื่น แต่ไม่ทักทายเรา ทำให้เราคิดว่าถูกมองไม่เห็นหัว ใครสักคนที่เรารักเคารพ ไม่ให้ความสำคัญ ก็รู้สึกแย่

หรือบางทีเราไปวัดบริจาคเงิน แต่ไม่มีใครประกาศชื่อเรา เราก็เป็นทุกข์ นี่เป็นความรู้สึกของอีโก้ ถ้าอีโก้มากๆ ถูกกระทบหน่อย คนนั้นก็จะทุกข์มาก

ฐานของความทุกข์มี 2 อย่าง

1. ความคิด เอาเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งเดียว มาย้ำคิดย้ำทำ ก็เลยเป็นการย้ำทุกข์

2. อัตตา เรามีอีโก้ หรืออัตตาที่หนาแน่น อัตตาหรืออีโก้ตัวนี้ถูกกระทบ ถูกทำให้เจ็บปวด ถูกทำให้ไม่ได้รับความสำคัญ มันก็ลุกขึ้นฟาดงวงฟาดงา แสดงตัวตนออกมา

ตัวนี้นี่เอง เป็นรากของความทุกข์

ฉะนั้น ถ้าเราจะดับความทุกข์ในระดับจิตใจ มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น คือการเจริญสติ คือเราจะต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ

ปัจจุบันขณะ ไม่ได้หมายถึง วันนี้ ปีนี้ ชาตินี้ แต่หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังหายใจเข้าหายใจออก เดี๋ยวนี้แหละ ถ้าเราสามารถรู้สึกตัวอยู่ ก็ถือว่าอยู่ในปัจจุบันขณะ

อาวุธของความคิด ถ้าไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา แล้วก็จะไม่คิดไปถึงอนาคต เวลาเรารู้สึกตัวอยู่ในปัจจุบันขณะ มันจะไม่มีความคิด เมื่อเราไม่มีความคิด ความทุกข์เพราะความคิด ก็ไม่เกิดขึ้น

มีคนไปถามพระพุทธเจ้า ทำไมสาวกของพระองค์ผิวพรรณผ่องใสจังเลย พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่หวนละห้อยถึงอดีต แล้วก็ไม่คิดถึงแต่อนาคต จ่อจดอยู่กับปัจจุบัน ผิวพรรณจึงผ่องใส

ทุกวันนี้  ทุกข์ 99% ของมนุษย์ เกิดจากการจัดการความคิดไม่ได้ นี่คือปัญหา ความคิดที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด มันเคยเกิดขึ้นแล้ว และมันก็ได้จบไปแล้วตอนที่มันเกิดขึ้น แต่ทำไมมันยังทำร้ายจิตใจของเราได้ทุกค่ำทุกคืน ทุกครั้งที่หวนนึกถึง ก็เพราะเราไปหยิบมันขึ้นมา

เหมือนควายที่กินหญ้าในตอนกลางวัน มันรวบรวมเข้าไปไว้ในท้อง กลางคืนมันก็จะขยอกออกมาเคี้ยว คนก็เหมือนกัน กลางวันมันโดนกระทบเข้าไป มันไม่มีเวลาทุกข์ งานยุ่งมาก กลางคืนนอนเอามือก่ายหน้าผาก ขย้อนความทุกข์ออกมาเคี้ยวเอื้อง ตัวความทุกข์จริงๆ นั้นสั้นนิดเดียว เกิดแล้วก็ดับ แต่ตัวที่ทำให้ความทุกข์ยืดเยื้อ คือตัวย้ำคิดย้ำทำ

ที่มา: หนังสือ ความทุกข์มาโปรด ความสุขโปรยปราย, สำนักพิมพ์ปราณ, ว.วชิรเมธี

รูปภาพของ อาฉี

ทุกข์เพราะคิด

เห็นด้วยว่า

"คนเราทุกวันนี้ ทุกข์เพราะิคิด" (จาก"หลวงปู่ฝากไว้" หลวงปู่ดูลย์ อตุโล)

 

จะว่าไปตามหลักพุทธศาสนา มีหลักอันเป็นวิทยาศสาตร์ว่า ทุกสิ่งล้วนเกิดจากหตุ เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล

การดับทุกข์ โดยหาความพึงพอใจมาดับ ย่อมไม่ใช้วิถีแห่งพุทธ

 

หากยึดมันถือมั่นมาก ก็อุปทานจนเป็นทุกข์

เมื่อไม่สมอยากมาก เบื่อมาก ก็ทุกข์ ด้วยตันหา

 

ดังนั้น ถ้าเราตัดได้ 2 (จากตันหา3)  ต่อไปนี้ ทุกข์ก็เบาไปเยอะแล้ว

  1. ความอยาก เช่น อยากได้ อยากมี อยากเป็น (ภวตันหา) ถ้าไม่ได้ตั้งเป้าว่า ฉันอยาก ก็ไม่ทุกข์เพราะยังไม่สมอยาก เพื่อรอให้สุข(ชั่วคราว) ขณะกำลังได้ตามอยาก ถ้าอยากต่อไปอีก ก็ทุกข์ต่อไปอีก
  2. ความไม่อยาก (วิภวตันหา) เช่น ไม่อยากอยู่ ไม่อยากไป ไม่อยากเป็น เมื่อไม่ได้มัวแต่ย้ำคิดว่า ต้องเบื่อหน่าย มันก็ทุกข์ ถ้าพิจารณาว่าทำไปตามปัจจุบันหน้าที่ ก็ไม่หลงติดในทุกข์ไม่อยากนี้
  3. ส่วนกามตันหา สารพัดความอยาก  ถือแค่มีศิล 5 เป็นกรอบไว้ ก็พอแล้วสำหรับปุถุชน มีเมียน้อย(คน)ได้  555

 


มีนิทานอีกเรื่อง

 

กาลหนึ่งครั้ง มีบ้านหลังหนึ่ง มีแม่เฒ่า อาศัยอยู่กับลูกหลาน ที่วันๆออกเที่ยวนอกบ้านทิ้งให้แม่เฒ่าอยู่เฝ้าบ้าน บ่นว่าบ้านหน้าเบื่อ ครอบครัวก็ไม่เป็นครอบครัว เป็นเพียงที่ซุกหัวนอน

อยู่มาวันหนึ่ง ก็เหมือน วันที่แสนน่าเบื่อเหมือนทุกวัน ที่ลูกหลานตื่นแล้วก็แยกย้ายกันออกเที่ยวนอกบ้าน ค่ำมืดจึงจะกลับมาบ้าน เห็นแม่เฒ่า ก้มหาอะไรอยู่ตรงเสาไฟ หน้าบ้าน จึงเข้ามาถาม

"ยาย หาอะไรอยู่เหรอ?"

"หาเข็มอยู่จ้ะ กำลังจะสนเข็มเพื่อชุนผ้าให้หลาน แต่เข็มมันตกหายไปเสียก่อน"

เมื่อช่วยกันหาได้สักพักใหญ่ ลูกหลานก็ทะยอยกันกลับมาช่วยหากันทีละคนสองคน

แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จะไปซื้อมาให้ใหม่ก็มืดค่ำแล้ว ร้านค้าต่างๆ ปิดกันหมด  จึงมีคนหนึ่งทำเสียงเขียวว่า

"ยาย เข็มมันตกที่ไหนละ จะได้หาถูก"

"ยายตอบว่า มันตกในบ้านจ๊ะ"

ว่าแล้วพวกทั้งหมดแทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

"ตกในบ้าน! แล้วมาหาข้างนอกบ้าน เมื่อไหร่จะเจอละ! "

ยายตอบว่า "ในบ้านมันมืด เห็นข้างนอกมันสว่างดี เลยมาหาข้างนอก "

ทุกคนมัวแต่ส่ายหน้าด้วยความไม่พึงพอใจ บ่นพึมพำว่ายายชักจะแก่เลอะเลือนไปแล้ว เข็มตกที่ ไปหาอีกที่จะเจอได้ไง 

แล้วยายก็ตอบต่อไปอีกว่า

"ก็เหมือนพวกเอ็ง ยังออกไปเที่ยวหาความสุขนอกบ้านเลย ทั้งที่ความสุขมันอยู่ในใจต่างหาก ..."


 

ท่านว่ามา ก็จำเขามาบอกต่อกันไป พูดได้แต่ทำได้แค่ไหนยังไม่รู้ แฮๆๆ

27 ก.ค.54 เวลา 15.00 น. เซ้ไจ้(เด็กน้อย) ขอโทษ

Cry  ไหง่ได้เขียนแสดงความคิดเรื่องทุกข์มา  แต่ไม่เห็นข้อมูล  หากผิดพลาดขออภัย

                                                      

                                                            ด้วยความเคารพรัก...อาหงิ่ว                      

รูปภาพของ webmaster

ลองดูอีกทีครับ

ลองดูอีกทีครับ

เผื่อเกิดผิดพลาดระหว่างส่งข้อมูล เช่น net สะดุดตอน จะกดบันทึก เป็นต้น

 

คำแนะนำ

หากเขียนเรื่องยาว แนะนำควรเขียนในโปรแกรม Note Pad

คลิกที่   [Start] All Programs / Accessories / Notepad

ซึ่งสามารถพิมพ์ ข้อความต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย และสามารถกด บันทึก (Menu File / Save) เพื่อจัดเก็บสำเนาไว้ในเครื่องตัวเองก่อนเสมอ (สามารถบันทึกเก็บไว้ก่อนได้ทุเวลาที่ต้องการ เผื่อมีการขัดข้องทางเทคนิกใดๆ เช่นสายหลุด ไฟดับ) จะได้ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด และยังมีสำเนาในเครื่องเราไว้ดู หรือค้นคว้าอ้างอิงได้ง่ายขึ้น

เมื่อบันทึกเสร็จแล้ว เวลาส่งขึ้นเว็บ ก็ทำเหมือนปรกติ เพียงแต่ไม่ต้องพิมพ์ใหม่ แค่ Copy จากหน้าใน Notepad มาวาง ก็สามารถกดบันทึกส่งขึ้นเว็บได้ทันที

หากต้องการตกแต่งแก้ไขตัวอักษร หรือแทรกรูป ก็ยังสามารถทำได้ คือ หลังจาก copy มาวางในหน้าบันทึกของเว็บแล้ว ก็ใช้เครื่องมือที่มีให้ เช่น Bold (Ctrl+B)Italic (Ctrl+I)Underline (Ctrl+U)StrikethroughAlign leftAlign centerAlign rightUnordered listOrdered list Insert/edit imageCleanup messy codeSuperscriptSubscriptเป็นต้น ปรับแต่งให้สวยงาม ก่อนส่งได้ตามต้องการ

 

* หากพิมพ์ข้อความที่มีภาษาจีน ขณะตั้งชื่อเลือกที่จัดเก็บไฟล์ จะมีตัวเลือก Encoding ต้องเลือกเป็น UTF-8 เสมอ เพื่อให้รองรับกับอักษรได้ทุกภาษา (มิฉนั้น อัการจีนจะไม่ปรากฏ)

รูปภาพของ แกว้น

อัตตา กับ อนัตตา

อืมมมม... เห็นล้วยยยย

แก่นศาสนาพุทธคือการดับทุกข์ ซึ่งทั้งหมดมีสาเหตุมาจากความเป็น อัตตา ถือตน ตัวกู ของกู และ อนัตตา คือความไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และหนทางดับทุกข์ก็คือ การถือศีล เจริญสติ สมาธิ  วิปัสสนาปัญญา

รูปภาพของ วี่ฟัด

ทุกข์เพราะความคิดปรุงแต่ง

สิ่งที่ทำให้คนเป็นทุกข์ในหลักของพระพุทธศาสนาคืออายตนะ อายตนะคือสิ่งต่อกับโลกภายนอกประกอบไปด้วย ตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่ออายตนะทั้งหกอย่างนี้ไปรับรู้สัมผัสแล้วมาคิดปรุงแต่งทำให้เกิดความอยากเป็น อยากมี อยากเอา อยากได้ แต่พอไม่ได้ตามที่ตนปรารถนาก็จะเป็นทุกข์ ดังนั้นต้องควบคุมอายตนะทั้งหลายให้ดีโดยใช้หลักว่า สักแต่ว่าตามองเห็นรูป สักแต่ว่าหูได้ยินเสียง สักแต่ว่าจมูกได้กลิ่น สักแต่ว่าลิ้นได้ลิ้มรส สักแต่ว่ากายได้สัมผัส สักแต่ว่าใจได้รับรู้ แต่ไม่นำมาคิดปรุงแต่งต่อ ความอยาก คือกิเลสก็จะไม่เกิด วิธีคิดแบบนี้แหละคือวีธีคิดแบบพุทธธรรม หรือที่เขาเรียกว่า " โยนิโสมนสิการ " ( ความคิดถึงต้นเหตุต้นเค้าของปัญหา และแก้ปัญหาที่ต้นเหตุต้นเค้าของปัญหาอย่างแท้จริง )

ถ้าเรามาลองคิดเล่นๆกันว่าหากมีคนมาด่าเราด้วยภาษาเคนย่า หรือภาษาเกาหลี หรือภาษาฮิบบลูแบบหยาบคายที่สุด เราจะโกรธใหม ไหง่คิดว่าเราคงไม่โกรธ เพราะเราฟังไม่รู้เรื่องไม่รู้ความหมาย เลยไม่รู้ว่าจะนำไปคิดปรุงแต่งต่ออย่างไร จึงไม่เป็นทุกข์ แต่ถ้ามีคนมาด่าเราด้วยภาษาไทย หรือภาษาฮากกา อย่างหยาบคายที่สุดเราจะรู้สึกโกรธทันทีเพราะเราฟังรู้เรื่อง รู้ความหมาย เราจะคิดปรุงแต่งทันที แล้วเราก็จะเป็นทุกข์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

รูปภาพของ ยับเหี่ยนจึน

สุข ไม่คิดปรุงแต่ง

    หลีกเลี่ยงความทุกข์ได้สิ เพราะรู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าถ้าคิดปรุงแต่งจะทำให้เราเป็นทุกข์ แล้วจะไปคิดปรุงแต่งทำไมล่ะ เราต้องรู้ทันสิ จะสุขหรือทุกข์ก็อยู่ที่เรา

     โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า  ถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยการไม่โกรธไม่โมโหใครเลย ตัวเราก็จะดำเนินชีวิตด้วยความสงบสุข ถ้ามีคนมาด่าว่าเรา ก็เข้าหูซ้ายออกหูขวาไปเลยไม่ต้องขึ้นสมองจะได้ไม่ต้องไปคิดปรุงแต่ง   การที่มีคนมาด่าว่าเราแสดงว่าเราไปทำไม่ถูกใจเค้า แล้วจะไปให้ถูกใจทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้หรอกเพราะคนเราแต่ละคนก็มีนิสัยที่ต่างกันความชอบต่างกัน แต่ถ้าเราไปแสร้งทำถูกใจเค้าเรื่อยไปเราก็ทุกข์ 

     ความอยากทั้งหลายที่ถูกเรียกว่ากิเลิสนั้น ถ้าเราสนองความอยากได้เราก็สุข ถ้าเราสนองความอยากไม่ได้เราก็ทุกข์ ( เคยมีคำพูดที่ว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง   แต่คนเรามีวิธีแสวงหาความสุขที่ต่างกัน แล้วคนที่พูดจะรู้ได้ไงว่าไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงSmile )

     

รูปภาพของ ท้ายแถว

สุก ไม่ปรุงแต่ง

อ่านเรื่อง การปรุงอาหาร พร้อมภาพประกอบชวนชิมมาเห็น สุขไม่คิดปรุงแต่ง เป็น สุกแล้วไม่ต้องปรุง  กินได้เลยไปด้าย เหอๆ

คิดว่าพูดถึงเช่าเหมี่ยนเสี้ยนเสียอีก ที่อาศัยความ หอม เค็ม ที่ออกมาจากเส้น (เหมือนความสุขที่อยู่ในใจ อันมีศุภเป็นวัตถุดิบ) โดยไม่ต้องปรุงแต่ง สุกแล้วกินได้เลย (ใครไม่รู้ไปปรุงแต่งละเค็มแย่)

ความละเอียดอ่อนของภาษานี้ เพียนนิดเดียวไปคนละเรื่องเลย  คงไม่แปลกใจ ที่ภาษาทำให้ชื่นใจ หรือ ช้ำใจ กันได้ง่ายๆ

รูปภาพของ ท้ายแถว

3 คาถาของคนทำงาน โดนจริง ๆ

 1 . คาถาคนทำงาน ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ

    อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
    อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
    อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน   <====== อัน นี้ โดน
    พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า

2. คาถาปล่อยวาง
     กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
    เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
    สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
    จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย q*014

3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
    อย่าไปนึกว่า  'คนอื่น'  เหนือ   กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
    อย่าไปนึกว่า  'คนอื่น'  ต่ำ     กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
    อย่าไปนึกว่า  'คนอื่น'  เสมอ    เท่าเรา   เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
    จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด 

เครดิต FWM ก๊อฟเขามาอีกที เห็นว่าเข้าท่าเหมือนกัน

รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

กราบพระแบบพุทธ

เห็นพระ กราบพระ ครั้งใด น้อมใจ ให้ถูก ด้วยหนา
ชาวพุทธ กราบด้วย ปัญญา ใช่ว่า กราบอย่าง งมงาย
เห็นพระ กราบพระ ครั้งใด น้อมใจ ตามไป ง่ายง่าย
หัวแหลม ปัญญา ว่องไว ทุกข์ใจ ดับได้ ทันที

หูยาน คือความ หนักแน่น ไม่แล่น รับเสียง เร็วรี่
ใครว่า ใครด่า ท้าตี ไม่มี โมโห วู่วาม
มองต่ำ คือตา สติ ไม่ดำริ ในสิ่ง ทั้งสาม
คือการ ดำริ ในกาม พยาบาท และการ เบียดเบียน

เห็นพระ กราบพระ ทุกครั้ง ระวัง อย่ากราบ ให้เพี้ยน
พระพักตร์ ยิ้มแย้ม ไม่เปลี่ยน เพราะใจ โล่งเตียน เบิกบาน
นิ้วมือ สั้นยาว เท่ากัน สิ่งนั้น คือรัก แผ่ซ่าน
เมตตา กรุณา ตลอดกาล สงสาร สรรพสัตว์ เสมอกัน

กราบองค์ พุทธรูป ครั้งใด ตั้งใจ ดำรง คงมั่น
น้อมเอา คุณธรรม อนันต์ เหล่านั้น มาไว้ ในตน
นั่งลุก เดินเหิน ไปไหน ดอกบัว เกิดได้ ทุกหน
คือความ บริสุทธิ์ หลุดพ้น มิมี เจือปน กิเลสกาม

ที่มา: หนังสือ น้อมสู่ใจเล่ม 1, พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณโณ
รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

วิธีเติมโชคดีให้ชีวิต

คุณ Jim Collins และคุณ Anthony Tjan ได้ทำการศึกษาวิจัยองค์กรและผู้นำที่ประสบความสำเร็จโดดเด่นเป็นที่ริษยาตาร้อนจี๋ของคู่แข่งคู่คี่ที่ตัดพ้อต่อว่าชะตากรรมว่า ทำไมบางคนถึง “โชคดี” ไม่มีที่สิ้นสุด นักวิจัยทั้งสองยืนยันว่า ”โชค”ดูเหมือนเลื่อนลอย ลิขิตไม่ได้ จะมาก็มา จะไปก็ไป สำหรับคนส่วนใหญ่ กระนั้นก็ดี ผู้บริหารที่โชคดี เพราะเขาต่างมีพฤติกรรมนำโชคมาสู่ตนอย่างที่คนอื่นก็ทำได้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ พฤติกรรมดังกล่าวมี 3 ประเด็นที่เห็นเด่นชัด คือ

1. Humility ความนอบน้อมถ่อมตน คนที่ถ่อมตน คือ คนที่รู้จุดอ่อนของตนเอง รู้ว่าฉันไม่ได้เก่งกล้าหาตัวจับยากในทุกเรื่อง จึงพร้อมเปิดใจเรียนรู้ ดูว่าคนอื่นเขาทำและคิดอย่างไร ซึ่งถือเป็นการสร้างโอกาสที่จะได้มุมมองใหม่ ได้เพื่อน ได้เครือข่าย ได้พัฒนา และนำมาซึ่ง ”โชคดี” ในที่สุด

ดังนั้น หากอยากไล่โชคดีให้หนีหาย ต้องหมั่นทำตนกร่างทุกย่างก้าวเข้าไว้ ต้องมั่นใจเกินจำเป็น เห็นว่าฉันแน่ ฉันเด่น คนอื่นไม่เป็นสับปะรด ทำได้เช่นนี้ ฟันธงได้ว่า จะแพ้ภัยตัวเองในอนาคตที่กำหนดเอง

2. Intellectual Curiosity กระหายใคร่รู้ คนที่โชคดีต่างมีความอยากได้ความรู้ใหม่ๆ ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากความถ่อมตน เมื่อเขารู้ว่าเขายังพร่อง เขาย่อมพร้อมที่จะค้นหาและเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด

ในยุคที่วิชาความรู้พัฒนาก้าวหน้าอย่างหาขอบเขตมิได้  ใครอยากรู้อะไร สามารถคว้าได้คว้าเอา ไม่มีขีดจำกัด ถือว่าเป็นการเรียนลัดสู่โชคดี โดยไม่สะดุดอัตตาว่าข้าเก่งแล้ว

หากอยากมีแต่โชคร้าย คล้ายๆ ซวยทั้งปี  ขอแสดงความยินดีว่าทำง่ายมากค่ะ แค่เพียรทำตนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง รู้แล้วทุกเรื่อง ใครพูดอะไรอย่าฟังเป็นอันขาด เขาบอกว่ามีอะไรใหม่อะไรดี อย่าเชื่อ เบื่อพวกพวกปัญญาคุด

3. Optimism มองโลกในแง่ดี คนที่มองโลกว่าสดใส มีโอกาสให้เสมอ หากยังไม่เจอ ก็พร้อมเสาะแสวงหาต่อ ไม่ท้อ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

สิ่งดีๆ มีมากมายรอบกาย มองหา ก็จะมองเห็น คนมองโลกในแง่ร้าย เหมือนใส่แว่นสีช้ำเลือดช้ำหนอง มองอะไรก็ย่อมเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง จะมองให้เป็นชมพูแจ๋ว ฟ้าจ๋า ท่าจะยาก สิ่งร้ายๆ มีมากมายรอบกาย เฟ้นมองหา ก็จะมองเห็นเช่นเดียวกัน 

สรุปว่าเรื่องโชคดี เสริมได้ ไม่ต้องรอให้ใครยื่นให้ แค่ลุกขึ้นมาไขว่คว้า หาเพิ่มเองได้ทุกขณะ เหลือเพียงว่า จะเริ่มเมื่อไหร่เท่านั้น
 
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 1 ส.ค. 2554

ความร้สึกฮ่องเต้ซุ่นจื้อ " เมื่อปล่อยวาง "

ก่อนอื่น ขอขอบคุณอาฉีโกที่เอื้ออาทรชี้แนะ แต่อาหงิ่วโง่สมชื่อทําไม่เป็น ต้องเสียข้อมูลที่ตั้งใจพิมพ์ ๓ ชุด ๘ ช.ม.ถ้าส่งติดชุดเดียว ก็แค่ชั่วโมงเศษๆ หลังเสียชุดที่ ๓ ต้องตามช่างมาสอน คราวนี้คงไม่ฟลาวนะ?

เข้าเรื่องดีกว่า...คําว่า "ทําดี ละชั่ว ทําจิตให้บริสุทธิ "

เป็นคําสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้ที่ปฏิบัติเช่นที่ว่านี้ได้ 90 กว่าเปอร์เซนต์เป็นพระนักบวช ส่วนปุถุชนยากที่จะทําเช่นนั้นได้

เพราะสังคมโลกเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทําให้ต้องต่อสู้อยู่ท่ามกลางความสับสน ทําให้ใจ

ซึ่งเป็นศูนย์กลาง เสียความสมดุลไปตามกระแสโลก ซึ่งมักก่อทุกข์ก่อความผิดพลาด ใจของปุถุชนจึงถูกเผารนอย่างทรมาน ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก

ชาวฮักกาที่ผ่านชีวิตมามากจึงกล่าวว่า " หงิ่นเซนชิดกู้ซ้งเพ็ดหลี่ " แปลว่า ชีวิตคนแต่โบราณ ตนต้องทนทุกข์เจ็บปวดมิอาจเลี่ยง ซึ่งตรงกับหลักทางพุทธศาสนาว่า "ชีวิตเป็นทุกข์ " อาจมีคนแย้งว่า คนที่ประสบความสําเร็จ หรือคนที่ถูกล๊อตเตอรี่ 20 ล้าน ยังทุกข์

อย่างนั้นหรือ?

แน่นอน เพราะขณะประสบความสําเร็จ หรือการได้เงินก้อนใหญ่ขณะนั้น ก็แค่คลื่นความยินดีพอใจ ที่ท่วมท้นความทุกข์เท่านั้น

แต่เมื่อสิ่งนั้นเคลื่อนผ่านไป ทุกข์ก็จะปรากฏขึ้นรํ่าไป

การที่จะพ้นทุกข์ได้ ต้องอาศัยมรรคมีองค์ 8 ที่สรุปได้ง่ายๆ คือ

  1. คิดดี(พัฒนาตนเอง สร้างบุญกุศล และรู้จักปล่อยวาง)
  2. พูดดี(แบบสร้างสรรค์ไม่ทําลาย)
  3. ทําดี(ไม่เบียนเบียดตนเองและผู้อื่นให้เดือดร้อน)

การเดินอยู่ในมรรคมีองค์ 8นี้ด้วยสติ-ปัญญา ชีวิตจะปกติสุขกว่าคนที่ใช้วิตผาดโผนแน่นอน เพราะคนที่ใช้ชีวิตผาดโผนทะเยอทยาน

จนเป็นฮ่องเต้ซุ่นจื้อ ผู้สถาปนาราชวงศ์ชิงองค์แรก ยังยอมปล่อยวางสละราชบัลลังก์ ออกผนวชเป็นพระภิกษุ พระองค์ได้เขียนบทโศลกไว้ว่า

" ครั้งข้าครอบครองแผ่นดินแลแม่นํ้า ต้องทุกข์กลุ้มเรื่องบ้านเมืองและประชาราษฎร์ ตลอดทั้งปี 365 วันไม่ว่างเว้น (เป็นเวลา 18 ปีที่นั่งบัลลังก์) สุขเทียบไม่ได้กับการเป็นภิกษุเพียงครึ่งวัน "

สูงสุดยังลงสู่สามัญ แสดงว่าแท้จริงสิ่งสามัญตามธรรมชาติสบายดีที่สุด อะไรที่พิเศษย่อมแบกทุกข์มากเป็นพิเศษ แต่คนเราก็ยังชอบ

ความพิเศษ คงเพราะยังปีนไม่สูงสุด ก็เร่าร้อนเป็นทุกข์แข่งกันปีนต่อไป..นะจ๊ะ

 

..อาหงิ่ว..
รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

วันเกิดลูกเกือบคล้ายวันตายแม่

งานวันเกิด ยิ่งใหญ่ ใครคนนั้น
ฉลองกัน ในกลุ่ม ผู้ลุ่มหลง
หลงลาภยศ สรรเสริญ เพลินทะนง
วันเกิดส่ง ชีพสั้น เร่งวันตาย
 
ณ มุมหนึ่ง ซึ่งเหงา น่าเศร้านัก
หญิงแก่แก่ นั่งหงอย และคอยหาย
โอ้วันนี้ ในวันนั้น อันตราย
แม่คลอดสาย โลหิต แทบปลิดชนม์
 
วันเกิดลูก เกือบคล้าย วันตายแม่
เจ็บท้องแท้ เท่าไร ก็ไม่บ่น
กว่าอุ้มท้อง กว่าคลอด รอดเป็นคน
เติบโตจน บัดนี้ นี่เพราะใคร
 
แม่เจ็บเจียน ขาดใจ ในวันนั้น
กลับเป็นวัน ลูกฉลอง กันผ่องใส
ได้ชีวิต แล้วก็เหลิง ระเริงใจ
ลืมผู้ให้ ชีวิต อนิจจา
 
ไฉนเรา เรียกกัน ว่า "วันเกิด"
"วันผู้ให้ กำเนิด" จะถูกกว่า
คำอวยพร ที่เขียน ควรเปลี่ยนมา
ให้มารดา คุณเป็นสุข จึงถูกแท้
 
เลิกจัดงาน วันเกิด กันเถิดนะ
ควรแต่จะ คุกเข่า กราบเท้าแม่
รำลึกถึง พระคุณ อบอุ่นแด
อย่ามัวแต่ จัดงาน ประจานตัว
รูปภาพของ จ๊องหยิ่นฮยุ๋ง

หลักความสุข ๙ ประการ

๑. จงมีชีวิตอยู่ด้วยจิตแห่งความรัก
รักโดยไม่หวังผล แล้วคุณจะไม่ต้องพบกับคำว่า ความผิดหวัง ความแค้น ความเสียใจอย่างที่ผ่านมา
๒. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการให้อภัย
แล้วคุณจะพบว่า คุณมีจิตใจที่แจ่มใสตลอดเวลา ไม่ปวดร้าวกับอดีตใดๆ 
๓. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการรู้จักตนเองมากกว่ารู้จักผู้อื่น
แล้วคุณจะพบว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่แก้ไขด้วยตัวเราทั้งสิ้น
๔. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการอยู่อย่างพอเพียง
แล้วคุณจะพบว่า คุณไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเกินความจำเป็นด้วยความอยาก และความโลภ 
๕. จงมีชีวิตอยู่กับความจริง
แล้วคุณจะพบว่า จิตของคุณได้รับการปล่อยวางอย่างแท้จริง โดยไม่คาดหวังกับสิ่งใดจนเกินไป
๖. จงมีชีวิตอยู่อย่างผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้รับ
แล้วคุณจะพบกับความสุขลึกๆ ที่เป็นยาอายุวัฒนะจากการให้นั่นเอง
๗. จงมีชีวิตอยู่อย่างมีศีล สมาธิ ปัญญา 
แล้วคุณจะพบกับคุณค่าของชีวิตที่จะมีแต่คำว่า สะอาด สว่าง สงบ 
๘. จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
อดีตคือประสบการณ์ อนาคตยังมาไม่ถึง ฉะนั้น ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตจะดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด 
๙. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการสะสมความดีและบุญกุศลให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 
แล้วคุณจะพบว่า ชีวิตของคุณมีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา คุณจะแคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง เพราะผลบุญจะลงมาหล่อเลี้ยงและรักษาบุคคลนั้นให้มีความสุขความเจริญสืบต่อไป
 
ที่มา: https://www.facebook.com/profile.php?id=100002162782387
 
hakka@hakkapeople.com    คุณความดี แด่บรรพชนและชาวฮากกาที่ฮึกเหิม Hakkapeople.com by Hakka Pakchong Association... Powered by Drupal